ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในสกุลพราหมณ์ในแคว้นกาสี ได้นามว่า โสมทัต ครั้นเจริญวัยเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา สำเร็จแล้วกลับมาเรือน รู้ว่าบิดา มารดายากจน จึงลาบิดามารดาไปรับราชการในกรุงพาราณสีเพื่อกอบกู้สกุลที่ตกต่ำ โสมทัตเป็นที่รักโปรดปรานของพระราชา
ต่อมา โค ๒ ตัวที่บิดาโสมทัตใช้ไถนาได้ตายไปตัวหนึ่ง บิดาจึงไป หาโสมทัตบอกให้ขอพระราชทานโคจากพระราชาสักตัวหนึ่ง แต่โสมทัตเพิ่งรับราชการได้ไม่นาน ยังไม่สมควรที่จะทูลขอโค จึงบอกให้บิดา ทูลขอเอง พราหมณ์กล่าวว่า พ่อเป็นคนประหม่าครั่นคร้าม ต่อหน้าคน ๒-๓ คน พ่อไม่อาจจะพูดได้ถูกต้องนัก หากไปทูลขอโค พ่ออาจจะถวายโคตัวนี้เสียก็ได้ โสมทัตกล่าวว่า จะอย่างไรก็ตามลูกไม่อาจจะทูลขอโคได้ แต่ลูกจะซักซ้อมให้พ่อเอง พราหมณ์ก็รับคำ
โสมทัตพาบิดาไปป่าช้า มัดฟ่อนหญ้าไว้เป็นแห่งๆ สมมุตินามแสดงแก่บิดาตามลำดับว่า นี้พระราชา นี้อุปราช นี้เสนาบดี เมื่อพ่อไปเฝ้าพระราชาแล้ว จงกราบถวายพระพรว่า ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ แล้วกราบทูลขอโคว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้ามีโคสำหรับไถนา ๒ ตัว ในโค ๒ ตัวนั้นตายเสียตัวหนึ่ง ขอพระองค์โปรดพระราชทานโคตัวที่ ๒ เถิด พระเจ้าข้า
กว่าพราหมณ์จะฝึกหัดว่ากล่าวได้คล่องก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปี จากนั้นพราหมณ์ก็คุยอวดให้โสมทัตฟังว่า บัดนี้พ่อสามารถจะกล่าวได้ไม่ว่าในสำนักใดๆ ลูกจงนำพ่อไปเฝ้าพระราชาเถิด โสมทัตจึงจัดหาเครื่อง บรรณาการแล้วพาบิดาไปเฝ้าพระราชา พราหมณ์กราบทูลว่า ขอมหาราช จงทรงพระเจริญ แล้วทูลถวายเครื่องบรรณาการ พระราชาตรัสถามว่า โสมทัต พราหมณ์ผู้นี้เป็นอะไรกับเจ้า โสมทัตกราบทูลว่า เป็นบิดาของข้าพระพุทธเจ้า พระราชาตรัสถามว่า มาธุระอะไร พราหมณ์จึงกราบทูลขอโคว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้ามีโคสำหรับไถนา ๒ ตัว ในโค ๒ ตัวนั้นตายเสียตัวหนึ่ง ขอพระองค์โปรดรับโคตัวที่ ๒ ไปเถิด พระเจ้าข้า
พระราชาทรงทราบว่าพราหมณ์พูดผิด ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า โสมทัต ในเรือนเจ้าเห็นจะมีโคหลายตัวซินะ โสมทัตกราบทูลว่า ข้าแต่ มหาราช พระองค์พระราชทานแล้วก็จักมีมาก พระเจ้าข้า พระราชาทรงโปรดปรานโสมทัต พระราชทานโค ๑๖ ตัว กับเครื่องประดับและบ้านส่วยสำหรับเป็นรางวัลด้วย แล้วทรงส่งพราหมณ์ไปด้วยยศอันยิ่งใหญ่
(อรรถกถาโสมทัตตชาดก ทุกนิบาต)
เมื่อซีซ่าร์ยกกองทัพเรือกรุงโรมไปตีเกาะอังกฤษ มีเรื่องเล่าว่า พอก้าวขึ้นฝั่ง ซีซ่าร์ก็สะดุดอิฐคะมำลงไป แต่เพื่อไม่ให้พวกโรมันเห็นว่าเขาพลั้งพลาดและถือว่าเป็นลางร้าย เขากลับกอบเอาทรายขึ้นมา โยนขึ้นไปบนอากาศ พร้อมกับเปล่งเสียงแสดงความยินดีว่าเขาชนะแล้ว ด้วยไหวพริบเพียงเท่านี้ ซีซ่าร์ก็สามารถป้องกันได้ทั้งความละอาย และการถือลางร้ายของพวกทหาร
(สร้างตนเอง โดย ไชยวัฒน์)
สาระที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. เรื่องที่เกิดกับโสมทัตและพราหมณ์ผู้บิดาตรงกับธรรมภาษิต (๒๗/๑๒๐) ที่ว่า คนโง่ยังไม่ถูกผูกมัด แต่พอพูดเรื่องใดก็ถูกผูกมัด ในเรื่องนั้น ส่วนคนมีปัญญา แม้ถูกมัดอยู่ พอพูดในเรื่องใด ก็หลุดได้ในเรื่องนั้น
๒. พราหมณ์ทำความเพียรอยู่ในป่าช้าถึง ๑ ปี ฝึกกล่าวคำพูดเพื่อขอโค เมื่อกราบทูลขอโคจากพระราชากลับกล่าวให้ผิดพลาดไปได้ แสดงว่า ความเพียรที่ปราศจากปัญญา หรือความเพียรในทางที่ผิด ไม่อาจก่อให้เกิดความสำเร็จได้ ท่านอุปมาเหมือนการรีดนมจากเขาโค แม้จะพยายามสักเพียงไร ก็ไม่มีทางได้นมโค
๓. การสะดุดอิฐจนล้มคะมำนั้น ถ้าเกิดกับทหารผู้อื่นก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องสนใจ แต่จะเกิดกับแม่ทัพซึ่งเป็นผู้นำไม่ได้ ทหารจะเสียกำลังใจเพราะถือว่าเป็นลางร้าย แต่อาศัยไหวพริบของซีซ่าร์ สิ่งที่ดูเหมือนเป็นลางร้ายก็กลายเป็นลางดี พลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ
|