ไศลเจตน์
เป็นคนเก่งและฉลาด ทั้งยังมีความมุ่งมั่นในการทำงานสมชื่อ ไศลเจตน์
ซึ่งหมายถึงมีความมั่นคงในเจตนาของตนดังแผ่นหิน หน้าที่การงานเจริญ
ได้เป็นผู้จัดการภัตตาคารใหญ่แห่งหนึ่งตั้งแต่ยังหนุ่ม
ต่อมาเพื่อน
ๆ ได้รวมทุนทรัพย์ก้อนใหญ่ ให้ไศลเจตน์จัดการดำเนินงานภัตตาคารแห่งใหม่
เขาลาออกจากที่เดิม มุ่งมั่นกับงานใหม่ ตั้งแต่เรื่องสถานที่ การตกแต่ง
การจ้างงาน การสั่งซื้อวัตถุดิบ ฯลฯ เขาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนเปิดภัตตาคารแห่งใหม่ได้ในที่สุด เขาหวังว่าเขาจะได้เป็นหุ้นส่วนตามที่เพื่อนได้สัญญาไว้
แต่เขายังคงเป็นเพียงผู้จัดการเมื่อภัตตาคารเปิด กิจการเต็มไปด้วยความก้าวหน้า
ลูกค้าเข้าเต็มร้านสม่ำเสมอ นับเป็นร้านที่มีชื่อเสียง เรียกลูกค้าได้มากที่สุดในย่านนั้น
เมื่อทุกอย่างมั่นคงและลงตัว
วันหนึ่งก็มีการประชุมคณะกรรมการบริษัท และเสียงส่วนใหญ่ลงมติให้เขาออกจากบริษัท
จะมีผู้จัดการคนใหม่มาแทนในเงินเดือนที่ถูกกว่า และไม่มีสัญญาว่าจะได้เป็นหุ้นส่วนในอนาคต
ไศลเจตน์แทนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
ความเป็นเพื่อนไม่มีความหมายเมื่อเทียบกับความโลภในทรัพย์ อะไรก็เกิดขึ้นได้
ไพรินกำลังกราบพระพุทธรูป
ขณะที่ไศลเจตน์ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เขาเล่าเรื่องให้เธอฟัง และถามเธอว่า
"ผมเป็นคนดีตลอดมาไม่ใช่หรือ
ทำไมผมได้รับการตอบแทนแบบนี้"
ไพลินกุมมือเขาแผ่วเบาอย่างปลอบโยน
"นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนสำหรับความดีของคุณ
แต่เป็นวิบากกคือผลกรรมที่คุณกับเพื่อนมีต่อกัน คุณอาจจะเคยมีกรรมสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้มาแต่อดีต
บางทีนี่อาจจะเป็นการชดใช้คืน ความดีของคุณอาจจะเหมือนกับมะม่วงที่หน้าบ้านเรา
ที่ยังไม่ถึงเวลาออกผล มันคนละเรื่องกันค่ะ คนเราแวดล้อมด้วยกรรมดีและกรรมชั่วหลายเรื่อง
แต่ละเรื่องทำหน้าที่ให้ผลของมันตามวาระอันควร"
ไศลเจตน์ถอนหายใจ
เขารู้สึกหดหู่ ไพลินปลอบใจสามี
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
เราเริ่มต้นใหม่ได้ ถึงเราจะไม่มีเงินมากนัก แต่สมองเรามี แต่สิ่งที่เราจะต้องมีให้มากคือกำลังใจ
เรื่องเพื่อน ๆ อโหสิกรรมให้เขาไปเถอะค่ะ ถือว่าใช้หนี้กันหมดไป อย่าเอามาคิดอีก
พระพุทธเจ้าให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตให้มันจบไป คิดไปก็มีแต่จะกลุ้มใจ
ไม่เป็นประโยชน์ เสียสุขภาพทั้งกายใจ ไม่มีความสุข"
"ทำไมมันจะง่ายอย่างนั้นล่ะ
ไพลิน"
"ชีวิตจะง่ายหรือยาก
มันอยู่ที่เราจะเลือกนะคะ ลินเลือกให้มันจบดีกว่า เดินจากพวกเขามาเถอะค่ะ
ทิ้งเขาไว้กับความชั่วที่เขาทำตรงนั้น เราควรจะคิดว่าดีแล้ว ที่ได้รู้ว่าเขาชั่ว
จะได้ไม่ต้องมีชีวิตเกลือกกลั้วกับคนชั่ว และโชคดีแล้วที่เราไม่เป็นคนชั่วแบบเขา
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนแต่กัลยาณมิตร คบคนดี"
ไศลเจตน์มองภรรยา
เห็นเธอสงบเย็น ดูจริงจังกับสิ่งที่พูดออกมา เขามองดูตัวเอง เห็นความกังวล
เคียดแค้น ผิดหวัง อัดอั้นตันใจ จริงอย่างที่เธอบอก เขาไม่มีความสุขเลย
"นี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลกค่ะ"
ไพลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็น เธอไม่อยากให้สามีจมอยู่กับความคิดหมกมุ่น
จึงชวนคุย
"พระพุทธเจ้าสอนเรื่องโลกธรรม
8 การมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ 8 อย่างนี้วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราตลอดเวลา
เราต้องเรียนรู้ความธรรมดาของ 8 อย่างนี้ เราจะได้รู้ทันเมื่อมันเกิดขึ้น
ถ้าเรามองให้เห็นว่ามันเป็นธรรมดาของโลกนี้ได้ เราจะไม่หวั่นไหวมากไป
จนควบคุมชีวิตของเราไม่ได้"
ไศลเจตน์รู้สึกไม่อยากพูดอะไร
เขารู้สึกเหนื่อย แต่เขาก็รู้สึกอยากฟังเสียงพูดของไพลิน ที่แผ่วเบาสงบเย็น
เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นนั้น
"โลกของเรานี้
ทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ และอนัตตาไม่ใช่ตัวตน
บังคับไม่ได้ หลวงพ่อชา ท่านสอนเสมอว่า ไม่ว่าเราจะเจออะไร ให้พูดว่ามันไม่แน่
คือไม่เที่ยงอยู่เสมอ ทุกข์มาก็บอกไม่แน่ เดี๋ยวมันก็ต้องไป สุขมาก็ไม่แน่เหมือนกัน
เดี๋ยวมันก็ต้องจากไปเหมือนกัน เราวางใจว่าจะมีอะไรแน่นอน จีรัง ยั่งยืนไม่ได้เลย
สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอนนั่นเอง"
ไพลินเอื้อมมือไปนวดไหล่และต้นคอให้สามี
เขาหลับตาลง รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
"คุณเป็นคนดีมาตลอดค่ะ
คุณแน่ใจได้" ไพลินเอ่ยขึ้น ไศลเจตน์ยิ้มเล็กน้อย
"แต่ท่านสอนว่า
ให้เราทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพราะมันเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ทำความดีหวังผล
ท่านหลวงพ่อพุทธทาสสอนว่า "อย่าหวังอะไร ให้มันได้มาเอง" คำนี้ท่านอาจารย์วศิน
อินทสระ ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า คนที่จะไม่หวังอะไรนั้นจะต้องมีธรรมข้อหนึ่งคือ
อัตตจาคะ แปลว่าสละตน คือมอบตนให้กับธรรม คือถ้าเราเชื่อว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
เราก็มอบตนให้ธรรมไปเลย แล้วแต่ธรรมจะจัดให้เองทั้งความสุขความทุกข์
อย่างนี้แล้วความกลัวต่ออนาคตของคนเราก็จะน้อยลงไป พระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยันว่า
ธรรมที่ประพฤติพีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้"
ไศลเจตน์ยิ้มทั้งน้ำตา
เขาเริ่มเย้าไพลิน
"ยกพระมาทั้งคณะเลยนะวันนี้"
ไพลินหัวเราะเบาๆ
"อ้าว
ไม่อย่างนั้น คุณจะเชื่อลินหรือคะ คนเก่งคนฉลาดอย่างคุณนะสอนยาก"
"อ้าวทำไมมาว่าผมล่ะ"
เขาแย้ง
"คนฉลาดชอบคิดว่าตัวเองรู้อะไรทั่วไปหมดทุกเรื่อง
บางทีเลยไม่ค่อยยอมฟังคนอื่น เลยต้องยกคำอาจารย์หลาย ๆ ท่านมาช่วยลินด้วย"
ไศลเจตน์หัวเราะ
ส่ายหัว
"ผมฉลาด
แต่สอนง่ายนะ ดูสิ ผมนั่งฟังคุณตั้งนานไม่เถียงสักคำ ไม่เห็นหรือ ผมฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมควรจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูด
จริงมั้ย"
ไพลินพยักหน้า
ยิ้มละไม ดีใจในคำของสามี เธอระลึกถึงถ้อยคำแห่งธรรมะที่ว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
เหมือนร่มคันใหญ่ในฤดูฝน. |