สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
มีหญิงคนหนึ่งชื่อ ธนัญชานี เป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
เลื่อมใสยิ่งในพระรัตนตรัย ส่วนพราหมณ์ภารทวาชโคตรผู้สามีนั้น
เป็นมิจฉาทิฏฐิ (พราหมณ์=พวกนักบวชที่เป็นเจ้าพิธี)
เมื่อนางกล่าวว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พราหมณ์ก็ปิดหูเสีย
วันหนึ่ง
พราหมณ์ภารทวาชโคตรปรึกษากับนางธนัญชานี เชิญพราหมณ์
๕๐๐ คนมาเลี้ยงอาหารในวันรุ่งขึ้น และขอให้นางงดกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าเสียสักวันหนึ่ง
นางตอบว่า ท่านจะแตกจากพราหมณ์ก็ดี จากเทวดาก็ดี ส่วนฉันระลึกถึงพระศาสดา
ไม่นอบน้อม ไม่สามารถที่จะอดกลั้นได้ แม้จะถูกพราหมณ์ขู่ว่าจะสับด้วยพระขรรค์
นางก็ไม่กลัว
รุ่งขึ้น นางธนัญชานีอาบน้ำหอมนุ่งผ้าใหม่ และประดับด้วยเครื่องประดับ
ถือทัพพีทองตักอาหารเลี้ยงดูพวกพราหมณ์ในโรงอาหาร ขณะที่นางนำอาหารเข้าไปให้พราหมณ์ภารทวาชโคตร
เกิดก้าวเท้าพลาด จึงเปล่งอุทานสามครั้งว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พวกพราหมณ์ทั้งหลายพอได้ยินเสียงนั้น เป็นเสมือนถูกค้อนเท่าภูเขาฟาดลงบนศีรษะ
เหมือนถูกหลาวแทงที่หู เสวยทุกข์โทมนัสโกรธว่า พวกเราถูกคนนอกลัทธินี้ลวงให้เข้าสู่เรือน
จึงทิ้งก้อนข้าว พลางด่าพราหมณ์ภารทวาชโคตร แล้วหลีกไปคนละทิศคนละทาง
พราหมณ์ภารทวาชโคตรเห็นพวกพราหมณ์ที่เชิญมาต่างพากันแยกไปคนละทางอย่างนั้น
จึงจ้องมองดูนาง ธนัญชานีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า คิดว่า
เราเห็นภัยนี้แล จึงขอร้องนางแต่วันวานก็ไม่ได้ คิดแล้วก็ด่านางโดยประการต่าง
ๆ แล้วกล่าวกับนางว่า ก็หญิงถ่อยนี้กล่าวคุณของสมณะโล้น
อย่างนี้ อย่างนี้ ไม่ว่าที่ไหน ๆ แน่ะหญิงถ่อย บัดนี้
เราจักโต้คารมต่อพระศาสดานั้นของเจ้าบ้างละ
นางธนัญชานีกล่าวว่า พราหมณ์ ฉันยังไม่เห็นบุคคลผู้จะพึงโต้คารมกับพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เลย
เอาเถิด ท่านจงไป แม้ไปแล้วก็จักรู้เอง
พราหมณ์ไปด้วยคิดว่า พระสมณโคดมเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้าน
ใคร ๆ ไม่อาจจะไปว่ากล่าวหรือคุกคามอย่างใด ๆ ได้ จำเราจักถามปัญหาสักข้อหนึ่ง
คิดแล้วแต่งปัญหามีใจความว่า
บุคคลฆ่าอะไรได้ย่อมนอนเป็นสุข ฆ่าอะไรได้ย่อมไม่เศร้าโศก
ข้าแต่พระโคดม พระองค์ทรงชอบใจการฆ่าอะไร
พราหมณ์คิดว่า ถ้าพระสมณโคดมกล่าวว่า เราชอบใจการฆ่าบุคคลชื่อโน้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักข่มท่านว่า ท่านปรารถนาจะฆ่าเหล่าชนที่ท่านไม่ชอบใจ
ท่านเกิดมาเพื่อจะฆ่าโลก ความเป็นสมณะของท่านจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าพระสมณโคดมจักกล่าวว่า เราไม่ชอบการฆ่าใคร ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้
เราจักข่มท่านว่า ท่านไม่ปรารถนาจะฆ่ากิเลสมีราคะเป็นต้น
เพราะเหตุไรท่านจึงเป็นสมณะเที่ยวไป ดังนั้น ด้วยปัญหาสองเงื่อนนี้
พระสมณโคดมก็จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้ว
พราหมณ์ก็ได้ถามปัญหาที่เตรียมไว้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า บุคคลฆ่าความโกรธได้ย่อมนอนเป็นสุข
ฆ่าความโกรธได้ย่อมไม่เศร้าโศก ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธ
อันมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน
พระดำรัสนี้แทงถูกใจดำของพราหมณ์ ทั้งยังทำลายปัญหาสองเงื่อนให้ย่อยยับ
(ทำให้พราหมณ์หน้าแตก) แต่ด้วยความเป็นบัณฑิต แทนที่จะโกรธ
พราหมณ์กลับเลื่อมใส จึงกล่าวสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า
และขอบรรพชาอุปสมบท อุปสมบทแล้วไม่นานท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์
(ธนัญชานีสูตรและอรรถกถา ๑๕/๖๒๖-๖๓๐)
ฝ่ายอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ทราบว่า พราหมณ์ภารทวาชโคตรผู้เป็นพี่ชายบวชเป็นพระภิกษุ
ก็โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วก็ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคาย
เมื่อพราหมณ์ด่าว่าจบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า
พ.
ดูก่อนพราหมณ์ ญาติมิตรผู้เป็นแขกของท่าน ย่อมมาเยี่ยมท่านบ้างไหม
อ.
ย่อมมาบ้างเป็นบางคราว
พ.
ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่ม ต้อนรับญาติมิตรผู้เป็นแขกของท่านบ้างไหม
อ.
ย่อมจัดบ้างเป็นบางคราว
พ.
ถ้าญาติมิตรผู้เป็นแขกของท่านไม่รับ ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้นจะเป็นของใคร
อ.
ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มเหล่านั้นย่อมเป็นของข้าพเจ้า
พ.
ข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่
ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับเรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น
เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว
ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่
โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่ หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่
ผู้นี้เรากล่าวว่าย่อมบริโภคด้วยกัน ย่อมกระทำตอบกัน
เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด
เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว
อ.
คนทั้งหลายย่อมทราบว่าพระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วทำไมพระสมณโคดมจึงยังโกรธอยู่เล่า
พ.
ผู้ไม่โกรธฝึกฝนตนเองแล้ว มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้น
แล้วเพราะรู้ชอบ สงบ คงที่อยู่ ความโกรธจะมีมาแต่ที่ไหน
ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าเพราะการโกรธตอบนั้น
บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก
ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติสงบเสียได้
ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและแก่ผู้อื่น
เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่ายชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่าเป็นคนเขลา
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ก็เกิดความเลื่อมใส
และขอบรรพชาอุปสมบท อุปสมบทแล้วไม่นานท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์
(อักโกสกสูตรและอรรถกถา ๑๕/๖๓๑-๖๓๔)
ฝ่ายอสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ทราบว่า
พี่ชายทั้งสองออกบวชเป็นพระภิกษุ ก็โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วก็ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคาย
เมื่อพราหมณ์ด่าว่าอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงนิ่งเสีย
ลำดับนั้น พราหมณ์จึงได้กล่าวว่า พระสมณะ เราชนะท่านแล้ว
พระสมณะ เราชนะท่านแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ชนพาลกล่าวคำหยาบด้วยวาจา
ย่อมสำคัญว่าชนะทีเดียว แต่ความอดกลั้นได้เป็นความชนะของบัณฑิตผู้รู้แจ้ง
ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าเพราะการโกรธตอบนั้น
บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก
ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติสงบเสียได้
ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและแก่ผู้อื่น
เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่าเป็นคนเขลา
ในที่สุดอสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ก็เจริญรอยตามพี่ชายทั้งสอง
ได้เป็นพระอรหันต์เช่นกัน
(อสุรินทกสูตรและอรรถกถา
๑๕/๖๓๕-๖๓๗)
ความโกรธทำให้บุคคลแสดงอาการดุร้าย หยาบคาย ออกมาทางกายวาจา
เปลี่ยนสภาพจากสุภาพชนเป็น ทรชน จากผู้ดีเป็นไพร่ (และจากมนุษย์เป็นสัตว์)
ควรหรือที่เราจะโกรธตอบเขา แสดงอาการที่น่ารังเกียจอย่างเขา
ทำตนให้เป็นทรชนคนเลว ดุร้าย ป่าเถื่อน (เหมือนสัตว์กัดไม่เลือก)
อย่างเขา เป็นผู้ดีไม่ชอบ ชอบเป็นไพร่กระนั้นหรือ ?
การได้ด่าว่าผู้อื่นจัดเป็นชัยชนะหรือความพ่ายแพ้กันแน่
บางคนคิดว่าตนเป็นผู้ชนะเพราะด่าอยู่ฝ่ายเดียว หรือด่าได้หยาบคายกว่า
แท้ที่จริงทุกคนที่กล่าวคำหยาบล้วนเป็นผู้แพ้ แพ้ต่ออำนาจความโกรธ
(หรือกิเลสอื่น) ส่วนคนที่ อดทนให้คนอื่น ๆ ด่าโดยไม่โต้ตอบทั้งที่สามารถทำได้
นั่นแหละเป็นผู้ชนะที่แท้จริง เพราะชนะความโกรธซึ่งเป็นสิ่งที่เอาชนะได้ยาก
ใครมีปาก
อยากปูด ก็พูดไป เรื่องอะไร ก็ช่าง อย่าฟังขาน
เราอย่าต่อ
ก่อก้าว ให้ร้าวราน ความรำคาญ ก็จะหาย สบายใจ
(อุทานธรรม)