ในอดีตกาล พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ
ทรงมีพระนครแปดหมื่นสี่พัน อันมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข
ปราสาทแปดหมื่นสี่พัน อันมีธรรมปราสาทเป็นประมุข รถแปดหมื่นสี่พัน
อันมีรถเวชยันต์เป็นประมุข บรรดาพระนครแปดหมื่นสี่พันนั้น
พระนครที่ทรงครอบครองสมัยนั้น ก็มีเพียงนครเดียวเท่านั้นคือกุสาวดีราชธานี
บรรดาปราสาทแปดหมื่นสี่พัน ปราสาทที่ทรงครอบครองสมัยนั้น
ก็มีเพียงปราสาทเดียวเท่านั้นคือธรรมปราสาท บรรดารถแปดหมื่นสี่พัน
รถที่ทรงนั่งสมัยนั้น ก็มีเพียงคันเดียวเท่านั้นคือเวชยันต์
จงดูเถิดสังขารเหล่านั้นทั้งหมด
ล้วนเป็นอดีตดับสิ้นไปแล้ว ผันแปรไปแล้ว สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้แล
สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืนอย่างนี้แล สังขารทั้งหลายไม่ให้ความโปร่งใจอย่างนี้แล
(มหาสุทัสสนสูตร
๑๐/๑๘๕)
แม้สังขารคือตัวเราและคนที่เราโกรธก็เช่นกัน ล้วนเป็นของไม่เที่ยง
เป็นของแปรปรวน มีขึ้นแล้วก็หายไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เหมือนฟองน้ำใส ๆ ตั้งขึ้นแล้วก็ดับไป เหมือนอารมณ์ที่ฝันเห็น
ตื่นขึ้นแล้วก็ดับไป เหมือนญาติพี่น้องปู่ย่าตายายที่ตายไป
บัดนี้หายไปไหนเล่า ตัวเราและคนที่เราโกรธก็จะต้องดับสูญไป
ต้องตายไปเช่นนั้นเหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะมัวมาแก่งแย่งชิงดีกัน
โกรธเคืองกัน
เมื่อมาระลึกอย่างนี้ ก็อาจเกิดความสลดสังเวช แล้วคลายความโกรธลง
สิ่งใดใด
ในโลกนี้ ไม่มีเที่ยง
เกิดเท่าไร ก็ตายเกลี้ยง สุดเลี่ยงหนา
ผลสุดท้าย
เราเขาตาย วายชีวา อนิจจา น่าจะหน่าย
คลายโกรธเอย
(ธมฺมวฑฺโฒ
ภิกฺขุ)