เผด็จการโดยธรรม
เป็นคำที่หลวงพ่อพุทธทาส ท่านได้บัญญัติขึ้น หมายถึงความกล้าหาญ
ความเฉียบขาด กล้าตัดสินใจ กล้าลงมือทำในสิ่งที่ตนเห็นว่า
"ถูกต้อง" ในทันที ไม่มีการรีรอหรือลังเลใจใด
ๆ
แต่อย่าลืมว่า
เผด็จการโดยธรรมนี้ ท่านย้ำอยู่เสมอว่า ต้องมี "ธรรม"
คือ "ความถูกต้อง" กำกับอยู่ด้วยทุกกรณีไป
ถ้าขาดความถูกต้องเสียเพียงประการเดียวเท่านั้น นอกจากจะไม่เกิดผลดีที่ฉับพลันแล้ว
มันยังจะ "พัง" เป็นแถบ
ๆ ไปโดยรวมเร็วเสียด้วย
การที่คนเราจะทำอะไร
? ในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นความดีงาม และถูกต้องแล้ว
แต่มัวรอปรึกษาคนโน้น รอขอความเห็นคนนี้ รอประชุมที่นั่น
รอสัมมนาที่นี่ ประเภท "กว่าถั่วจะสุก
งาก็ไหม้" กันพอดีนั้น ก็เกิดเพราะเราขาดเผด็จการโดยธรรม
เพียงประการเดียวแท้ ๆ
โดยเฉพาะการดำเนินปฏิปทา
เพื่อบรรลุสู่ความสุข อันเป็นเรื่อง "ปัจเจกชน"
เพื่อให้ครบวงจรด้วยแล้ว ถ้าขาดเผด็จการโดยธรรมแล้ว
โอกาสที่เราจะได้เสวยสุขก็คงจะมีได้น้อย เพราะปัญหาในชีวิตของแต่ละคนนั้น
มันช่างมีมากมายเสียเหลือเกิน แต่ตัวชีวิตมันกลับมีน้อย
ไม่พอแก่งานเสียเลย เผลอเผล็บเดียว ก็แก่เฒ่าจะเข้าโลงเสียแล้ว
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุความสุขนั้น
เราจำเป็นที่จะต้อง "รีบอย่างช้า ๆ"
นั่นคือ เราต้องเร่งรัดในการกระทำ แต่ไม่เร่งรัดที่จะรับผล
หมายความว่า การทำเหตุเป็นหน้าที่ของเรา แต่การให้ผลเป็นหน้าที่ของพระธรรม
(หรือพระเจ้า) เราจะต้องรอได้คอยได้
ในชีวิตของคนเรา
มีปัญหาต่าง ๆ เป็นอันมาก ที่เราจำจะต้องเร่งรัดทำ เพื่อให้ทันแก่อายุอันน้อยนิดนี้
ถ้าเรามัวแต่โอ้เอ้ปล่อยให้วันคือมันล่วงไปเสียเปล่าแล้ว
มันก็ไม่ล่วงไปแต่วันและคืนเท่านั้น นอกจากว่าเราจะไม่ได้เชยชิดความสุข
ตามวิสัยของชาวบ้านแล้ว มันยังนำเอาความขมขื่นทรมาน
และความทุกข์นานาประการ มาประดังประเดให้ด้วย การใช้เผด็จการโดยธรรม
จึงก่อผลดีโดยส่วนเดียว เช่น
-
การคบเพื่อนชั่ว เมื่อเรารู้ว่าเพื่อนชั่ว
เราไม่อาจที่จะช่วยดึงให้เพื่อนกลับตัวได้แล้ว เราก็ควรที่จะใช้เผด็จการโดยธรรม
เข้าจัดการคือเลิกคบกันในทันที อย่ามีเยื่อไยต่อกันไปอีกเลย
-
ผัวหรือเมียชั่ว เราห้ามก็แล้ว ขอร้องก็แล้ว
ทั้งปลอบทั้งขู่ไม่ได้ผล ก็ควรที่จะเผด็จการโดยธรรม
เลิกหรือหย่ากันไปเสียเลย ขืนทนทู่ซี้อยู่กันต่อไป ก็รังแต่จะแบกความทุกข์เปล่า
ๆ
-
ลูกเลว หน้าที่ของเราก็จะต้องแนะนำสั่งสอน
ให้ทำความดี ถ้าเขาไม่รักดี ก็ต้องเฆี่ยนตีสั่งสอน ถ้าเหลือขอจริง
ๆ ก็ต้อง "ตัดหางปล่อยวัด"
คืออย่าไปสนใจเขาอีกเลย
-
ใจชอบใฝ่ชั่ว คือตัวเรามันนิยมความชั่ว เช่น
ชอบเล่นการพนัน เป็นคนขี้เหล้าขี้ยา (บุหรี่) เป็น "โรคเห็นเมียคนอื่นสวยกว่าเมียตน"
เป็นต้น ก็จะต้องใช้เผด็จการโดยธรรม ฟันฉับลงไปให้เต็มแรง
ต้องเลิกละให้เด็ดขาด อย่าได้เมตตาปรานี ให้มันกลายเป็นโรคเรื้อรัง
ต่อไปอีกเลย
-
โรคแพ้ความดี คือไม่ชอบให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนา
ไม่สนใจวัดวาหรือธัมมะธัมโม ก็อย่าไปโอ้โลมปฏิโลม ให้มันได้ใจอีกต่อไป
จงใช้ดาบเผด็จการโดยธรรมฟันมันอย่าเลี้ยง ด้วยการฝืนใจมันทำเป็นชอบเสียบ้างฝืนนานไปมันก็จะเคย
และจะชอบในที่สุด
-
เจ็บแล้วต้องจำ มีคนเป็นอันมาก ที่มีความทุกข์แล้วก็ไม่จำไม่เข็ด
ยังไปทำเหตุนั้นเข้าอีก มันก็จะต้องถูกความทุกข์เล่นงาน
ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักสิ้นสุด นี่ก็เพราะเหตุที่ "เจ็บแล้วไม่จำ"
ก็ต้องเผด็จการโดยธรรมกัน
-
รู้แต่ไม่ยอมทำ คือคนทั่วไปส่วนมาก ย่อมจะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุของความทุกข์
? และอะไรเป็นเหตุของความสุข ? แต่ไม่กล้าที่จะตัดสินใจทำลงไป
มัวแต่กลัวนั่นเกรงนี่ อ้างโน่นอ้างนี่ แล้วก็ต้องทนทุกข์ต่อไปเหมือนเดิม
จากวันเป็นเดือนและเป็นปี ก็เพราะขาดเผด็จการโดยธรรม
เผด็จการโดยธรรมนี้
เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากเลย เพราะเราทำกับตัวของเราเอง
หรือทำในขอบเขตความรับผิดชอบของเรา ทำแล้วเราก็ย่อมจะประสบความสุขในทันที
ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาหรือมีความทุกข์ใด
ๆ ก็ตาม ควรใช้เผด็จการโดยธรรมมาปฏิบัติ มีขั้นตอน ดังนี้
๑.
ตั้งสติและปลุกสัมปชัญญะ คือ ระลึกและรู้สึกตัวให้ได้ก่อนว่าอะไรเกิดขึ้น
? และควรจะมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร ? ใครจะเป็นคนแก้
? และจะแก้ได้อย่าง ?
๒.
ศึกษาให้แจ่มแจ้ง คือ ให้รู้ "ต้นเหตุ"
ของปัญหานั้น ๆ อย่างถูกต้องและตรงจุด ถ้ายังไม่รู้จริงควรสอบถามท่านผู้รู้ก่อน
อย่าทำลงไปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ จะเกิดผลข้างเคียงและแก้ภายหลังยาก
๓.
ลงดาบเผด็จการโดยธรรม คือ เมื่อแน่ใจแล้ว่าถูกต้องก็จะใช้ความกล้าหาญ
"ลงดาบ" ในทันที แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
และบรรลุถึงความสุขตามประสงค์.