ดีชัด
เป็นคนชอบทำอาหารมาก เขาเข้าครัวช่วยแม่ตำน้ำพริกตั้งแต่ 5 ขวบ แล้วถือคติตามสุนทรภู่สอนว่า
รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล จึงยังคงทำอาหารมาเรื่อยจนเป็นหนุ่มใหญ่
ตอนนี้เปิดลานหน้าบ้านอันร่มรื่นสอนทำอาหาร เรียนกันครั้งละประมาณ
10 คน จึงทำให้ยามบ่ายครึกครื้นกันพอสมควร เหมือนมีงานปาร์ตี้
เวลาดีชัดสอนทำอาหาร
จะสอนธรรมะไปด้วยเป็นของแถม วันนี้เมื่อจบรายการที่จะต้องสอนแล้ว เขาก็ทำเมนูง่าย
ๆ เป็นการแถม อาหารจานสุดท้ายเป็นยำผักไข่ดาว ดีชัดยกผักกาดขาวที่ล้างสะอาดแล้วขึ้นชู
ผักกาดขาวนี่เหมือนใจเรา
สะอาดสดชื่น และจืดดดดด เวลามีความสุขมันเชิดเหมือนใบนี้เลย ตอนนี้เราก็หั่นมันใส่ในหม้อเตรียมเคล้า
ดีชัดหันไปเตรียมเครื่องยำ
มีกระเทียมสับละเอียด น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนูซอย และน้ำตาลทราย แล้วผสมกันลงในชามเล็ก
เวลายำแม้จะรู้สึกไม่มีรสหวานเลย
แต่จริง ๆ ก็มีน้ำตาลนิดหนึ่งนะ ใส่นิ๊ดเดียว
พวกเครื่องปรุงนี่คืออะไรคะ
อาจารย์ อัญชลีถามอย่างรู้ทันว่าอาจารย์เริ่มสอนธรรมะอีกแล้ว
เครื่องปรุงคือการปรุงแต่งของเรา
คือความคิดของเรานั่นเอง เวลาเราเจออะไร แล้วเราก็มักจะปรุงแต่งต่อ
คิดต่อไปเยอะแยะ แล้วก็เกิดอารมณ์ไปตามความคิด
คือฟุ้งซ่านครับอาจารย์
เมธีพูดขำ ๆ พลางมองไปที่อัญชลี
คนเรามีพื้นเดิมวนเวียนอยู่กับโลกธรรม
8 คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ความคิดของเรามันก็จะเป็นไปตามโลกธรรม
8 นี่แหละ พอคิดแล้ว ก็จะทำให้เราเกิดเวทนา คือสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
ขึ้นในใจ
ดีชัด
ราดน้ำยำครึ่งหนึ่งลงในหม้อ แล้วเคล้าผักไปเรื่อย ๆ เมื่อผักโดนเครื่องยำ
มันก็ค่อย ๆ ยุบตัวลง
ตอนนี้ผักที่แสนซื้อของเราเป็นยังไง
ดีชัดถาม มือยังคนทัพพีเคล้าผักต่อไป
สลบไปแล้วค่ะอาจารย์
อัญชลีหัวเราะ
โดนยำซะเละ
เมธีต่อ
ดีชัดเติมน้ำยำลงไป
เคล้าต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก็เทใส่จาน
ไข่ดาวนี่ทอดให้ไข่ขาวกรอบ
ๆ ถึงจะอร่อย ไข่แดงให้สุกทั่วเลย หั่นโรยหน้าแบบนี้
ดีชัดวางไข่ดาวที่หั่นแล้วเป็นชิ้นเล็ก
ๆ บนผัก แต้มน้ำยำเล็กน้อยบนไข่ดาว
ความคิดคือเครื่องปรุง
เวลาเราไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน เขาจะยกพวงเครื่องปรุงมาตั้งให้ เราก็จะหยอดพริกน้ำส้มนิด
พริกป่นหน่อย น้ำตาลบ้าง ถั่วป่นบ้าง กินก๋วยเตี๋ยวเปล่า ๆ ไม่ได้
ต้องปรุง ตัวเราก็เหมือนกัน เวลาไปไหนๆ เหมือนเดินหิ้วพวงเครื่องปรุงไปด้วย
พอความคิดแวบเข้ามาหน่อย ก็ปรุงทันที เหยาะพริกน้ำส้มบ้าง พริกป่นบ้าง
ปรุงแล้วหัวใจก็กินเข้าไป แซบอีหลีเด๊อ เราคิดว่าสนุก แต่ความจริงไม่ใช่
บางคนรู้ว่าคิดแล้วกลุ้ม
ก็ยังคิด เหมือนคนที่กินของเผ็ดน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ยังกิน ความคิดที่ถูกเราปรุงแล้วก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวที่ถูกปรุง
เครื่องปรุงคือกิเลสทั้งหลาย โลภ โกรธ หลง นั่นเอง
พระพุทธเจ้าสอนให้เราพยายามฝึกที่จะรู้ทัน
ไม่เต้นตามความคิด แต่ไม่ใช่ห้ามคิดนะ เพราะมันห้ามไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติของคนเราที่จะต้องคิด
แต่ให้เรารู้ทันความคิด และต้องเลือกคิดให้เป็น คิดให้ถูก ภาษาพระท่านเรียกว่ามีโยนิโสมนสิการ
เราต้องระวังความคิดให้ดี เลือกคิดแต่สิ่งดี ๆ จะทำให้จิตใจเราผ่องใส
และมีชีวิตที่ดีงาม
ตอนนี้ได้เวลาที่ทุกคนจะนำอาหารที่ปรุงในวันนี้ทั้งหมดมานั่งกินด้วยกันก่อนกลับบ้าน
ดีชัดเอ่ยว่า
ผักที่ถูกยำแล้วมันอร่อยนะ
แต่ถ้าเราปล่อยให้ความคิดมายำเราอย่างนี้ละก็
.
สลบเหมือดเหมือนผักเลยค่ะ
อาจารย์ อัญชลีพูดต่อก่อนตักไข่ดาวเข้าปาก
ถ้าไม่อยากถูกมันยำก็ยำมันซะก่อนซี
เมธีว่า อัญชลีค้อน
ทำยังไงล่ะยะ
ก็พอมันคิดอะไรฟุ้งซ่านไปมาก
ก็หัดหยุดคิดซะมั่ง ชกมันให้สบบเหมือดไปเลย ดีชัดตอนแทนเมธี
แค่รู้สึกตัวว่า
กำลังฟุ้งซ่านแล้ว มันก็จะได้สติ เราก็จะหยุดฟุ้งซ่านได้ แล้วก็เปลี่ยนอารมณ์
หันไปทำอย่างอื่นที่มันมีประโยชน์ เราก็ออกจากความฟุ้งซ่านเรื่องนั้นได้
เมธียักคิ้วให้อัญชลีอย่างยั่วเย้า
ดีชัดพูดต่อไป
มีคำกล่าวว่า
ชีวิตคุณคือสิ่งที่คุณคิด เราคิดดี ชีวิตก็จะดี ถ้าคิดชั่ว ก็จะนำไปสู่สิ่งที่เลวร้าย
เรื่อง ๆ เดียวกัน คิดให้สุขก็ได้ คิดให้ทุกข์ก็ได้ ท่านสอนว่า คนมีปัญญา
จะสามารถพบความสุขได้ ในสถานการณ์ที่คนอื่นเป็นทุกข์ ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าความคิดที่ปรุงแต่งแล้วนี่เองที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในชีวิตของเราเลย
เราจะเป็นไปตามที่มันปรุง เพราะฉะนั้นเราจะต้องระวังตัวให้ดี ๆ อย่าให้มันพาไปในทางที่ทำให้เราทุกข์ใจ
ไว้อาจารย์ลองคิดเมนู
ยำความคิด มาทำทานกันนะคะ เผื่อเวลากลุ้มใจจะได้ทำกิน เป็นเครื่องเตือนใจ
อัญชลีบอกอาจารย์ดีชัดพยักหน้ายิ้ม ๆ เสียงเมธีเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ
อ๋อ
ก็ยำอัญชลีไง คงจะอร่อย. |