เรื่องนี้เป็นเรื่องจีนหรือญี่ปุ่นที่เล่าสู่กันฟังต่อๆ มา ความว่า ณ ตำบลแห่งหนึ่งในเขตโฮ่น่าง มีศาลเจ้าอยู่ศาลหนึ่ง ซึ่งลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ของสำคัญในศาลนี้คือกระดูกผู้วิเศษผู้หนึ่ง ซึ่งฝังอยู่ในกุฏิ มีลูกกรงเหล็ก ปิดทองเป็นลวดลายอย่างวิจิตร ผู้ใดป่วยไข้หรือทุกข์ร้อนไปที่ศาลเจ้านี้ แลทำการเซ่นด้วยอาหารและสุรายาบานอย่างดีแล้ว เฮียกง (คนเฝ้าศาล) ก็จะพาตัวไปยังกุฏิที่ฝังกระดูกผู้วิเศษ อนุญาตให้ผู้มาบนนั้นเอื้อมมือไปแตะฐานศิลา แล้วนัยว่า ต่อนั้นไป คนง่อยก็อาจกลับเดินได้ คนตามืดก็กลับแลเห็น คนหูหนวกก็กลับได้ยิน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็หาย ทุกข์อันตรายเคราะห์ร้ายต่างๆ ก็บรรเทา ฉะนั้นเจ้านี้จึงมีผู้นับถือกันมาก มีผู้นำเครื่องเซ่นและของมีราคาชนิดต่างๆ มาแก้บนกันมาก จนเฮียกงสามารถสร้างบริเวณศาลนั้นขึ้นอย่างใหญ่โต มีกำแพงล้อมอย่างมั่นคง มีที่อยู่ของเฮียกงเอง และมีสวนดอกไม้งดงามเป็นที่น่าเจริญใจ
ในสถานที่อันกว้างขวางใหญ่โตนี้ นอกจากตัวเฮียกงแก่แล้ว ก็มีชายหนุ่มเป็นศิษย์อยู่คนหนึ่ง กับลูกลาเผือกตัวหนึ่ง ที่เฮียกงเลี้ยงไว้ใช้เป็นพาหนะ ตึกหลังใหญ่มีห้องหลายห้อง สร้างไว้สำหรับเป็นเรือนรับแขกซึ่งมาจากทางไกลเพื่อมาไหว้เจ้า แต่โดยมากตึกนี้ว่าง จึงใช้เป็นที่เก็บสมบัติของศาลเจ้า และใต้ถุนตึกนั้นเป็นที่เฮียกงเอาลาไว้ และศิษย์ก็อาศัยอยู่กับลานั้นด้วย
ครั้งหนึ่ง เกิดทุพภิกขภัยในจังหวัดนั้น พวกราษฎรพากันเดือดร้อน จึงชวนกันมาบนเจ้ามิได้เว้นแต่ละวัน ความที่ข้าวแพงจนชาวบ้านโดยมากพากันซูบผอม แลศิษย์ของเฮียกงก็รู้สึกลำบากไม่น้อยเพราะอดๆ อยากๆ ไม่บริบูรณ์เช่นก่อนเพราะชาวบ้านไม่ใคร่จะนำของมาแก้บน (ของยังแพงอยู่เขาก็ยังไม่ใช้บนเป็นธรรมดา) จึงขาดแคลนทรัพย์สินที่จะใช้ซื้ออาหาร แต่เฮียกงแก่ผู้เป็นอาจารย์นั้นร่างกายยังบริบูรณ์ มิได้ซูบซีดลงเลย ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์กับคนอื่นๆ เห็นเป็นของอัศจรรย์มาก และเข้าใจว่า คงเป็นเพราะเฮียกงได้มีโอกาสแตะต้องที่ฝังศพผู้วิเศษอยู่เป็นนิตย์ จึงมีกำลังผิดกว่าคนธรรมดา
คืนหนึ่ง ศิษย์นั้นหิวจัดจนนอนไม่ใคร่หลับ จึงออกไปเดินอยู่ในลานศาล เดินอยู่ไม่ช้า เห็นเฮียกงผู้เป็นอาจารย์เดินเข้าไปในกุฏิที่ฝังกระดูกผู้มีบุญ หายเข้าไปอยู่ในนั้นนานแล้วจึงกลับออกมา หน้าตาชื่นบาน แลเดินย้ายพุงไปเช่นคนกินอิ่มมากทีเดียว พอเฮียกงไปแล้ว ศิษย์จึงเข้าไปในตัวกุฏิบ้าง ด้วยตั้งใจว่า จะเอื้อมมือไปแตะฐานที่ฝังกระดูกผู้วิเศษ จะได้มีกำลังทนทุกขเวทนาต่อไป แต่พอเอื้อมมือเข้าไปก็ถูกเอาขวดสุราเครื่องพลีเจ้า ในขณะนั้นความหิวและความอยากดื่มสุราแรงกว่าความกลัว ศิษย์นั้นจึงหยิบเอาขวดสุราออกมา แลยกขึ้นดื่มจนหมดขวด (สุราเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวด)
พอสุราล่วงลำคอ สมองของชายหนุ่มก็สว่าง จึงเข้าใจได้ดีว่า เหตุใดอาจารย์จึงไม่ซูบผอม พอเข้าใจแล้วก็ไม่ยั้งมือ ล้วงเอาเครื่องเซ่นออกมากินจนอิ่มหนำสำราญ แล้วกลับไปนอนหลับอย่างสบาย
รุ่งขึ้น เฮียกงไปยังกุฏิที่ฝังกระดูกผู้วิเศษ เห็นเครื่องเซ่นพร่องไปมากกว่าในคืนก่อน ก็รู้ว่าศิษย์เริ่มฉลาดขึ้นแล้ว ควรไล่ไปเลี้ยงตัวเอง จึงเรียกศิษย์ไป แลพูดว่า
ลูกเอ๋ย เวลานี้เป็นเวลาอันขัดสน แลพ่อก็แก่ชราลงแล้ว การหากินก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อน ตัวลูกยังหนุ่มมีกำลังพอที่จะหา เลี้ยงตัวเองได้ จงไปเที่ยวหากินเองเถิด พ่อจะให้ลาเผือกตัวนี้ไปด้วย มันจะได้เป็นกำลังในการประกอบอาชีพของเจ้า ลูกไม่ต้องหาอะไรให้มันกินดอก มันคงหาหญ้ากินเองได้ แต่ตรงกันข้าม อ้ายลานี้ ถ้าใช้ให้ถูกทาง มันอาจจะช่วยให้ตัวเจ้าหากินได้
ศิษย์นั้นก็รับเอาลาเผือก แล้วลาอาจารย์ไปจากศาลเจ้า เดินทาง ไปหลายเวลา หาเช้ากินค่ำอย่างฝืดเคือง เพราะไม่มีฝีมือและวิชาความรู้ เคยแต่อาศัยเฮียกงอยู่ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ เดินทางไปจวนจะถึงชานเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองบริบูรณ์ ลาเผือกก็เผอิญไปกินอาหารผิดสำแดง เลยล้มลงนอนตายอยู่ที่ริมทางหลวง ชายหนุ่มก็ลงนั่งกอดเข่าด้วยความเสียใจ แลรำพึงถึงลาที่ตาย แล้วจึงพนมมือร้องวิงวอนขอให้เง็กเซียนฮ่องเต้ และเซียนทั้งหลายในโลกช่วยประสาทความคิด ชี้หนทางให้รอดพ้นความอดตาย
วันนั้นเป็นวันโชคดีของชายหนุ่มผู้นั้น เผอิญมีอ้ายบ้าคนหนึ่งเดินผ่านมา เห็นกิริยาอาการและได้ยินถ้อยคำของชายหนุ่มนั้น มันก็ยืนนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหัวเราะแลพูดกับชายหนุ่ม
อ้ายบ้า : ใครๆ เขาว่ากูเป็นบ้าทั้งนั้น แต่วันนี้กูได้มาพบคนที่บ้ากว่ากูเข้าแล้ว
ชายหนุ่ม : กูเป็นบ้าอย่างไร
อ้ายบ้า : ก็มึงมีของดีๆ อยู่ตรงหน้าแล้ว มึงจะบ่นไปทำไม
ชายหนุ่ม : อนิจจาอ้ายบ้า มึงไม่รู้หรือว่า ลาตัวนี้ตายแล้ว
อ้ายบ้า : อนิจจาอ้ายบ้า มึงไม่รู้หรือว่า ลาตายเป็นประโยชน์ดีกว่าลาเป็นๆ
ชายหนุ่ม : มันจะดีกว่าอย่างไร เมื่อมันเป็นๆ อยู่จะใช้ขี่ก็ได้ บรรทุกของก็ได้ นี่มันตายแล้วเช่นนี้ จนชั้นจะกินเนื้อมันก็ไม่อร่อย
อ้ายบ้า : เช่นนี้ซิ กูจึงว่ามึงเป็นบ้า เอาเถิดกูขอยืมศพลาของมึงสักหน่อย ได้หรือไม่
ชายหนุ่ม : ไม่ต้องขอยืมละ กูให้มึงเปล่าๆ เทียว
พูดแล้วก็ไปนั่งใต้ต้นไม้ เพื่อคอยดูว่าอ้ายบ้าจะทำอย่างไรกับศพลานั้น
ฝ่ายอ้ายบ้าก็หาดินมากลบศพลา แลเอาก้อนศิลามากองขึ้นบนกองดิน แล้วมันก็นั่งเฝ้าศพลานั้นอยู่ ครั้นมีคนเดินผ่านมา มันก็ร้องขึ้นว่า เจ้าข้า ท่านผู้ใดปรารถนาความสุขในภพนี้ ภพหน้า จงโปรดช่วยเอาศิลา มาสร้างที่ฝังศพผู้หาบาปมิได้นี้สักก้อนหนึ่งเถิด
ชายหนุ่มนึกในใจ อ้ายบ้ามันก็ช่างพูดอยู่ ลามันเป็นดิรัจฉานก็ต้องไม่มีบาปอยู่เอง
แต่คนเดินทางนั้นไม่ทราบว่าศพนั้นเป็นศพลา ก็เข้าใจว่าเป็นศพนักบุญอะไรคนหนึ่ง แลเพราะเหตุที่มนุษย์ปุถุชนมักจะปรารถนาความสุขโดยอาการอันลำบากแก่ตนน้อยที่สุด จึงต่างคนต่างช่วยอ้ายบ้า ตามศรัทธา คือขนศิลามาช่วยถมให้บ้าง ให้เงินทองบ้าง ของบ้าง ในไม่ช้า ก็มีเงินทองข้าวของแลอาหารอยู่ที่หน้าที่ฝังศพนั้นเป็นอันมาก
บัดนี้อ้ายบ้าจึงพูดกับชายหนุ่มว่า ถ้ากูทำเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ ไป ไม่ช้าคงจะได้เป็นเศรษฐี แต่กูขี้เกียจเป็นเศรษฐีเพราะต้องเป็นห่วงทรัพย์สมบัติ มีแต่คนคอยปอกลอกอยู่เสมอ สู้เป็นอ้ายบ้าอย่างเดิมไม่ได้ มึงเอาลาของมึงคืนไปเถิด พูดแล้วก็รวบรวมข้าวของเงินทองห่อใส่หน้าอกเสื้อของมันแล้วเดินบ่นพึมพำไปตามภาษาบ้า
เมื่ออ้ายบ้าไปแล้ว ชายหนุ่มนึกในใจว่า ปัญญาไม่ว่าจะแฝงอยู่แห่งใด ย่อมส่องแสงออกมาจนได้ ใครเลยจะนึกว่าอ้ายบ้าจะมีความคิดเช่นนี้ได้
คนเราจะวิกลจริตหรือไม่สังเกตได้จาก เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์หรือไม่ ชายหนุ่มเจ้าของลาไม่ใช่คนบ้า จึงเล็งเห็นประโยชน์แห่งความคิดของอ้ายบ้าดีกว่าตัวผู้ต้นคิด ดังนั้นชายหนุ่มจึงตกแต่งกองศิลาให้เรียบร้อย แล้วนั่งเฝ้าอยู่จนเห็นคนเดินผ่านมา ก็ร้องบอกบุญเช่นเดียวกับที่อ้ายบ้าเคยทำ แล้วเป็นผลสำเร็จดี ในคืนนั้นชายหนุ่มได้กินอิ่มเป็นมื้อแรก ตั้งแต่จากอาจารย์มา
วันต่อๆ มา ก็บอกบุญไปเรื่อยๆ จนเมื่อกองศิลาใหญ่ขึ้นพอควรแล้ว ได้บอกบุญขอแรงช่างไม้ผู้หนึ่งทำรั้วล้อมที่ฝังศพ ผู้หาบาปมิได้? ในไม่ช้า รั้วไม้กลายเป็นกำแพงศิลา ปะรำที่ปลูกคร่อมกองศิลากลายเป็นกุฏิ แลหน้ากุฏิก็มีศาล แลข้างๆ ศาลมีโรงเรือนขึ้นเป็นลำดับ
ศาลเจ้าที่มีเฮียกงฉลาด เจ้ามักศักดิ์สิทธิ์ ศาลใหม่นี้ก็เช่นกัน มีเฮียกงฉลาดพอตัวอยู่ ดังนั้นในไม่ช้า เจ้าที่ศาลนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นจนพอที่จะบันดาลคนเจ็บไข้ให้หายได้เช่นกัน ไม่แพ้เจ้าที่ศาลของอาจารย์ในเขตโฮ่น่าง มิหนำซ้ำความศักดิ์สิทธิ์นั้นได้แล่นไปถึงตัวเฮียกงด้วย แลเพราะเหตุที่ตัวเฮียกงเป็นชายหนุ่ม จึงสามารถบำบัดโรคต่างๆ ของสตรีได้เป็นอันมาก จึงมีชื่อเสียงมากขึ้นและมั่งมีมากขึ้นเป็นลำดับ
อยู่มาได้หลายปี เฮียกงผู้นี้ระลึกถึงอาจารย์ของตนที่โฮ่น่าง จึงตกลงใจว่าจะไปเยี่ยม พวกชาวเมืองทราบข่าวก็ติดตามไปด้วยเป็นอันมาก แลมีผู้ออกค่าเดินทาง ค่าเสบียงให้พร้อม เมื่อไปถึงโฮ่น่างก็ตรงไปยังศาล เห็นเฮียกงแก่ผู้เป็นอาจารย์ก็เข้าไปกระทำความเคารพ แลเอาของกำนัลที่เตรียมไปให้แก่อาจารย์ เมื่อศิษย์เล่าประวัติให้ทราบโดยพิสดาร (เว้นแต่ไม่ได้บอกว่าได้ความคิดจากอ้ายบ้า) อาจารย์ก็ชมเชยความฉลาดเฉลียวของศิษย์ แล้วชวนไปในกุฏิหลังศาลและเปิดเผยว่า
ลูกรู้ไหมว่าใต้กองศิลานี้มีอะไร พ่อจะบอกให้ ใต้ฐานนี้คือกระดูกแม่อ้ายลาเผือกของเจ้า
(เรื่องสั้นพระราชนิพนธ์ ร.๖ ส.อาจสาลี รวบรวม)
สาระที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. คนดีสมบูรณ์แบบจะต้องดีพร้อมทั้งความรู้และคุณธรรม สังคมปัจจุบันเป็นสังคม ไฮเทค? สนใจแต่การพัฒนาความรู้ ไม่สนใจการพัฒนาคุณธรรมอย่างจริงจัง (มีเพียงแต่นโยบายที่สวยหรู) คนที่มีความรู้แต่ไม่มีคุณธรรมควบคุม ก็ใช้ความรู้ไปในทางทุจริต ยิ่งรู้มากก็ยิ่งโกงกินมากและแนบเนียน รู้จักใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย หรือระเบียบต่างๆ ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง ก่อความเสียหายแก่บ้านเมืองมาก
ในทางธรรม ความเสียหายจากนักบวชลวงโลกหรือโจรปล้นศาสนา หนักหนาสาหัสกว่านั้น เพราะเป็นการโกงหรือปล้นทั้งภายนอกและภายในลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ทำให้เสียทรัพย์ภายนอก แต่บุญกุศลที่เป็นทรัพย์ภายในก็ไม่ได้ (หรือได้เพียงน้อยนิด) และถ้าสั่งสอนผิดๆ สิ่งที่เป็นบาปก็ว่าเป็นบุญ ผู้หลงเชื่อทำตามก็ได้บาป ชาติหน้ามีหวังไป อบายภูมิ โจรปล้นศาสนาจึงได้ชื่อว่าเป็นโจรทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
๒. เหตุการณ์ในเรื่อง (ซึ่งยังมีอยู่แม้ในปัจจุบัน) เป็นข้อพิสูจน์ว่า คำพูดของสญชัย (อาจารย์ของพระสารีบุตรสมัยที่ยังไม่ได้บวช) ที่ว่า โลกนี้คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย เป็นความจริงอย่างที่สุด และเป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าหลงเชื่อข่าวที่เล่าลือกันมาปากต่อปาก หรือรับมรดกความเชื่อที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลโดยง่ายดาย ก่อนจะเชื่อสิ่งใด ควรพิจารณาให้รอบคอบหรือพิสูจน์ให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วรับส่วนที่มีสาระไว้และหาทางแก้ไขให้ดีขึ้น ส่วนที่ไร้สาระก็ทิ้งไป
๓. พุทธศาสนากล่าวว่า ในบรรดาสิ่งที่งอกงามนั้น ปัญญาดีที่สุด อวิชชาแย่ที่สุด
๔. ศีลขึ้นอยู่กับเจตนา จะรู้จักศีลหรือไม่รู้จักก็ตาม เมื่อมีเจตนางดเว้นก็มีศีล ถ้าไม่มีเจตนางดเว้นก็ไม่มีศีล ลากินแต่หญ้าไม่กิน เนื้อ แต่ลาก็ไม่มีศีลข้อปาณาฯ (และข้ออื่นๆ) เพราะลาไม่มีเจตนางดเว้นการฆ่าสัตว์ เด็กอ่อนทำทุจริตไม่ได้เลย แต่ก็ไม่มีศีล ๕ เพราะไม่มีเจตนางดเว้นในศีลข้อใดเลย ชาวป่าที่ไม่รู้จักศีล มีศีลหรือไม่ ตอบว่า อาจมีศีลได้ถ้ามีเจตนางดเว้น งดเว้นเท่าใดก็มีศีลเท่านั้น ถ้าไม่มีเจตนางดเว้นก็ไม่มีศีลเลย
เมื่อมีเจตนาล่วงศีล ศีลก็ขาดหรือเศร้าหมองและเป็นบาปด้วย เช่น เมื่อตั้งใจยิงนก แม้ยิงไม่ถูกหรือยิงถูกแต่นกไม่ตาย ศีลข้อ ปาณาฯไม่ขาด แต่เศร้าหมองไม่บริสุทธิ์ และเป็นบาปด้วย ถ้ายิงนกตายสมดังใจ ศีลข้อปาณาฯขาด และบาปมากกว่า ถ้าเหยียบมดตายโดยไม่ทันเห็น ศีลไม่ขาด และไม่เป็นบาปเพราะไม่เจตนา