เย็นวันนี้
บุษบารำไพพาคุณยายมาเดินเล่นออกกำลังกายที่สวนรถไฟ คุณยายรู้สึกเบิกบานที่ได้เดินชมดอกไม้สวย
ๆ ที่ปลูกอยู่ข้างทางเดิน เด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่บนสนามใกล้แนวต้นลั่นทมที่กำลังออกดอกสีแดงไปทั่ว
แกสะดุดเท้าตัวเองเล็กน้อย จนทำท่าเซถลาไปข้างหน้า แต่ก็ตั้งตัวได้
ก่อนที่จะหกล้มลงไป คุณยายร้องอุ๊ยเบาๆ พลางทำท่าเหมือนจะประคองไว้
ทั้งที่อยู่ห่างกันตั้งไกล
บุษบารำไพหัวเราะเบาๆ
เอ็นดูทั้งเด็กและคุณยายที่กำลังพึมพำเบา ๆ ว่า ขอให้เป็นสุขเป็นสุขนะลูก
แกเป็นสุขอยู่แล้วนี่คะ
คุณยายขา บุษบารำไพเอ่ยยิ้ม ๆ
ก็ให้แกเป็นสุขมากขึ้น
คุณยายแผ่เมตตาประจำเลยนะคะ
ใช่จ๊ะ
ยายชอบปฏิบัติเรื่องแผ่เมตตา มันสบายใจดี คุณยายยิ้มอย่างมีความสุข
ดวงหน้าอิ่มเอิบผ่องใส
การแผ่เมตตานี่
เราแผ่ไปได้ตลอดเวลา เมตตาคือปรารถนาให้ผู้ที่เราพบมีความสุข ส่วนกรุณาคือ
ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ มันก็จะมาคู่กันเสมอ เพราะเมื่อเราอยากให้เขาเป็นสุข
เราก็อยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์
เวลาคุณยายสวดมนต์เสร็จ
หนูก็เห็นคุณยายนั่งแผ่เมตตาด้วย นานเชียว บุษบารำไพเข้าประคองแขนคุณยายขณะเดินข้ามสะพาน
อันนั้นเราแผ่ให้หลาย
ๆ คน แต่เราควรจะแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนนะจ๊ะ ท่านมีบทสวดที่ว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
เพื่อให้เราเป็นพยานกับตัวเองว่าเราเองก็อยากจะมีความสุข คนอื่นเขาก็อยากมีความสุขเหมือนกัน
แผ่ให้ตัวเองแล้ว ก็แผ่ให้คนอื่น คนที่มีพระคุณ คนที่เรารัก แม้แต่คนที่เราเฉย
ๆ หรือคนที่เราไม่ชอบเราก็แผ่ให้ แผ่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายใน 31 ภูมิเลย
แผ่ให้คนที่เกลียดกันนี่ลำบากหน่อยนะคะ
คุณยายขา บุษบารำไพหัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย เธอยกไม้ยกมือตามกลุ่มคนที่กำลังเต้นออกกำลังกายไปตามเสียงเพลงอยู่กลางสนาม
คุณยายยืนพักพลางแกว่งแขนเบา ๆ
การแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียด
ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปรักเขา แต่หมายความว่าเราจะไม่ไปคิดร้ายเขา
แล้วการแผ่ไปให้เขาบ่อย ๆ ก็อาจมีอานิสงส์ ทำให้เขากลับมาดีกับเราได้
เราเองก็ไม่ควรจะนึกเกลียดใครด้วย มันทำให้เราไม่สบายใจ
แต่ความที่มันรู้สึกไม่ชอบมันก็ยากนะคะ
เราไม่ได้มองที่ความเป็นเขาในนิสัยที่เราไม่ชอบ
ตอนที่เราแผ่เมตตา เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ดิ้นรนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนกัน
มันเป็นทุกข์โศกของสังสารวัฏ ขอให้เขาเป็นสุขเถิด เพราะเขาเองก็มีความทุกข์ในใจเขาเหมือนกัน
เขาก็ทุกข์ร้อนในแบบของความเป็นเขานั่นแหละ ที่เราไม่ชอบเขาเพราะเขาไม่ถูกใจเรา
แต่เราเองก็ไม่ได้เป็นที่ถูกใจคนอื่นไปทั้งหมดเหมือนกันไม่ใช่หรือจ๊ะ
ก็จะมีคนไม่ชอบใจเราเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นที่รักของคนทั้งโลกได้
********
บุษบารำไพพาคุณยายเข้าไปนั่งในซุ้มไม้ที่ดอกจันทร์กระจ่างฟ้าสีเหลืองห้อยย้อยลงมา
หนุ่มสาวคู่หนึ่งเข็นรถเด็กทารกแฝดผ่านมา เสียงเพลงจากลำโพงของสวนยังคงขับกล่อมผู้มาเดินเล่นให้เพลิดเพลิน
สายลมพัดมาเบา ๆ
การแผ่เมตตาให้ตัวเองนี่
ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นพยานให้ตัวเองก่อนแผ่ให้คนอื่นเท่านั้นนะ เวลาปกติ
เราก็ต้องเมตตาตัวเองด้วย คุณยายเริ่มคุยต่อ เมื่อนั่งพักได้สักครู่
เมตตาตัวเองคือยังไงคะ
คุณยายขา บุษบารำไพลงมือนวดคุณยายเบา ๆ
อย่างบางคนไม่ชอบข้อบกพร่องของตัวเอง
เช่นไม่ชอบที่ตัวเองมักโกรธ ก็จะหงุดหงิดเมื่อเห็นตัวเองโกรธง่าย
แล้วก็พยายามกดดัน บังคับนิสัยขี้โกรธนี้ให้หายไป ซึ่งมันก็จะไม่หายไป
ทำให้ตัวเองยิ่งไม่มีความสุขเข้าไปใหญ่ เขาต้องเมตตาตัวเองเห็นและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้โกรธ
แล้วก็ค่อย ๆ แก้ไขไปคราวใดที่พลาดไป โกรธไปแล้วก็ไม่ต้องต่อว่าตัวเองซ้ำลงไปอีก
ในตอนนั้นน่ะเมตตาตัวเอง ให้โอกาสตัวเองอีกครั้งที่จะฝึกแก้ไขใหม่
อันนี้เหมือนมีสองคนในตัวเราสิคะคุณยาย
คนหนึ่งโกรธ อีกคนเมตตาคนที่โกรธ บุษบารำไพนึกภาพตาม
ทำนองนั้นแหละ
คุณยายพยักหน้า บุษบารำไพตั้งสังเกต บางคนขี้โกรธ แต่ก็ชอบความโกรธของตัวเอง
ได้โว้กว้ากใส่คนอื่น เวลาฉันโกรธใครก็เข้าหน้าไม่ติด มีทิฐิว่าตัวเองมีอำนาจรู้สึกว่าฉันใหญ่นะใครอย่ามาแหยม
เห็นใคร ๆ กลัวก็เหมือนกับว่าจะเท่ดี หารู้ไม่ว่าเขาเบื่อไม่อยากจะยุ่งด้วยต่างหาก
คุณยายเสริมว่า
คนขี้โกรธไม่ดี ควรหัดเลิก ใคร ๆ ก็รักคนใจเย็น ใจดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ไม่มีเคราะห์ใดเสมอด้วยโทสะ เพราะโทสะพาแต่เรื่องเคราะห์ร้ายมาให้อยู่เสมอ
พระพุทธเจ้าทรงสอนภิกษุว่า
ให้วางความโกรธ ท่านสอนขนาดว่า ถ้ามีโจรมาทำร้ายมาตัดแขนตัดขา ถ้าภิกษุโกรธตอบนี่
ถือว่าไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนเลยนะจ๊ะ ท่านทรงสอนให้มีเมตตาให้มาก
เมตตาคือสิ่งตรงข้ามกับโทสะ เราจะลดความโกรธได้นี่ต้องใช้เมตตามาลบล้างกัน
พระองค์สอนให้เรามีเมตตาให้มากอยู่ 4 ข้อ ข้อแรก ให้มีเมตตาให้มากเหมือนแผ่นดินที่ใครจะขุดให้หมดไม่ได้
โอ้โฮ
บุษบารำไพร้อง อะไรมันจะมากได้ขนาดนั้นคะ คุณยายขา แล้วก็หัวเราะ
คุณยายยิ้มสบายใจ
ใช่จ้ะ
มากมายมหาศาล ถ้าเรามีเมตตามากอย่างนั้น ใครจะมาทำให้เราโกรธได้
แล้วข้อ
2 อะไรคะ คุณยาย บุษบารำไพอยากรู้ความน่าสนใจของข้อต่อไปทันที
ข้อ
2 คือให้มีเมตตามากเหมือนเราเป็นแม่น้ำคงคา ที่ใครจะเอาคบไฟมาจุดให้ติดไม่ได้
จุ่มลงมาทีไรต้องดับไปหมดเองใครหรืออะไรที่จะมาทำให้เราโกรธนี่ มาถึงไม่มีปัญญาทำให้เราโกรธดับไปเองเหมือนคบไฟที่เจอแม่น้ำ
คือพร้อมที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้ความสบายแก่เหล่าสัตว์โดยทั่วหน้า
คุณยายเสริม แล้วเล่าเรื่องเมตตาต่อไป
ข้อ
3 คือ ให้เรามีเมตตาให้เหมือนอากาศที่ใครจะวาดภาพให้ติดไม่ได้
งง
ค่ะ คุณยายขา บุษบารำไพหัวเราะ
หมายความว่า
อารมณ์ร้ายที่เข้ามาหาเรา มันไม่สามารถเกาะติดอยู่กับเราได้ เหมือนวาดสีไปบนอากาศ
จะให้สีติดอากาศลอยอยู่ไม่ได้ คือ เมตตาเรามากจนดับโทสะ ดับอารมณ์ร้ายที่เข้ามาได้นั่งเอง
อ๋อ
พอโทสะเข้ามาถึงเรา ก็ร่วงปึ๊ดลงไปเหมือนสะบัดสีไปในอากาศ สีก็ร่วงลงไปหมด
บุษบารำไพหัวเราะหึ ๆ คุณยายเล่าต่อ
ข้อ
4 ให้เหมือนถุงหนังแมวที่ใครจะตีให้ดังไม่ได้ ถุงหนังแมวนี่มันนุ่มมาก
ตีเท่าไหร่มันก็ไม่ดัง คือเรามีเมตตามาก ใครจะมายั่วให้เราโกรธ คือให้เสียงดังตอบเขาบ้าง
หรือทำอะไรตอบโต้กลับไปบ้างอย่างที่เขาต้องการนี่ ทำไม่ได้
บุษบารำไพยกมือขึ้นเหมือนเด็กนักเรียนตอบครู
อย่างนี้มาหาหนูได้
หนูจะเป็นหนังวัวที่ขึงหน้ากลอง ตีเบา ๆ ก็ดังลั่นเลย พูดแล้วก็หัวเราะแล้วรีบประจบคุณยาย
ล้อเล่นนะคะคุณยายขา
หนูเด็กดี ใจเย็น ไม่โวยวายใครหรอกค่ะ
คุณยายหัวเราะเบา
ๆ
คนที่โวยวายน่ะ
ไม่มีอะไรหรอก ท่านสอนว่า คนมีดีเขาเงียบ เหมือนโอ่งน้ำที่มีน้ำเต็ม
เราตีข้างโอ่งมันจะเงียบ แต่โอ่งเปล่านี่สิ ตีเบา ๆ ก็ดังกังวาน
แล้วเราจะมีเมตตามากขนาดพระพุทธเจ้าสอนได้ยังไงคะคุณยายขา
ก็ค่อย
ๆ ฝึกไป เปิดใจออกมองเห็นความธรรมดาของโลกความธรรมดาของคน มีเรื่องอะไรกันเราก็ว่า
ไม่เป็นไร หัดมีเมตตาต่อใคร ๆ ไปเรื่อย ๆ มันก็มากขึ้นได้เอง เหมือนคลองเล็ก
ๆ ถ้ามีน้ำมากผ่านมาบ่อย ๆ ก็กลายเป็นแม่น้ำได้ อย่างแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อก่อนก็เป็นคลองเล็ก ๆ มาเหมือนกัน เป็นคลองเชื่อมบางกอกใหญ่กับบางกอกน้อย
เดี๋ยวนี้กลายเป็นแม่น้ำ
อีกอย่างหนึ่งคือ
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนมรณานุสติให้เราระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ท่านถามพระอานนท์ว่า
วันหนึ่งระลึกถึงความตายกี่ครั้ง พระพุทธเจ้าเองระลึกถึงความตายทุกลมหายใจ
ถ้าเราระลึกถึงความตายบ่อย ๆ แล้ว จะรู้สึกว่าเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แล้วจะโกรธไปทำไม
การหัดมีเมตตามาก
ๆ ก็เป็นการเมตตาตัวเองอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะถ้าเราหัดได้แล้ว
มีเมตตามากได้แล้ว เราก็จะมีความสุขมีความเย็น ถ้าเราขี้โกรธนั่นเราทำร้ายตัวเอง
ไม่เมตตาตัวเอง คอยทำให้ตัวเองเร่าร้อนพลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธอยู่เสมอ
ๆ ไม่เมตตาให้ตัวเองได้มีชีวิตที่มีความสุขความสบายใจของอย่างนี้เราไม่ทำให้ตัวเอง
จะคอยให้ใครมาทำให้ จะมาหวังว่าให้คนอื่นมาดีกับเราตลอดเวลา เราจะได้ไม่ต้องโกรธงั้นหรือ
เราจะไปหวังคนอื่นได้อย่างไร เขาก็เป็นเขา เราเองต่างหากที่ต้องทำตัวเราเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเราเองได้
เราหัดมีเมตตามากเอง เราก็เย็นเอง ถึงใครจะเมตตาเรา ถ้าเรายังร้อน
เราก็ร้อนอยู่นั่นแหละ เราต้องเมตตาตัวเอง เย็นเอง สบายเอง
บุษบารำไพยิ้ม
นวดคุณยายต่อ กลับมาถามคุณยายเรื่องเมตตาตัวเองที่คุยค้างไว้ คุณยายยกตัวอย่างเรื่องใหม่
อย่างคนที่ไม่สบาย
ลุกไปทำอะไรไม่ได้ถนัดเหมือนปกติจะหงุดหงิดซ้ำว่าทำไมต้องมาป่วย
ทำไมทำอะไรไม่ได้อย่างใจ นี่ต้องเมตตาตัวเองว่าเราป่วยอยู่ ทำไมทำอะไรไม่ได้อย่างนี้
นี่ต้องเมตตาตัวเองว่าเราป่วยอยู่ ทำอะไรได้แค่ไหน แค่นั้นก็ดีแล้วมองในแง่ดี
เราไม่ต้องไปชอบมันหรอก ที่เราต้องทำคืออดทนกับมันเข้าใจมัน ไม่ไปเกลียดมันเท่านั้นเอง
อดทนกับมันคือยังไงคะ
คุณยาย
อดทนในที่นี้ก็คือเมตตานั่นแหละ
ให้ใจเมตตามัน ให้ใจอดทนที่จะอยู่กับความป่วยไข้ ปล่อยวางความกดดัน
เหมือนอย่างถ้าเรามีหลานที่เกเรสักคน เราจะทิ้งขว้างเขาหรือ เรายังอยู่กับเขาอย่างอดทนใช่มั้ย
แล้วก็พยายามสอนให้เขาเปลี่ยนเป็นคนดี อดทนที่จะสอนอีกด้วย จะมีเมตตา
ต้องอดทนกับสิ่งที่เราเมตตาด้วย แต่อดทนอย่างเมตตา ไม่ใช่อดทนอย่างเก็บกด
ไม่ถูก
คุยมาถึงตอนนี้
คุณยายหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
หลวงพ่อชาเคยเทศน์ว่า
ลูกคนมันไม่ใช่ลูกกระสุนนี่ จะได้ยิ่งแล้วทิ้งไป ท่านเทศน์น่ารักดี
ยายชอบ
อย่างนี้ถ้าบางคนเกเร
เป็นอันธพาล เขาจะไม่คิดว่าเขาต้องเมตตาตัวเองที่เกเร แล้วก็เกเรต่อไปหรือคะ
คุณยาย บุษบารำไพตั้งข้อสงสัย
เวลาเราคุยกันเรื่องธรรมะ
เหมือนเราจะละไว้ในฐานะที่เข้าใจว่าเราจะคุยกันโดยมีหลัก 2 ข้อ ว่าสิ่งนั้นดีมั้ย
และผิดศีลหรือเปล่า และการฟังธรรมะ เราก็ฟังเพื่อการพัฒนาไปสู่จิตใจที่ถูกต้องดีงาม
ทำให้ใจเบาสบายขึ้น
ดังนั้น
ถ้าเรื่องเกเร แล้วจะบอกว่าเมตตาให้เกเรมันคงอยู่ต่อไป ฟังแล้วก็รู้ว่าผิดเลย
จริงมั้ยหลาน เพราะมันไม่ได้พัฒนาขึ้นไปสู่สิ่งที่ดี
บุษบารำไพยิ้ม
เขาต้องดูตัวเอง ว่ามีชีวิตที่ไม่ดีอยู่ แล้วเมตตาตัวเองว่าควรจะเปลี่ยนนิสัย
เพื่อให้สิ่งดี ๆ กับชีวิตตัวเองบ้าง
ใช่
ถูกแล้ว คุณยายยิ้มรับ
คุณยายเมตตาตัวเองยังไงมั่งล่ะคะ
บุษบารำไพถามคุณยาย
ยายก็เมตตาตัวเองว่าแก่แล้ว
จะให้คล่องแคล่วเหมือนก่อนนะไม่ได้ มาเดินได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ได้นึกรังเกียจรำคาญความแก่ของเรา
ถ้าเราคอยรู้สึกว่าเราไม่ชอบอะไร ความไม่ชอบนั้นก็จะสร้างทุกข์ขึ้นมาใส่ไว้ในใจเรา
เราต้องไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ความเมตตาคือเราสามารถอยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา
และที่มาจากภายนอกได้ด้วยความสงบสุข
คุณยายลุกขึ้นเดินต่อ
บุษบารำไพพยุงคุณยายเล็กน้อย
ความรู้สึกต่าง
ๆ มันมาแล้ว มันก็ต้องไป อย่างบางวันที่เรารู้สึกหดหู่ เราก็เมตตาคือ
ดูมัน ทำความรู้จักกับมันอย่างสงบไม่ต้องไปรู้สึกขับไสไล่ส่ง ความรู้สึกพวกนี้มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้วมันก็ต้องหายไปเอง
ถ้าเรายิ่งไปรังเกียจไปขับไส มันก็ยิ่งติดอยู่กับเรานานขึ้นอีก แทนที่จะหายไป
กลายเป็นว่าความจดจ่อใส่ใจที่จะขับไล่นั่นแหละ เป็นตัวดึงเอาไว้
เลยทุกข์ไม่เลิก
อย่างนี้การเมตตาตัวเองนี่รู้สึกจะได้ใช้มากกว่าการแผ่เมตตาไปให้คนอื่นอีกนะคะคุณยาย
เพราะในตัวเราเองนี่มีเรื่องเยอะเลยค่ะ
เราก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกัน
เราก็ต้องเมตตาตัวเองด้วย เราจะได้มีความสุขความสงบในใจ พอใจเรามีความสุขแล้วเราจึงจะมีความสุขสำหรับจะแผ่ไปให้คนอื่นด้วยนะจ๊ะ
จริงสินะคะ
คุณยาย ถ้าเราไม่มีความสุขแล้ว เราจะไปบอกว่า ขอให้คนนั้นคนนี้เป็นสุขเป็นสุขเถิดได้ยังไง
เหมือนในถ้วยเรา เราเองยังไม่มีน้ำจะกินเลย แล้วจะยื่นให้คนอื่นกิน
ก็คงได้แต่กัดถ้วยเหล่าเท่านั้นเองนะคะคุณยาย บุษบารำไพหัวเราะร่าเริง
คุณยายหัวเราะตามเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะ
แม้ว่าเราเองจะยังไม่มีความสุขเราก็พยายามดูแลจิตใจของเราเพื่อแก้ปัญญาของเราไป
แต่เราก็ยังคงปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขได้เหมือนกัน
ยังไงล่ะคะ
คุณยาย
เหมือนอย่างที่ยายจะเดินไม่ไหวแล้ว
แต่ยายก็ปรารถนาจะให้หลานวิ่งฉิว ๆ ไปได้ยังไงล่ะ ถ้าต้องรอให้ยายวิ่งได้ฉิวก่อนหลานคงไม่มีโอกาสได้วิ่งแน่ๆ
เลย
บุษบารำไพหัวเราะชอบใจแล้วเข้าหอมแก้มคุณยายฟอดใหญ่
คุณยายหัวเราะอย่างมีความสุข.