ในอดีตกาล ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวกาสี มีตระกูลหนึ่ง มีบุตรคนเดียวชื่อ สวิฏฐกะ เขาเลี้ยงดูบิดามารดาอย่างดี เมื่อมารดาล่วงลับไป บิดาได้หาหญิงสาวนางหนึ่งให้เขาเพื่อช่วยทำงานบ้าน นางได้เป็นแม่เรือนที่ดี มีความเคารพยำเกรงพ่อผัวและผัว สวิฏฐกะเห็นนางปรนนิบัติบิดาของตนอย่างดี เมื่อได้ของที่ดีๆ ก็นำมามอบให้นาง นางก็นำไปให้พ่อผัวทั้งหมด
ต่อมา นางคิดว่า สามีของเราได้อะไรมาก็มิได้ให้แก่บิดา ให้แก่เราผู้เดียว เขาคงไม่รักบิดา เราจะทำอุบายให้ตาแก่นี้เป็นที่เกลียดชังแห่งสามีเรา แล้วให้ขับเสียจากเรือน แต่นั้นมา นางก็พยายามยั่วให้พ่อผัวโกรธ เช่น ให้น้ำเย็นหรือร้อนเกินไปบ้าง ให้อาหารเค็มจัดหรือจืดเกินไป ให้ข้าวแฉะหรือสุกๆ ดิบๆ เมื่อพ่อผัวโกรธ นางก็กล่าวคำหยาบว่า ใครจักอาจปฏิบัติตาแก่นี้ได้ แล้วทะเลาะกับพ่อผัว แกล้งบ้วนน้ำลายเลอะเทอะไปทั่ว เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดา เถิด เมื่อฉันกล่าวว่าอย่าทำอย่างนี้ๆ ก็โกรธ บิดาของท่านหยาบคาย ก่อเรื่องทะเลาะอยู่เรื่อย แกแก่แล้วถูกโรคภัยเบียดเบียน ไม่ช้าก็ตาย ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับแกได้ ใน ๒ วันนี้แกต้องตายแน่ ท่านจงนำแกไปป่าช้า ขุดหลุม แล้วเอาแกใส่หลุม เอาจอบทุบศีรษะให้ตาย ฝังให้มิดชิด แล้วกลับมาบ้าน
สวิฏฐกะถูกภรรยารบเร้าบ่อยๆ จึงกล่าวว่า การฆ่าคนเป็นกรรมหนัก ฉันจักฆ่าบิดาได้อย่างไร นางกล่าวว่า ท่านจงบอกบิดาว่า ลูกหนี้ของพ่อมีอยู่ที่บ้านโน้น เมื่อฉันไปเพียงลำพังเขาจะไม่ให้ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้วเงินจักสูญ พรุ่งนี้เราจะนั่งบนยานไปด้วยกันแต่เช้า จากนั้นท่านก็พาแกไปที่ป่าช้า ขุดหลุม แล้วทำเป็นเสียงโจรปล้น ฆ่าแกฝังในหลุมแล้วอาบน้ำกลับมาเรือน สวิฏฐกะรับคำแล้วตระเตรียมยานที่จะไป
สวิฏฐกะมีบุตรคนหนึ่งอายุ ๗ ขวบ เป็นเด็กฉลาด เขาฟังคำของมารดาจึงคิดว่า มารดาของเรามีธรรมลามก ยุบิดาเราให้ทำปิตุฆาต เราจักไม่ให้บิดาเราทำปิตุฆาต ครั้นเวลาเช้า สวิฏฐกะเทียมยานแล้วชวนบิดานั่งบนยานไปทวงหนี้ บุตรได้ขึ้นยานก่อนแล้ว สวิฏฐกะไม่อาจห้ามบุตรได้จึงพาไปด้วย เมื่อถึงป่าช้าก็ให้บิดาและบุตรพักอยู่บนยาน ตนเองลงจากยาน ถือจอบและตะกร้า ขุดหลุม ณ ที่ลับแห่งหนึ่ง บุตรได้ติดตามมาและกล่าวกับสวิฏฐกะ
บุตร : มันนก มันเทศ มันมือเสือ และผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการอะไร จึงมาขุดหลุมอยู่คนเดียวกลางป่าช้าเช่นนี้เล่า
สวิฏฐกะ : ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัยหลายอย่างเบียดเบียน วันนี้พ่อจะฝังปู่เจ้าเสียในหลุม เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างลำบาก ความตายของปู่ประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก
บุตร : การที่ท่านคิดว่า เราจักเปลื้องทุกข์ของบิดาด้วยความตาย ชื่อว่ากระทำกรรมอันหยาบช้าและไร้ประโยชน์ (กล่าวแล้วก็ฉวยจอบจากมือสวิฏฐกะ ตั้งท่าจะขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งในที่ใกล้ๆ กัน)
สวิฏฐกะ : เจ้าจะขุดหลุมทำไม
บุตร : เมื่อพ่อแก่ลงก็จักได้รับกรรมเช่นนี้ ในหลุมที่ขุดไว้นี้จากลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะทำตามพ่อ คือเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่กินกับภรรยา ก็จักฝังพ่อในหลุมบ้าง
สวิฏฐกะ : เจ้ากล่าวกระทบกระเทียบขู่เข็ญพ่อด้วยวาจาหยาบคาย เจ้าเป็นลูกที่เกิดแต่อกพ่อ แต่ไม่มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อ
บุตร : มิใช่ว่าฉันจะไม่มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อ แต่ฉันไม่กล้าห้ามพ่อผู้ทำบาปกรรมโดยตรงได้ จึงพูดกระทบกระเทียบเช่นนั้น ผู้ใดเบียดเบียนมารดาบิดาผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้นั้นครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงนรกโดยไม่ต้องสงสัย ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโดยไม่ต้องสงสัย
สวิฏฐกะ : เจ้าชื่อว่าเป็นผู้อนุเคราะห์เกื้อกูลพ่อแล้ว แต่พ่อถูกแม่ของเจ้ายุยงจึงได้กระทำกรรมที่หยาบคายเช่นนี้
บุตร : ธรรมดาสตรีเมื่อเกิดโทสะขึ้นข่มไว้ไม่ได้เลย จึงทำชั่วบ่อยๆ ควรที่พ่อจะขับไล่แม่ของฉันไปเสีย ไม่ให้ทำชั่วเช่นนี้อีก
สวิฏฐกะฟังคำของบุตรผู้เป็นบัณฑิตแล้วก็ดีใจ จากนั้นก็นำบิดาและบุตรขึ้นนั่งบนยานกลับบ้าน
ฝ่ายหญิงอนาจารนั้นก็ร่าเริงยินดีว่า คนกาลกิณีออกจากเรือนเราไปแล้ว จึงเอามูลโคสดมาทาเรือน หุงข้าวปายาส แล้วคอยแลดูทางที่ผัวจะมา ครั้นเห็นมาทั้ง ๓ คนก็โกรธ จึงด่าผัวว่า เจ้าพาคนกาลกิณีกลับมาทำไม
สวิฏฐกะนิ่ง ปลดยานแล้วจึงพูดว่า คนอนาจารเจ้าว่าอะไร แล้วทุบนางนั้นเสียเต็มที่ พลางกล่าวว่า แต่นี้ไปเจ้าอย่าเข้ามาเรือนนี้อีก แล้วจับเท้าลากออกไป ครั้นไล่ภรรยาไปแล้ว ก็อาบน้ำให้บิดากับบุตร แม้ตนเองก็อาบ แล้วบริโภคข้าวปายาสพร้อมกันทั้ง ๓ คน
เวลาผ่านไป ๒-๓ วัน บุตรกล่าวกับสวิฏฐกะว่า แม่ฉันคงยังไม่รู้สำนึกด้วยการถูกลงโทษเพียงเท่านี้ พ่อจงแกล้งพูดว่า จะไปขอลูกสาวลุงในตระกูลโน้น เพื่อทำให้แม่ฉันเก้อ แล้วถือเอาของหอมและดอกไม้ขึ้นยานเที่ยวไปตามท้องนา แล้วกลับมาในเวลาเย็น สวิฏฐกะก็กระทำตาม
ฝ่ายภรรยาเข้าใจว่าสวิฏฐกะจะหาหญิงอื่นมาเป็นภริยา ก็ร้อนใจ แอบไปหาบุตร อ้อนวอนว่า เจ้าจงช่วยเหลือแม่ให้ได้กลับมาอยู่ในเรือนอีก คราวนี้จะปฏิบัติพ่อและปู่ของเจ้าราวกับพระเจดีย์ทีเดียว บุตรก็พานางไปขอขมาโทษผัวและพ่อผัว แต่นั้นมานางก็ปฏิบัติผัวและพ่อผัวกับลูกเป็นอย่างดี
(อรรถกถาตักกลชาดก ทสกนิบาต)
สาระที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. พระโพธิสัตว์แม้เป็นเด็กอายุเพียง ๗ ขวบ ก็ฉลาดพอที่จะหาอุบายสั่งสอนให้บิดารู้สำนึกเลิกล้มการกระทำปิตุฆาต บุคคลที่มีความ ฉลาดมาแต่กำเนิดนี้ สำนวนไทยเรียกว่า หนามแหลมไม่มีใครเสี้ยม หมายถึง คนที่มีไหวพริบหรือปฏิภาณของตัวเองโดยไม่มีใครสอน
๒. สวิฏฐกะต้องการจะฆ่าบิดาด้วยเหตุซึ่งเรียกกันว่า Mercy Killing หมายถึง การฆ่าด้วยเมตตา โดยทั่วไปการฆ่ามีเหตุมาจากอกุศลมูล คือโทสะกับโมหะ จัดเป็นกรรมชั่ว การกระทำที่ประกอบด้วยเมตตาเป็นกรรมดี การกล่าวว่า ฆ่าด้วยเมตตาจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตที่จะฆ่าย่อมไม่มีเมตตา เมื่อเห็นบุคคลที่เรารักต้องทนทุกข์ทรมานโดยที่เราช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แทนที่จะฆ่า พุทธศาสนาสอนให้ทำใจเป็นอุเบกขา โดยพิจารณาว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน เมื่อทำกรรมใดไว้ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น
๓. สวิฏฐกะกล่าวว่า ความตายประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก คำพูดนี้ยังไม่ถูกต้องนัก การมีชีวิตอย่างสุขสบายหรือลำบากไม่สำคัญ ความดีสิสำคัญ ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างลำบากแต่มีโอกาสบำเพ็ญคุณงามความดีแก่ตนหรือผู้อื่น ก็ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป หากมีชีวิตอยู่อย่างชั่วช้าปราศจากความดี แม้จะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็เหมือนกับคนตายแล้ว
๔. การฆ่าบิดามารดาเป็นกรรมหนัก ผู้กระทำต้องไปนรกแน่นอน แก้ไขไม่ได้เลย อรรถกถาธรรมบทกล่าวถึงประวัติพระโมคคัลลานะว่า เคยฆ่าบิดามารดา ต้องหมกไหม้ในนรกเป็นเวลานานหลายแสนปี เมื่อพ้นจากนรกมาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยเศษของกรรมที่ยังเหลือ จึงถูกทุบจนตายถึง ๑๐๐ ชาติ แม้ในชาติสุดท้ายเป็นพระอัครสาวกผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ก็ยังถูกโจรทุบจนแหลกทั้งตัว เพราะเมื่อกรรมให้ผล อำนาจฤทธิ์ก็ช่วยไม่ได้ ดังนั้น การฆ่าบิดามารดาจึงบาปหนักที่สุด เป็นของต้องห้ามสำหรับมนุษย์ทุกเชื้อชาติศาสนา สำหรับชาวพุทธแม้เพียงแค่คิดก็ไม่ควร