ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พรหมทัตกุมาร ราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์กรุงพาราณสี เมื่อเจริญพรรษาและสำเร็จการศึกษาจากเมืองตักกสิลา พระราชบิดาก็ทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้
ครั้งนั้น มหาชนในกรุงพาราณสีนับถือเทวดา พากันฆ่าสัตว์ ต่างๆ มากมาย นำเลือดเนื้อพร้อมทั้งดอกไม้และของหอมนานาชนิดไปบวงสรวงเทวดา พระโพธิสัตว์ดำริว่า เมื่อเราได้ราชสมบัติแล้วต้องหาอุบายไม่ให้ใครๆ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้จงได้
วันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อบนบานศาลกล่าว พระองค์จึงเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินไปที่ต้นไม้นั้น บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ กระทำประทักษิณ (แสดงความเคารพด้วยการเวียนขวา) ต้นไม้ แล้วเสด็จกลับพระนคร แต่นั้นมา เมื่อว่างก็เสด็จไปบูชาต้นไม้นั้น
ต่อมาพระบิดาสวรรคต พระองค์ได้เสวยราชย์ ทรงดำริว่า สิ่งที่คิดไว้ต้องให้ถึงที่สุดในบัดนี้ พระองค์รับสั่งให้อำมาตย์และประชาชน มาประชุมกันแล้วตรัสประกาศ
พระราชา : พวกท่านทราบไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ
ประชาชน : ไม่ทราบเกล้า พระเจ้าข้า
พระราชา : เมื่อเราบูชาต้นไทรด้วยของหอม พนมมือไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือไม่
ประชาชน : เคยเห็น พระเจ้าข้า
พระราชา : ในครั้งนั้น เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติจักกระทำพลีกรรม เราก็ได้ราชสมบัติแล้วด้วยอานุภาพของเทวดา บัดนี้ เราจักกระทำพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้าเลย พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดาเป็นการเร็วเถิด
ประชาชน : พวกข้าพระองค์จักจัดสิ่งใดเล่า พระเจ้าข้า
พระราชา : เราบนเทวดาไว้ว่า ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติผิดศีล ๕ มีฆ่าสัตว์ เป็นต้น แล้วเอาลำไส้และเลือดเนื้อไปกระทำพลีกรรม พวกท่านจงตีฆ้องประกาศให้ทั่วว่า บัดนี้ พระราชามีพระราชประสงค์ให้ฆ่าคนทุศีลประมาณพันคน แล้วเอาเครื่องในไปทรงกระทำพลีกรรมแก่เทวดา ชาวพระนครทั้งหลายจงรู้ไว้
เมื่อมหาชนทราบข่าวแล้ว จะหาคนที่ประพฤติผิดศีลแม้เพียงข้อเดียวสักคนหนึ่งก็หาไม่ได้ ด้วยกุศโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่ มหาชนก็รักษาศีลกันอย่างทั่วหน้า
(อรรถกถาทุมเมธชาดก เอกนิบาต)
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ย้ายไปเป็นเจ้าเมืองตรัง เกิดปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม ท่านเห็นว่าสาเหตุเกิดจากราษฎรไม่มีอาชีพและชอบเล่นการพนัน จึงหาอุบาย แก้ไข โดยเรียกประชุมกำนันทั้งเมืองบอกว่า เจ้าเมืองชอบกินไข่ไก่ ให้กำนันไปสั่งลูกบ้านทุกคนให้เลี้ยงไก่ แต่ละครัวเรือนต้องเลี้ยงไก่ตัวเมีย ๔ ตัวและตัวผู้ ๑ ตัว ถ้าต้องการไข่ไก่บ้านไหนต้องให้ได้บ้านนั้น ถ้าไม่ได้กำนันจะต้องรับผิดชอบ
สมัยนั้นเป็นสมัยศักดินา เจ้าเมืองมีอำนาจล้นฟ้า ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ เพียงกล่าวเช่นนั้นพวกกำนันก็กลัวลาน ในไม่ช้า ทุกครัวเรือนในเมืองตรังก็เลี้ยงไก่ตามคำสั่ง เพื่อมิให้ชาวบ้านสงสัย เจ้าเมืองก็เรียกไข่ไก่ตำบลละ ๑-๒ บ้านพอเป็นพิธี เมื่อเห็นว่าราษฎรเมืองตรังเริ่มนิยมเลี้ยงกันจนเป็นประเพณี ก็สั่งกำนันว่า ต่อไปไม่ต้องเก็บไข่ไก่ไว้ ให้แล้ว ให้ฟักเป็นตัวไว้ขายได้ เท่านั้นเองเมืองตรังก็เลี้ยงไก่กันอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาไข่ตกเพราะมีมากเกินควร ท่านก็ติดต่อกับพวกพ่อค้าใหญ่ๆ ที่ปีนังให้ส่งเรือไฟมาบรรทุกไข่ไปขายที่ปีนัง ทำให้ราษฎรมีอาชีพเป็นปึกแผ่น
ในขณะเดียวกัน เจ้าเมืองได้สั่งให้โปลิศเข้มงวดจับกุมพวกเล่นการพนัน สั่งให้ปรับไหมแรงๆ แล้วสอนให้เลี้ยงสัตว์ปลูกผักทำสวนครัวแทนที่จะมานั่งชุมนุมกันเล่นการพนัน ราษฎรก็ให้ความเชื่อถือเพราะเห็นว่าเจ้าเมืองไม่ได้ปกครองอย่างเจ้านายกับข้าทาส แต่ปฏิบัติกับราษฎรอย่างลูกหลาน การพนันและโจรผู้ร้ายที่ชุกชุมก็ค่อยๆ สงบราบคาบลง
(๕๐ บุคคลสำคัญ โดย ไทยน้อย)
สาระที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. บุคคลทั่วไปต่างก็อยากได้ดีลอยๆ โดยไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยยาก ดังนั้นการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงมีอยู่ทุกสมัย การบนบานศาลกล่าวเพื่อขอให้ร่ำรวยถูกหวยเป็นต้น ก็เท่ากับว่าจ้างให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำงาน โดยให้ค่าจ้างนิดเดียว แต่หวังผลงานมาก เมื่อกดค่าจ้าง กันอย่างนี้ก็ไม่มีใครทำงานให้ ใครเลยจะอยากช่วยเหลือคนที่ทั้งขี้เกียจ ขี้ตืด ขี้ขอ และขี้เอาเปรียบ
ถ้าเพียงแค่อ้อนวอนหรือนึกเอาในใจ มนุษย์ก็สมประสงค์ ในโลกนี้ใครเล่าจะผิดหวังหรือขาดแคลนสิ่งของที่ต้องการ โลกมนุษย์จะมิกลายเป็นสวรรค์ไปหรือ ดังนั้น แม้จะศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ก็ไม่อาจทำให้คนสมปรารถนาเพียงแค่นึกคิด หรือติดสินบนด้วยของบนต่างๆ แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงได้แต่ชี้แนะเท่านั้น ทุกคนต้องปฏิบัติตามพุทธโอวาทอย่างถูกต้องครบถ้วนจึงจะสำเร็จ
๒. การสอนผู้มีอัธยาศัยหยาบ ท่านให้ขู่ด้วยโทษของอกุศลกรรม เช่น การเกิดในนรกเป็นต้น เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวไม่กล้าทำชั่ว การสอนผู้มีอัธยาศัยละเอียด ท่านให้ปลอบด้วยอานิสงส์ของกุศลกรรม เช่น การเกิดในสวรรค์เป็นต้น เพื่อชักจูงให้ทำดี การที่ท่านสอนอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า นรกสวรรค์เป็นเพียงอุบายที่คนฉลาดใช้หลอกคนโง่ เพราะพุทธศาสนายืนยันว่านรกสวรรค์มีจริง มีหลักฐานมากมายในพระไตรปิฎก (ถ้าสนใจเชิญอ่าน กรรมลิขิต รวบรวมโดย ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ)
๓. ไม่ว่าในสมัยใด คนจะเสียก็เสียเพราะอบายมุข คือ คบคนชั่ว เกียจคร้าน เสพสิ่งเสพติด เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เป็นนักเลงหญิง คนดีที่กลายมาเป็นคนเสีย มักเริ่มจากคบคนชั่ว เพราะทุกคนมีแนวโน้มที่จะหลงอบายมุขอยู่แล้ว เมื่อคบคนชั่ว ก็ถูกชักชวนให้ลุ่มหลงในอบายมุขข้ออื่นๆ เมื่อหลงอบายมุข ก็เสียคน