กัมพุชนาฏ
กำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่ในสวน ขณะที่ลูกชายเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"คุณแม่ระวังหนามมันกัดเอานะครับ"
เขาพูดเย้าพลางหัวเราะ กัมพุชนาฎหัวเราะด้วยเบาๆ
"ไปรายงานตัวเรียบร้อยแล้วหรือ"
เธอเอ่ยถาม ลูกชายพยักหน้ารับ พาแม่มานั่งลงลนเสื่อที่ปูอยู่ใต้ต้นลั่นทมใหญ่ส่วนตัวเขาลงนอน
เห็นเมฆสีขาวลอยอยู่เหนือใบลั่นทม
"เป็นหมอก็เหมือเป็นพระนะลูก
" กัมพุชนาฎเอ่ยขึ้นเบา ๆ ลูบผมลูกชาย
"พระรักษาทุกข์ใจ
ส่วนหมอรักษาทุกข์กาย และต่างก็กินข้าวของชาวบ้านเหมือนกัน หมอก็เก็บค่ารักษา
พระก็บิณฑบาต ชีวิตคนเรานี่ก็มีสองทุกข์แค่นี้แหละ ทุกข์กายกับทุกข์ใจ
ต่อไปลูกต้องเป็นหมอที่ดีนะ"
"ดียังไงบ้างล่ะครับแม่"
"ดีคือเอาใจใส่คนไข้
หมอคือความหวังของคนไข้ เคยอ่านข่าวไหม ที่ครั้งหนึ่งหมอตรวจกรุ๊ปเลือดผิด
พอให้เลือด คนไข้ตัวเขียวเลย หมอก็ไปประชุม พยาบาลก็ไม่รู้ พอเห็นอาการแย่หนักพยาบาลจึงได้ไปแจ้ง
ทีนี้ผู้อำนวยการวิ่งลงมาเองเลย ผัวเขาก้มลงกราบแทบเท้าเลยขอให้ช่วยเมียของเขาด้วย
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ลูกเห็นมั้ยว่าเขาฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้ในมือหมอ
มันสำคัญมากนะลูก ถ้าอยากจะเป็นหมอ ก็ต้องรับรู้ความสำคัญของจุดนี้
จะละเลยไม่ได้ ถ้าอยากรวยอย่างเดียว หรือเพราะเรียนเก่งอย่างเดียวควรไปทำอาชีพอื่นเสียเลย
เพราะการรับผิดชอบต่อขีวิตคน เป็นภารที่หนักมาก ต้องยอมรับว่าความรับผิดชอบนี้มันมากับอาชีพนี้แหละ
จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรับผิดชอบอย่างเต็มที่และจริงใจนั่นแหละคือเป็นหมอที่ดี
ลูกต้องเป็นหมอที่ดี"
ลูกชายยิ้ม
พลางขยับตัวมาหนุนตักแม่เหมือนเด็ก ๆ และสำหรับแม่แล้ว ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหน
ก็ยังเป็นเด็กน้อยของแม่เสมอ
"เป็นหมอที่ดีต้องมีเมตตา"
กัมพุชนาฎ เอ่ยต่อไป เธอชอบเล่าเรื่องธรรมะให้ลูกชายฟัง
"พระพุทธเจ้าสอนว่า
ให้เรามีเมตตาให้มากเหมือนแผ่นดินที่ใครจะขุดให้หมดไม่ได้"
"โอ้โฮ
ไพเราะและลึกซึ้งมากเลยนะครับแม่ ถ้าปฏิบัติตามได้นี่ คงจะวิเศษมาก
ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ เลยนะครับ"
"ยังมีเรื่องแผ่นดินอีกอย่างหนึ่ง
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระราหุลลูกชาย" กัมพุชนาฎเอ่ยต่อ ลูกชายยิ้มเย้า
"เหมือนแม่กำลังสอนผมนี่มังครับ"
กัมพุชนาฎหัวเราะเบา ๆ ลูบผมลูกชายด้วยความรัก
"ท่านทรงสอนว่า
ให้เรา อบรมจิตให้เหมือนกับธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือไม่ยินดียินร้ายเมื่อกระทบกับสิ่งน่าปรารถนาบ้าง
ไม่น่าปรารถนาบ้าง
อบรมจิตให้เหมือนน้ำ ก็คือว่า น้ำจะพัดพาไปหมดทั้งของดีไม่ดี ไฟก็คือ
เอาของดีหรือของเลวใส่ลงไป ไฟก็เผาหมดไม่สนใจว่าเป็นอะไร ลมก็เหมือนกัน
กลิ่นดีกลิ่นไม่ดี ลมก็พัดไปหมด
สรุปก็คือ
ให้เรารับได้ทั้งสิ่งดีและไม่ดีที่มาหาเรา และเมื่อรับมาแล้วก็อบรมจิตไม่ให้ยินดียินร้าย
คือรับกระทบแล้วไม่กระเทือนไปกับมัน รู้ทันมัน อยู่เหนือมัน และปล่อยมันไป"
ลูกชายอมยิ้ม
แกล้งแหย่แม่ "งั้นผมพบคนไข้ก็ไม่ต้องสนใจสิครับ"
กัมพุชนาฎหยิกเข้าที่ต้นแขนแรง
ๆ อย่างหมั่นไส้ จนลูกชายร้องลั่น
"ถ้าลูกแยกแยะคำสอนไม่ออก
จะเรียกว่ามีปัญญาจบหมอมาได้ยังไง มีปัญญาทางโลกแล้ว ต้องมีปัญญาทางธรรมด้วยจึงจะสมบูรณ์
ท่านให้อบรมจิตให้เหมือนธาตุ 4 ก็เพราะเราต้องพบกับปัญหาหลายอย่าง
จากผู้คนรอบข้าง ในสังคม เช่นการนินทาว่าร้าย หรือการได้รับคำชม คำสรรเสริญ
การสูญเสียของที่รัก การได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ เราไม่ควรเสียใจหรือดีใจไปกับมัน
ให้มั่นคงไว้เหมือนแผ่นดินที่รับได้หมดโดยไม่หวั่นไหวตามสิ่งใด ๆ ที่เข้ามาสู่ดิน
ส่วนคนไข้นั้น เราก็ต้องมีเมตตาให้มากเหมือนแผ่นดิน"
"ที่ใครจะขุดให้หมดไม่ได้"
ลูกชายรีบต่อให้อย่างเอาใจ กัมพุชนาฎยิ้มชื่นใจ
"ลูกเป็นหมอ
เป็นอาชีพที่มีโอกาสทำบุญทุกวัน ช่วยคลายทุกข์กายให้คนไข้ แต่ก็ต้องพูดจาดี
รู้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด เพราะจิตใจของคนไข้ก็อยู่กับคำพูดของหมอเหมือนกันเป็นทุกข์ใจที่พัวพันกับทุกข์กาย
ไม่ใช่ทุกข์ใจแบบที่ไปหาพระ นั่นเขาทุกข์ใจในข้ออื่น "
ลูกชายจับมือแม่มากอดไว้
และพูดอย่างอ่อนโยน
"ผมรู้ครับแม่
แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมสัญญาว่าจะเป็นหมอที่ดี ผมรู้อยู่ว่าอาชีพนี้เป็นบุญ
ผมทำบุญได้เยอะ ทุกวัน ผมไม่ทิ้งบุญไปหรอกครับ จะเอาบุญมาฝากแม่เยอะ
ๆ "
กัมพุชนาฎปลื้มใจ
หอมแก้ม "คุณหมอใหญ่" เหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ. |