เมื่อคนเริ่มศึกษา
การพัฒนาก็เริ่มทันที ความต้องการอย่างใหม่ก็มี ความสุขอย่างใหม่ก็มา
ตอนนี้พึงทราบว่ามีแรงจูงใจ
๒ แบบ
-
แรงจูงใจแบบที่ ๑ คือ แรงจูงใจในการเสพ เรียกว่า ตัณหา
ซึ่ง มากับเรื่องของความรู้สึก
-
แรงจูงใจแบบที่ ๒ คือ แรงจูงใจในการศึกษา (และสร้างสรรค์)
เรียกว่า ฉันทะ ซึ่งมากับเรื่องของความรู้
ตัณหา
เป็นความต้องการประเภทความรู้สึก คือมีปฏิกิริยาสนองตอบต่อสิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจ
ถ้าชอบใจสิ่งใดก็จะเกิด ตัณหา ปรารถนาจะได้เสพสิ่งนั้นอีก
ถ้าไม่ชอบใจก็จะเกิด วิภวตัณหา อยากจะหนี อยากจะหลบ อยากจะทำลาย
คนที่เป็นนักเสพก็วนเวียนอยู่กับแรงจูงใจที่เรียกว่า ตัณหา
แต่พอเราใช้อินทรีย์เพื่อศึกษา
ก็เกิดการเรียนรู้ พอได้ความรู้มาก็เกิดความอยากรู้ยิ่งขึ้นไปว่าอะไรเป็นอะไร
พอได้สนองความอยากรู้ก็เกิดความสุข จากการสนองความต้องการในการรู้
ความสุขจะพัฒนาขึ้น ตอนนี้จะมีความสุขจาการสนองความใฝ่รู้
ยิ่งกว่านั้น พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะเริ่มแยกได้ว่า
เออ
.. สิ่งนี้มันอยู่ในภาวะที่ควรจะเป็นไหม ปัญญาที่รู้ที่แยกได้จะทำให้เกิดความอยาก
หรือ ความต้องการคืบเคลื่อนก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง คืออยากให้สิ่งนั้น
ๆ อยู่ในภาวะที่มันควรจะเป็น ซึ่งเป็นธรรมดาของการศึกษาที่จะเป็นอย่างนั้นเอง
เพราะความรู้ทำให้เราแยก หรือจำแนกได้ เราเห็นโต๊ะตัวนี้สมบูรณ์เรียบร้อย
เราก็พอใจ พอเห็นตัวนั้นไม่สมบูรณ์บกพร่อง เราก็อยากให้มันสมบูรณ์
เมื่อความรู้แยกแยะได้แล้ว
ก็จะเกิดความต้องการ หรือเกิดความอยากชนิดใหม่ คืออยากให้มันอยู่ในภาวะที่ควรจะเป็น
ซึ่งเรียกสั้น ๆ ว่า อยากให้มันดี ถ้ามันยังไม่ดีก็อยากให้มันดี
แล้วก็ก้าวไปสู่การอยากทำให้มันดี แล้วก้าวไปสู่พฤติกรรมในการกระทำเพื่อให้มันดี
ตอนนี้แหละพฤติกรรมในการกระทำ (เพื่อให้มันดี) ก็เกิดขึ้น
พอทำให้ดีได้ก็เกิดความสุข
เพราะความสุขเกิดจากการสนองความต้องการ เมื่อเราพัฒนาความต้องการอย่างใหม่ขึ้นได้
ความสุขก็พัฒนาไปด้วย ถ้าเราไม่พัฒนาความต้องการ ความสุขของเราก็จำกัดอยู่กับการเสพ
คือต้องการสิ่งชอบใจ และ ไม่ต้องการสิ่งไม่ชอบใจ แล้วก็วนเวียนอยู่กับ
ตัณหา
พอเราพัฒนาในด้านความรู้
เราใช้อายตนะในเชิงศึกษาเรียนรู้ ก็เกิดความอยากรู้ซึ่งเป็นความต้องการใหม่
เมื่อหาความรู้เพื่อสนองความต้องการที่จะรู้ ก็ได้ความสุขจากการเรียนรู้
เมื่อต้องการให้มันดี อยากให้มันดี และได้ทำเพื่อสนองความต้องการที่อยากให้มันดีนั้นได้
ก็เกิดความสุขจากการทำให้มันดี |