กลับหน้าแรก   ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ 

 

          กิ่งหลิวออกไปเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้ากับชมเพลินผ่านร้านตัดขนสุนัข ชมเพลินก็หัวเราะคิกคัก ยืนดูลูกหมากำลังให้ช่างเซตขน บอกกิ่งหลิวว่า

          “หมามีบุญ”

          “ช่าย” กิ่งหลิวรับคำ “ แต่อย่าไปนึกอิจฉาหมาเชียว เดี๋ยวไปเกิดเป็นหมา”

          ชมเพลินทำตัวสั่น พลางหัวเราะ กิ่งหลิวพูดต่อ

          “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม นี่แสดงว่าหมาตัวนี่ทำบุญมาเยอะ แต่มีความหลงผิดบางอย่าง เลยทำให้ตกภพภูมิของเดรัจฉาน ต้องมาเกิดเป็นหมา แต่ก็เป็นหมาสบาย”

          “เกิดเป็นคน บางทียังลำบากกว่าหมาเลยแนะ” ชมเพลินเอ่ยบ้าง “เขาเรียกว่าอะไรนะ มีกรรมเป็นกำเนิดใช่มั้ย”

          กิ่งหลิวพยักหน้า “ใช่ มีกรรมเป็นกำเนิด เคยทำกรรมอะไรไว้ ก็ส่งผลให้มาเกิดเป็นอย่างนั้น คนที่เกิดมาลำบากมาก ๆ แม้ชาตินี้จะมองดูว่า เอ๊ เราไม่เคยทำไม่ดี แต่ชาติก่อนคงได้ทำอะไรไว้แหละ จึงมีผลอย่างที่เห็น เพราะวันนี้ของเราเป็นผลมาจากการทำเหตุไว้จากชาติก่อน อาจารย์สอนว่า ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนสนามทดลองแรงกรรม”

          ทั้งสองพากันไปนั่งพักที่เก้าอี้ ซึ่งตั้งอยู่ริมทางเดิน มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา กิ่งหลิวมองดูชายคนหนึ่ง นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้เยื้อง ๆ กัน ชมเพลินเอ่ยขึ้น

          “บางคนชอบพูดว่า ศาสนาพุทธ อะไร ๆ ก็ยกให้กรรมหมด เลยไม่ต้องทำอะไร”

          กิ่งหลิวตอบว่า “การรู้เรื่องกรรม ไม่ใช่การรู้เพื่อจะทอดธุระปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามเพลงกรรม เหมือนใบไม้ที่ลอยสะเปะสะปะไปในสายน้ำอย่างไร้จุดหมาย แล้วแต่กระแสน้ำจะพาไป

          หากแต่การรู้เรื่องกรรม เพื่อจะได้รับรู้ว่าเพราะเหตุใดเราจึงมามีชีวิตอยู่อย่างนี้ เช่น มามีปัญญาตั้งร้านขายของอย่างนี้ มีปัญญาเดินช้อปปิ้งอย่างเรา หรือทำไมต้องลำบากยากจนเหน็ดเหนื่อย ทำไมบางคนจนแต่สบายใจ ทำไมเศรษฐีรวยแต่โดดเดี่ยว บางคนสวยบาดใจแต่ก็ไม่ฉลาด

          เมื่อเราเรียนรู้เรื่องกรรม เราจะรู้ว่าเราทำอะไรกับชีวิตของเราได้บ้าง พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีสร้างบุญสร้างกุศลให้เราไว้แล้ว เมื่อเราทำตาม ก็จะสามารถมีชีวิตปัจจุบันที่ดีขึ้น และมีอนาคตที่ดีเป็นจุดหมายได้ เหมือนเรือที่แข็งแรง ซึ่งเราผู้เจ้าของเรือเรียนรู้วิธีถือหางเสือ นำเรือล่องไปในสายน้ำอย่างปลอดภัย และมีจุดหมายปลายทางคือความสงบเย็นของชีวิต”

          ชมเพลินยกมือทักทายกับเด็กน้อยผมยาว หน้าตาเหมือนตุ๊กตาเจ้าหญิง วิ่งนำหน้าพ่อแม่มาอย่างสนุกสนาน แล้วมาหยุดยืนดูทั้งสองคุยกัน เมื่อได้รับการทักทาย ก็ออกวิ่งต่อไปอย่างร่าเริง

          ชมเพลินเอ่ยว่า “บางคนชอบว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาของการมองโลกในแง่ร้าย เพราะสอนแต่เรื่องทุกข์ เรื่องกรรม ฟังแล้วหดหู่ทำนองนั้น”

          กิ่งหลิวหัวเราะเบา ๆ “เวลาพูดเรื่องกรรม คำว่ากรรม มักจะฟังดูเหมือนเป็นตัวแทนของคำว่าบาป นั่นเพราะเราไปแทนคำว่ากรรมดีด้วยคำว่าบุญ ความจริงกรรมคือการกระทำ เป็นคำกลาง ๆ ทำกรรมดีคือทำบุญ ทำกรรมชั่วก็คือทำบาป แต่พวกเรากลัวผลบาปกันไง อยากทำบาปแต่กลัวผลบาป เช่น อยากตีหัวเขา แต่อยากให้เขาไม่โกรธเรา แล้วก็อยากไม่ทำบุญ แต่ได้ผลบุญ เช่น ไม่อยากให้ทาน แต่อยากรวยขึ้นมา ตอนเช้าก็ให้มีฝนเงินฝนทองตกลงมาที่บ้าน”

          ชมเพลินหัวเราะ “ตกบ้านตัวเองคนเดียวเลยนะ ห้ามกระเด็นไปข้างบ้านเชียว”

          กิ่งหลิวหัวเราะ ขำท่าทางประกอบที่ชมเพลินทำให้ดู

          “แล้วพระพุทธเจ้าสอนเรื่องความทุกข์ ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย หากแต่สอนให้รู้จักกับตัวทุกข์ ว่ามันมีทุกข์อะไรบ้าง ทุกข์ยังไง กิเลสอะไรมันทำให้เราเกิดทุกข์ พอรู้จักทุกข์แล้ว ก็ทรงสอนถึงวิธีดับทุกข์ว่าจะต้องทำยังไงมั่ง นี่เป็นเรื่องธรรมดาของการสอนเหมือนอย่างถ้าเราอยากจะเรียนวิธีดับไฟ เราก็ต้องรู้จักไฟเสียก่อนจริงมั้ย คนพูดน่ะเขาพูดไม่ตลอดทาง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องทุกข์แล้วจนที่ไหนล่ะ อริยสัจ 4 สอนให้รู้จักทุกข์ ให้รู้จักเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ แล้วบอกวิธีที่จะทำให้เราดับทุกข์ได้”

          “แต่จะดับทุกข็ได้ เราก็ต้องทำเอง” ชมเพลินต่อให้กิ่งหลิวยิ้มพยักหน้า

          “ใช่ พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่า ท่านเป็นเพียงผู้ชี้เส้นทางเท่านั้น แต่เราจะต้องเดินไปเอง นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านแสดงให้เห็นเหมือนกัน และเป็นเรื่องธรรมดาที่เต็มไปด้วยเหตุผล ตามหลักสัจธรรมคือความจริงตามธรรมชาติ อย่างเราหิวข้าว ท่านก็ชี้ว่าข้าวอยู่นั่นไง แต่เราต้องกินเอง ถึงจะอิ่มได้ คนอื่นมากินแทนเราก็ยังหิวอยู่อย่างนั้นแหละ”

          ชมเพลินพยักหน้าหงึกหงัก ขยับหยิบถุงช้อปปิ้ง

          “ใช่ หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

          ทั้งสองลุกขึ้นเดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปศูนย์อาหาร ลิฟต์นั้นเป็นลิฟต์แก้ว มองออกไปเห็นถนนข้างนอกมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ มีป้ายโฆษณาภาพยนตร์แผ่นใหญ่ติดอยู่ที่ตึกตรงข้าม เป็นเรื่องของชายผู้หนึ่ง ซึ่งเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพ่อที่ต้องติดอยู่ในเรือนจำโดยไม่ได้ทำความผิด ชมเพลินเอ่ยว่า

          “บางทีการมองในแบบสั้น ๆ ในช่วงชีวิตของเราก็ทำให้เราไม่เข้าใจ อย่างหนังเรื่องนี้นะ พ่อเป็นคนดีมาตลอด แต่ต้องมาเป็นแพะรับบาป”

          กิ่งหลิวมองตาม

          “ถ้าเราดูอย่างนั้นก็ใช่ อย่างที่เขาแซวกันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นั่นเรียกว่าพูดพล่อยเอาสนุก พูดเพราะไม่รู้สังสารวัฏนี้ยาวนานนัก เราเคยแกล้งไปโยนความผิดให้คนบริสุทธิ์ที่ไหน เมื่อไหร่ เราไม่รู้หรอก แต่ถ้าเกิดสิ่งนี้กับเรา มันเป็นวิบากคือเป็นผลของกรรมอยู่แล้ว แสดงว่าต้องมีต้นเหตุอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ที่คนอย่างเราสาวไปรู้ไม่ได้ ไม่มีปัญญาความสามารถเพียงพอที่จะรู้ได้นี่แหละที่คนดื้อเอามาเป็นจุดเถียงอย่างเอาเป็นเอาตาย”

          “เรื่องผลกรรมนี้มีเหตุมาจากอะไรชาติไหนนั่น มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้” ชมเพลินต่อให้ เพราะเคยอ่านในหนังสือพบว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าถึงกรรมในชาติก่อนของคนนั้นคนนี้ไว้มากมาย

          กิ่งหลิวพูดต่อ “การให้ผลของกรรมต้องมีแน่นอน จะเร็วหรือช้าเท่านั้น เหมือนต้นไม้เราปลูกต้นเล็ก ๆ ไว้วันนี้ ก็ต้องมีเวลารอให้มันโต จะให้มันทะลึ่งพรวดสูงขึ้นท่วมหัววันพรุ่งนี้น่ะ ย่อมไม่ได้กรรมก็เหมือนกัน คนเกเรก็เลยเข้าใจผิดว่ากรรมไม่ไห้ผลเลยชะล่าใจทำชั่วต่อไป”

          ชมเพลินเอ่ยว่า “ถ้ากรรมชั่วให้ผลทันที คงไม่มีใครกล้าทำชั่วนะ”

          “ใช่ กรรมดีหรือกรรมชั่วต้องคอยเวลาให้ผลทั้งนั้น คนดีทำดีแล้วต้องใจเย็นรอคอยผลได้ ส่วนคนชั่วอย่าชะล่าใจ มัวแต่มาเถียงคอเป็นเอ็นว่า กรรมชั่วไม่ส่งผล เถียงแล้ว มันก็ไม่เป็นไปตามที่ใจเราต้องการหรอก”

          “ใช่ จริงด้วย” ชมเพลินว่า “สิ่งที่เกิดกับเราวันนี้เป็นวิบากที่มันเกิดขึ้นแล้ว สู้รีบทำกรรมใหม่ให้ดี จะได้เจือจางกรรมเก่าลงบ้าง “

          ชมเพลินเดินไปซื้อคูปองอาหาร แล้วไปซื้อข้าวน้ำพริกปลาทูมาชุดหนึ่ง กิ่งหลิวกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด และคุยไปด้วย

          “ความผิดบาปเป็นเรื่องลบล้างกันไม่ได้ แต่ทำให้เจือจางลงได้ เหมือนเอาเกลือมาใส่ในแก้วนี่ ยังไงน้ำนี่ก็ต้องเค็ม แต่ถ้าเอาน้ำเกลือแก้วนี้ไปเทลงในแม่น้ำสิ เกลือก็ยังอยู่เท่าเดิม แต่น้ำไม่เค็มหรอก เหมือนคนชั่วกลับตัวมาทำดีมาก ๆ ชีวิตก็ดีขึ้นได้”

          “เรียกว่า เราลิขิตตัวเราเองด้วยการกระทำของเรา” ชมเพลินสรุป “ ศาสนาพุทธจึงเป็นเรื่องของกรรมลิขิต ผู้ลิขิตก็คือตัวเราเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน”

          กิ่งหลิวเสริมว่า “แล้วศาสนาพุทธก็ยังมีปลายทางคือนิพพาน การไม่ต้องมาเกิดใหม่ให้เป็นทุกข์อีกด้วย เพราะเรารู้แล้วว่าชีวิตนี้มันทุกข์ ฉะนั้น ถ้าจะปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ ก็ดับให้สุด ๆ ไปเลย คือไม่ต้องเกิดใหม่ไปเลย ไม่ใช่แค่ทำดีให้ไปสวรรค์แค่นั้นหรอก เพราะความสุขบนสวรรค์ไม่จีรังยั่งยืน ไม่ใช่นิรันดร พอหมดบุญ ก็กลับมาเกิดอีก ทุกข์อีก”

          ชมเพลินหัวเราะ “เทวดาตกสวรรค์”

          “ใช่ บางคนเสพสุขจนเพลิน เกิดเป็นโมหะหลงผิด ทีนี้อาจจะไม่ใช่มาเกิดเป็นมนุษย์นะ ไม่เป็นตายตัวแบบนั้นว่า พอเทวดาแล้วต้องมาเป็นคนแน่ ๆ ไม่ใช่”

          ชมเพลินหัวเราะอีก “ทำผิดมาก ๆ ตกจากสวรรค์ทะลุเลยแผ่นดินมนุษย์ไปตกนรกซะรึเปล่าก็ไม่รู้”

          “เราไม่รู้กันหรอก กรรมใครกรรมมัน ต้องทำให้ดี”

          ชมเพลินพยักเพยิดให้กิ่งหลิวดู หญิงสาวสวยคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่าน เธออุ้มลูกสุนัขตัวที่แต่งขนใหม่ ซึ่งชมเพลินไปดูอยู่หน้าร้านตัดขนสุนัข มันดูสวยขึ้นเยอะเชียว สมกับราคาค่าเสริมสวยของมันที่เข้าของจ่ายให้

          “นี่อาจเป็นเทวดาตกสวรรค์ก็ได้นะ บุญเยอะเจ้าหมาน้อยตัวนี้ ดูสิ น่าร้าก น่ารัก”.

 


แค็ตตาล็อก
1. ก่อนช้อป 19. ไม่ได้มุสา 37. สมรรถภาพจิต
2. ธรรมะอินเตอร์เน็ต 20. เปลี่ยนจุดมอง 38. ยำความคิด
3. พญามารรับน้อง 21. กฐินของฝนสุย 39. ผู้ให้
4. ถังเหลืองแลกหุ้น 22. สร้างพระ 40. คนมีธรรม
5. น้ำตาบารมี 23. ศึกมังฉงาย 41. ธรรมะประจำชีวิต
6. ปล่อยบุญ 24. ให้อภัยตัวเอง 42. แผ่นดินสอนธรรม
7. ทิ้งเวร 25. บุญบนโต็ะทำงาน 43. เทียนชีวิตของจอม
8. สะดือพริตตี้ 26. ข้าวแกงใส่ธรรม 44. ซักใจ
9. บุญไม่เกี่ยว เหนียวไว้ก่อน 27. นักขายประกัน 45. สมถะกับวิปัสสนา
10. ส่งหรีดส่งบุญ 28. สุดสาครสันโดษ 46. เมตตาตัวเอง
11. ต้นไม้ของใจแก้ว 29. ติ่มซำอิจฉา 47. กรรมลิขิต
12. พระสร้างวัด 30. กรรมมาเยี่ยม 48. เบียดเบียนตนเอง
13. พระพุทธรูปสอนธรรม 31. บุญงามยามเช้า 49. คารวะแด่พระอาจารย์วศิน อินทสระ
14. ธรรมะโฮล อิน วัน 32. การพยาบาลของวันวิสาข์ 50. วันสงกรานต์
15. เทียนไสว 33. กรรมโบราณ 51. งานวันปีใหม่
16. ปากกาของเมฆอ้วน 34. ล้างจานล้างใจ 52. บันทึกท้ายเล่ม
17. หัวใจติดแอร์ 35. น้ำในเรือ 53. โอวาทคำสอน
18. รักษาใจ 36. ชีวิตหุ่นเชิด อ่านแบบไฟล์ .pdf
 
หน้าแรกธรรมจักร l กลับเรือนธรรม