เมื่อความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
เราไม่มีสติรู้เท่าทัน ไม่รีบระงับเสีย ปล่อยให้ลุกลามมากขึ้น
ๆ ในที่สุดก็ควบคุมไม่ได้ ดังเรื่องของนางเวเทหิกา
ในกรุงสาวัตถี
มีแม่บ้านคนหนึ่งชื่อว่า เวเทหิกา นางมีหญิงรับใช้คนหนึ่งนามว่า
กาลี นางกาลีคิดว่า นายหญิงของเรามีชื่อเสียงขจรไปทั่วว่า
เป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อย เพราะไม่มีความโกรธ
หรือเพราะเราทำงานเรียบร้อยดี นางจึงไม่โกรธ เราจะทดสอบดู
รุ่งขึ้น
นางกาลีแกล้งตื่นสาย แม่บ้านเวเทหิกาจึงตวาดนางกาลี
ว.
เฮ้ย อีคนใช้กาลี
ก.
อะไรเจ้าขา
ว.
เอ็งเป็นอะไรจึงลุกขึ้นจนสาย
ก.
ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
ว.
อีคนชั่วร้าย เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเอ็งจึงลุกขึ้นจนสาย
นางเวเทหิกากล่าวอย่างนี้แล้ว
ก็โกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง
นางกาลีต้องการจะทดสอบนายหญิงของตนให้ยิ่งขึ้นไปอีก
วันต่อมาจึงแกล้งตื่นสายกว่าเดิม แม่บ้านเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลี
ว. เฮ้ย อีคนใช้กาลี
ก.
อะไรเจ้าขา แม่นาย
ว.
เอ็งเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย
ก.
ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
ว.
เฮ้ย อีตัวร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเอ็งจึงนอนตื่นสายเล่า
นางเวเทหิกากล่าวอย่างนี้แล้ว
ก็โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย
นางกาลีคิดว่า เป็นเพราะเราจัดการงานทั้งหลายให้เรียบร้อยดี
นายหญิงของเราจึงไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏออกมา ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก แต่นั้นมานางกาลีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น
แม่บ้านเวเทหิกาผู้เป็นนาย ก็ร้องด่ากราด โกรธจัด คว้าลิ่มประตูปานางกาลี
ทำให้นางกาลีศีรษะแตก โลหิตไหลโทรม เที่ยวโพนทะนาไปทั่ว
แต่นั้นมาแม่บ้านเวเทหิกาก็มีชื่อเสียงขจรไปว่า เป็นคนดุร้าย
ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
กกจูปมสูตร
(๑๒/๒๒๖)
ในเรื่องนี้
ลำดับความโกรธของนางเวเทหิกาเริ่มจาก ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง
แผดเสียงด่าด้วยคำหยาบ และใช้ลิ่มประตูปานางกาลี
ในพระไตรปิฎก (๒๙/๓๘๔) พระสารีบุตรได้แสดงขั้นตอนของความโกรธอย่างละเอียดดังนี้
๑. ทำจิตให้ขุ่นมัว
๒.
ทำให้หน้าเง้าหน้างอ หน้าบูดหน้าเบี้ยว
๓.
ทำให้คางสั่น ปากสั่น
๔.
เปล่งผรุสวาจา (คำหยาบ)
๕.
เหลียวดูทิศต่าง ๆ เพื่อหาท่อนไม้
๖.
จับท่อนไม้และศาสตรา
๗.
เงื้อท่อนไม้และศาสตรา
๘.
ให้ท่อนไม้และศาสตราถูกต้อง (ผู้อื่น)
๙.
ทำให้เป็นแผลเล็กแผลใหญ่
๑๐.
ทำให้กระดูกหัก
๑๑.
ทำให้อวัยวะน้อยใหญ่หลุดไป
๑๒.
ทำให้ชีวิต (ผู้อื่น) ดับ
๑๓.
ฆ่าผู้อื่น แล้วจึงฆ่าตน (ความโกรธขั้นสูงสุด)