เมื่อมีปัญญารู้ความจริง
ก็เลิกพึ่งพิงตัณหา หันมาอยู่ด้วยปัญญาที่เอาประโยชน์ได้จากธรรม
ในทางตรงข้าม
ถ้าเรารู้ทันความจริงของโลกและชีวิต แล้วเปลี่ยนวิธีสัมพันธ์เสียใหม่
เราไม่สัมพันธ์ด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน แต่เปลี่ยนจากอวิชชาเป็น
วิชา และสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายด้วย ปัญญา สมุทัยก็หายไป
กลายเป็นนิโรธ
ดังนั้น
วิธีแก้ไขคือการพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา จนกระทั่งหมดอวิชชา
ตัณหา อุปาทาน เพราะฉะนั้นจึงต้องทำให้เกิดวิชาเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตโดยอาศัยตัณหาน้อยลงตามลำดับ
จนกระทั่ง อวิชชา หมดไป เมื่อหมดอวิชชาแล้ว คือ นิโรธ
ไม่มีทุกข์เกิดขึ้นอีก
การที่จะมีปัญญา
จนหมดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน นั้นมนุษย์ต้องพัฒนาตัวเอง
ซึ่งคือ มรรค นั่นเอง มรรค คือกระบวนวิธีพัฒนามนุษย์ไปสู่การมีปัญญา
จนกระทั่งไม่ต้องอาศัยอวิชชา ตัณหา อุปาทานในการดำเนินชีวิต
แต่เป็นอยู่ด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาสอนเรื่องธรรมชาติกับการที่มนุษย์ไปสัมพันธ์กับธรรมชาติ
คือ
๑.
ความจริงของธรรมชาติ หรือกฎธรรมชาติ
๒.
การรู้ เข้าใจความจริงนั้น แล้วนำมาใช้ประโยชน์ของตัวชีวิตเองที่จะให้ชีวิตเราหมดปัญหาอย่างแท้จริง
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า
พุทธศาสนามีเท่านี้คือ
(๑.)
ความจริงของธรรมชาติ หรือกฎธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้และใช้ประโยชน์โดยปฏิบัติให้ถูกต้อง
(๒.)
มนุษย์เป็นผู้เรียนรู้เข้าใจความจริงนี้ และใช้ประโยชน์จากความรู้นั้น
เราต้องศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ด้วย |