กลับหน้าแรก   ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ 

 
          มาริสา เพิ่งกลับมาจากปฏิบัติธรรม 7 วัน ข้าวเม่ายิ้มทักตาโต

          "ผ่องมาเชียว ปฏิบัติธรรม"

          มาริสายิ้มแฉ่ง พยักหน้ารับ "วันหลังไปด้วยกันมั้ยล่ะ" ข้าวเม่าส่ายหน้า ยิ้มแหยๆ

          "ไม่ไหว ทำไม่ด้ายยย จะให้ไปนั่งสมาธิเป็นชั่วโมง ๆ นั่งไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ อิมพอสสิเบิ้ล"

          "งั้นก็ไม่ต้องไป ปฏิบัติธรรมเอาเองก็ได้"

          ข้าวเม่าตาโตอีกหน "นั่งสมาธิที่นี่เหรอ โดนไล่ออกจากงานเดะ แนะนำดีนะ"

          มาริสาหัวเราะขัน "ไม่ใช่อย่างงั้น ก็การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ต้องไปนั่งสมาธิที่วัดอย่างเดียวนี่ เข้าใจผิด ความจริงธรรมะอยู่กับเราตลอดทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่เช้ายันเข้านอน เราปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลาเลย เพียงแต่เรารู้จักธรรมะเท่านั้นแหละ"

          ข้าวเม่าเริ่มสนใจ ความจริงก็มีความใฝ่ดีอยู่ในตัวเหมือนกันแหละ เพียงแต่ขี้เกียจ ไม่ชอบนั่งสมาธิ เพราะความที่นิสัยเป็นลิงเป็นค่าง นั่งเฉย ๆ ไม่ค่อยได้ ข้าวเม่าถาม "ทำไงมั่งล่ะ" มาริสาจึงเริ่มสาธยายธรรม

          "พระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ทางใจ ทุกข์กายท่านไม่พูดถึง เพราะมันต้องทุกข์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว การพ้นทุกข์ใจได้ ขั้นต้นก็ต้องมีชีวิตที่สงบก่อน อันว่าชีวิตจะสงบสุขได้ การมีศีลเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรารักษาศีล 5 ได้ ชีวิตจะสงบสุข ไม่เดือดร้อน ถ้าศีล 5 ดี เราจะสบายใจเหมือนว่าตัวเราสะอาดปลอดโปร่ง ไม่มีกังวลว่าเคยไปทำอะไรผิดมา ไม่มีเรื่องเศร้าหมองใจ เราก็ทำสมาธิได้"

          พอได้ยินคำว่าสมาธิ ยิ้มของข้าวเม่าเริ่มหุบ

          "ทำสมาธิ เราทำเพื่อให้ใจสงบ ทำง่าย ๆ สบาย ๆ นะ เอาใจจดจ่อดูลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูก ดูลมหายใจเข้า ดูลมหายใจออกที่ผ่านปลายจมูก ไม่ต้องบริกรรมคำอะไรก็ได้ ถ้ามีความคิดแวบเข้ามา เราก็รู้ตัวว่า มีความคิดเข้ามา ความคิดก็จะหายไป เรากลับไปดูลมหายใจใหม่ แค่นี้เอง ทำแบบสบาย ๆ ไม่ต้องเครียดทำแบบเล่น ๆ พอมีสมาธิได้พอสงบใจแล้ว เราก็ทำวิปัสสนา คือการตามรู้สึกตัว ให้รู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา รู้บ่อย ๆ รู้ตามความจริงที่เกิดขึ้นในใจเรา เช่น ชอบก็รู้ว่าชอบ โกรธก็รู้ว่าโกรธ ตามรู้ตามดูสิ่งที่ใจของเรา "รู้สึก" ขึ้นมานั้นอยู่เรื่อย ๆ ตลอดวัน บางทีก็เผลอไปบ้าง ไม่ได้ดูว่าใจเรารู้สึกอย่างไร ก็ไม่เป็นไร รู้ว่าเผลอไปแล้วก็แล้วกัน ก็มารู้มาดูเอาใหม่ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ฝึกรู้ไป"

          ข้าวเม่าแกล้งหาว เมื่อมาริสาพูดยาว แต่ก็ยิ้มให้ ยังสนใจฟัง

           "ธรรมะข้อต่อไปก็คือ ในชีวิตประจำวันของเรานี่ จะมีโลกธรรม 8 คือ การมีลาภ เสื่อลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ สังเกตมั้ยว่า เรามี 8 อย่างนี้ มาวนเวียนอยู่ทุกวันในชีวิตเราตั้งแต่เข้าจนเย็น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง"

          "วันนี้มาหลายอย่าง เมื่อกี้โดนยายเม้านินทา แล้วยังบัตรเครดิตแม่เหล็กเสีย กดเงินไม่ได้ เป็นทุกข์ " ข้าวเม่าเล่าพลางหัวเราะ "แต่ก็ยังดีมีความสุขด้วย นี่เห็นมั้ย "

          ข้าวเม่าหันไปหยิบถุงข้างตัว เอาเสื้อตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อออกมาโชว์ "ถูกใจจัง"

          มาริสาพยักหน้า

          "นั่นไง มันมี 8 อย่างนี้ มาหาเราอยู่เรื่อย ๆ เราต้องรู้ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ต้องมองให้เห็นความเป็นธรรมดาของมันให้ได้ แล้วเราจะอยู่เหนือมัน ไม่ต้องวุ่นวายใจไปกับมัน การเห็นความธรรมดาของมันนี่แหละคือการปฏิบัติธรรม"

          "แล้วจะเห็นมันธรรมดาได้ไง" ข้าวเม่าซักไซ้ไล่เลียง

          "คือทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง นี่เป็นสัจธรรม เมื่อเรารู้ทฤษฎีของโลกแล้วว่าคือความไม่เที่ยง เราก็จะเห็นความเป็นธรรมดาได้เอง เช่นเรายอมรับว่ามีลาภไม่เที่ยง มีแล้วอาจจะหมดลาภไปเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น พอลาภมันหมดไป เรารู้ก่อนแล้วนี่ก็เลย เออ ธรรมดา มีแล้วมันต้องหมด เพราะมันไม่เที่ยง รู้ก่อนแล้วว่าไม่เที่ยง ไม่เสียใจ อย่างนี้ไง"

          ข้าวเม่าหัวเราะ "ลาบหมด เอาส้มตำแทนก็ได้"

          มาริสาหัวเราะ "แต่ส้มตำก็ไม่เที่ยงเหมือนกันนะ"

          "ช่าย ส้มตำก็อร่อย มีมาละก้อ......หมดแน่ อันนี้เที่ยง "ข้าวเม่าหัวเราะอีก

          "พอเราเห็นความไม่เที่ยงในทุก ๆ อย่าง เราก็เห็นความเป็นธรรมดาได้บ่อยขึ้น ใจของเราก็จะเริ่มคลายจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะเราเริ่มได้เรียนรู้แล้วว่า ยึดไปมันก็ไม่ยอมเที่ยงให้เรา บ่อยเข้าใจมันจะเบื่อ มันเมื่อยขี้เกียจยึด มันก็จะเริ่มปล่อยวาง ความทุกข์ใจเราก็จะไม่มี เราก็จะอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี้อย่างมีทุกข์ใจน้อยลงเรื่อย ๆ "

          ข้าวเม่า เริ่มเห็นแสงสว่างทางธรรมขึ้นมารำไร

          "หมายความว่า เราคิดเรื่องไม่เที่ยงนี่ไปกับทุก ๆ เรื่องในชีวิตประจำวันของเรา ที่มีโลกธรรม 8 เข้ามาพัวพันนัวเนีย จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จะปล่อยวาง ไม่ไปเดือดร้อนกับอะไรอย่างนี้ถูกมั้ย " ข้าวเม่าสรุป

          มาริสายิ้มแฉ่ง "ใช่ นี่คือเราปฏิบัติธรรมในชีวิตเราตลอดวันตลอดคืน เห็นมั้ยว่าไม่ต้องลางานไปวัด 7 วันอย่างเราก็ได้"

          "งั้นไปทำไม" ข้าวเม่าถาม

          "ที่เราไป ก็เหมือนไปโรงเรียน ไปอบรมให้เข้มข้นหน่อยจะได้ก้าวหน้าเร็ว เพราะไปนี่ไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลย ตามดูใจอย่างเดียว ถ้าฝึกมาก ๆ เราจะได้มีสติสัมปชัญญะที่แข็งแรง เวลามาเจอโลกธรรม 8 ในที่ทำงาน จะได้พิจารณาทัน เหมือนขับรถน่ะ ถ้าขับคล่องก็หลบเก่งหน่อย ไม่ชนง่าย แล้วรถก็แข็ง เวลาถูกชนไม่บุบง่ายเป็นกระป๋อง"

          ข้าวเม่าค้อน นึกถึงกันชนท้ายรถที่บุบไปแล้วยังไม่ได้ซ่อม มาริสาทำเป็นไม่เห็นค้นที่เฉี่ยวมา

          "อีกเรื่องหนึ่ง ที่เราต้องมีคือ พรหมวิหาร 4 มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตา คืออยากให้คนอื่นมีความสุข กรุณา คืออยากให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา ก็คือยินดีกับเขาเมื่อเขาได้ดี อุเบกขา คือการวางเฉยในสิ่งที่เราช่วยเหลือไม่ได้แล้ว เช่นถ้ามีใครเป็นทุกข์ เราช่วยเหลือเขาเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ก็ยังทุกข์อยู่ เราต้องอุเบกขาเป็น ไม่อย่างนั้นจิตใจเราก็จะแย่ เป็นทุกข์หนักที่ช่วยเขาไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูก ถ้าช่วยเต็มที่แล้ว ก็ต้องอุเบกขา คือวางเฉย ถือว่าเป็นกรรมของเขาที่เขาจะต้องรับเอง เพราะท่านสอนว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน การมีพรหมวิหาร 4 จะช่วยให้ปลอดโปร่ง เบาสบายในจิตใจตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องเมตตา ยิ่งเป็นคนมีเมตตามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เป็นเงาตามตัว"

          มาริสายิ้มให้ข้าวเม่าที่กำลังยิ้มหวาน เพราะข้าวเม่าเป็นคนมีเมตตาอยู่แล้ว เคยเอาข้าวห่อที่ซื้อไปให้แฟนให้หมากินแทนเพียงแต่ได้สบสายตาอันละห้อยเพราะหิวข้าวของหมา

          "ถ้ามีเมตตาอยู่กับเราเนี่ย จะวกกลับไปช่วยเหลือเกื้อกูลให้เรารักษาศีล 5 ได้ดีอีกด้วย เพราะแค่คิดก็คิดไม่ออกแล้วเรื่องจะทำให้ใครเจ็บ อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์ แล้วก็ไม่อยากขโมยของใครไม่อยากแย่งแฟนใคร เพราะสงสารเข้าของเขาว่าจะต้องช้ำใจ ไม่โกหกด้วย เพราะเมตตาว่าพูดเรื่องไม่จริงนั้นไปแล้ว ทำให้คนอื่นเสียหาย แล้วก็ไม่กินเหล้า เพราะเมตตาสุขภาพตัวเอง ธรรมะนั้นเกื้อกูลกันไปมาอย่างนี้แหละ"

          ข้าวเม่าขยับบิดขี้เกียจ นั่งมานานจึงสรุปสัมมนา

          "ข้าพเจ้ายอมรับแล้วว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง ข้าพเจ้าจะพยายามสนใจศึกษาธรรมมากขึ้น ขอขอบคุณวิทยากรที่กรุณามาเทศน์ในวันนี้" พลางแซวว่า

          "แล้วเที่ยงวันนี้ มันจะมีตอนเที่ยงมั้ยเนี่ย เกิดมันไม่เที่ยงขึ้นมา ไม่มีตอนเที่ยง แล้วจะกินข้าวเที่ยงได้ไง"

          มาริสาหัวเราะ " เวลาเที่ยงนั้นมีแน่ แต่ข้าวเที่ยงอันนี้ไม่แน่เห็นวาระประชุมยังยาวเหยีอดเลย อดข้าวเที่ยงแน่ อย่างน้อยต้องบ่ายสอง"

          ข้าวเม่าหน้าแหย ไม่นึกว่าคำแซวของตัวเองจะเป็นจริงขึ้นมาจึงเอ่ยเอวังขึ้นว่า

          "โลกธรรมข้อ 8 วันนี้ว่าด้วยทุกข์ อดข้าวเที่ยง".
 


แค็ตตาล็อก
1. ก่อนช้อป 19. ไม่ได้มุสา 37. สมรรถภาพจิต
2. ธรรมะอินเตอร์เน็ต 20. เปลี่ยนจุดมอง 38. ยำความคิด
3. พญามารรับน้อง 21. กฐินของฝนสุย 39. ผู้ให้
4. ถังเหลืองแลกหุ้น 22. สร้างพระ 40. คนมีธรรม
5. น้ำตาบารมี 23. ศึกมังฉงาย 41. ธรรมะประจำชีวิต
6. ปล่อยบุญ 24. ให้อภัยตัวเอง 42. แผ่นดินสอนธรรม
7. ทิ้งเวร 25. บุญบนโต็ะทำงาน 43. เทียนชีวิตของจอม
8. สะดือพริตตี้ 26. ข้าวแกงใส่ธรรม 44. ซักใจ
9. บุญไม่เกี่ยว เหนียวไว้ก่อน 27. นักขายประกัน 45. สมถะกับวิปัสสนา
10. ส่งหรีดส่งบุญ 28. สุดสาครสันโดษ 46. เมตตาตัวเอง
11. ต้นไม้ของใจแก้ว 29. ติ่มซำอิจฉา 47. กรรมลิขิต
12. พระสร้างวัด 30. กรรมมาเยี่ยม 48. เบียดเบียนตนเอง
13. พระพุทธรูปสอนธรรม 31. บุญงามยามเช้า 49. คารวะแด่พระอาจารย์วศิน อินทสระ
14. ธรรมะโฮล อิน วัน 32. การพยาบาลของวันวิสาข์ 50. วันสงกรานต์
15. เทียนไสว 33. กรรมโบราณ 51. งานวันปีใหม่
16. ปากกาของเมฆอ้วน 34. ล้างจานล้างใจ 52. บันทึกท้ายเล่ม
17. หัวใจติดแอร์ 35. น้ำในเรือ 53. โอวาทคำสอน
18. รักษาใจ 36. ชีวิตหุ่นเชิด อ่านแบบไฟล์ .pdf
 
หน้าแรกธรรมจักร l กลับเรือนธรรม