สมัยหนึ่ง พระราชาคณะผู้ใหญ่องค์หนึ่งมีเรื่องขัดแย้งกับสงฆ์ผู้อยู่เหนือกว่า ถึงกับจะลาสิกขาออกมา ซึ่งจะไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง หลายคนเข้าไปขอร้องก็ไม่มีท่าจะเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ท่านเจ้าพระยาพระเสด็จฯ ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ จึงพูดกับพระวรเวทย์พิสิฐ (เซ็ง ศิวะศริยานนท์) ซึ่งตอนนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงว่า หลวงวรเวทย์ฯ ถ้าแกจัดการเรื่องนี้สำเร็จ ฉันจะให้รางวัลอย่างงาม
พระวรเวทย์ฯ คลานหลีกผ่านญาติโยมที่นั่งอยู่เต็ม พอพระราชาคณะองค์นั้นเห็นเปลี่ยนหน้าคนเข้าไปขอร้องใหม่ ก็กล่าวว่า มาละ กระทรวงธรรมการ เอ้าพูดไปซี เผื่อฉันจะเชื่อมั่ง
พระวรเวทย์ฯ กราบลงแล้ว จึงเรียนท่านว่า ใต้เท้าจะให้ผมกราบเรียนว่าอย่างไร กระผมไม่มีอะไรจะกราบเรียน นอกจากว่ากระผมมีความรู้สึกอย่างเดียวกับใต้เท้าทุกประการ ถ้าเป็นกระผมก็ทนไม่ไหวเช่นกัน แต่เวลานี้ใต้เท้าก็เป็นหลักหนึ่งของบ้านเมือง ใต้เท้าจะมาทิ้งบริษัทที่ยึดเหนี่ยวพระคุณใต้เท้าเป็นที่พึ่งไปเพราะเหตุอันเดียว เหตุอัน นั้นมาจากท่านผู้หนึ่ง ท่านผู้นี้คนเขาก็รู้ก็เข้าใจกันอยู่ว่าท่านเป็นอย่างไร แต่ไม่มีใครทำอะไรท่านได้ ในส่วนความถูกผิดนั้น ไม่มีใครเลยที่จะไปติดใจระแวงใต้เท้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กระผมและบริษัทก็ได้แต่โศกเศร้าเสียใจเท่านั้น
พระราชาคณะองค์นั้นนิ่งอึ้งอยู่เป็นครู่ จึงกล่าวขึ้นว่า เออ หลวงวรเวทย์ฯ ยังไม่มีใครมาพูดกับอาตมาแบบนี้เลย มีแต่มาสอนให้อดทน ให้เสียดายพรรษาที่บวชมา ให้เห็นแก่โน่นเห็นแก่นี่ ส่วนเรื่องความถูกผิด ไม่มีใครมาพูดอย่างนี้เลย เอาละ ไม่สึกละ
(บุคคลสำคัญของไทย โดย อรรถ อรรถวุฒิกร)
เล่ากันว่า ครั้งหนึ่ง ท่านประธานาธิบดียอร์จ วอชิงตัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้พบนิโกรคนหนึ่งในถนน เมื่อนิโกรคนนั้นเห็นท่านประธานาธิบดีก็เปิดหมวกคำนับอย่างสุภาพ ท่านประธานาธิบดีก็เปิดหมวกคำนับตอบอย่างผู้ดี เพื่อนผิวขาวของท่านประธานาธิบดีก็ติท่านว่า ไม่ควรจะแสดงความสุภาพตอบนิโกรอย่างที่ท่านทำ ท่านประธานาธิบดีกลับถามผู้นั้นว่า ถ้าเช่นนั้นคุณอยากจะให้ผมยอมให้คนนิโกร ที่เคยเป็นทาสและเป็นคนโง่ มีความสุภาพกว่าผมหรือ
สมัยหลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา ครั้งหนึ่ง นาย ดั๊กกลาส นิโกรผู้มีความรู้สูง โดยสารรถไฟเพื่อไปที่มลรัฐเพ็นซิลเวเนีย เขาถูกพนักงานรถไฟบังคับให้ไปนั่งในรถสัมภาระแต่ต้องเสียค่าโดยสารเท่ากับผู้โดยสารในรถธรรมดา มีผู้โดยสารที่เป็นฝรั่งผิวขาวที่รู้จักเขาบางคนเข้าไปหานายดั๊กกลาส แล้วพูดปลอบใจเขาว่า ผมรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่คุณถูกลดชั้นให้ต่ำลงอย่างนี้
นายดั๊กกลาสลุกขึ้นจากหีบไม้ใบหนึ่งที่เขานั่ง ยืนขึ้นตรงแล้วตอบว่า ไม่มีใครจะสามารถลดชั้นให้จิตใจผมต่ำไปได้ดอกคุณ ผมไม่ใช่คนที่จะทำตนเองให้ต่ำลงเพราะคนอื่นเขาดูถูก คนที่ดูถูกผมต่างหากที่ทำตัวของเขาให้เลวลง
(ชีวิตที่รุ่งเรืองขึ้นมาจากทาส ของสัมมาชีวศิลปมูลนิธิ แปลและเรียบเรียงโดย ศ.หลวงสมานวนกิจ)
สาระที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. การที่คนอื่นพูดเกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล เพราะพูดไม่ถูกใจของท่านเจ้าคุณ เมื่อพระวรเวทย์ฯ พูดถูกจุด เกาถูกที่คันและพูดแสดงความ เห็นใจ ทำให้ท่านเจ้าคุณองค์นั้นพอใจมาก ประกอบกับใจจริงของท่านก็คงไม่อยากจะสึก เมื่อได้รับคำขอให้อยู่เป็นที่พึ่งของญาติโยม ท่านเจ้าคุณจึงยอมโดยดี
๒. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเล่าว่า สมัยที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงเป็นพระมหาเปรียญแล้ว ก็ทรงเคยดำริจะ ลาสิกขา ถึงกับเตรียมผ้านุ่งและเสื้อราชปะแตนไว้แล้ว แต่ทรงเปลี่ยนพระทัยเพราะพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ความว่า คนอย่างคุณนั้น ถ้าสึกไปแล้วหาง่าย แต่ถ้าบวชต่อไปแล้วหายาก ด้วยความอยากเป็นคนหายาก พระองค์จึงทรงดำรงอยู่ในสมณเพศต่อไป
๓. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายดั๊กกลาสทำให้นึกถึงพุทธดำรัสอันน่าประทับใจ (๑๕/๖๖๐) ความว่า อย่าถามถึงชาติกำเนิด จงถามถึงความประพฤติ พุทธดำรัสนี้แสดงว่า ศาสนาพุทธถือว่าความประพฤติสำคัญกว่าชาติกำเนิด
๔. รวงข้าวที่สมบูรณ์ด้วยเมล็ดจะน้อมลงต่ำ รวงข้าวที่ไม่สมบูรณ์เมล็ดลีบจะยืนตั้งตรง ฉันใด บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมและความรู้ มักจะสุภาพอ่อนน้อม ส่วนคนพาลผู้ด้อยคุณธรรมและความรู้ มักจะกระด้างหยาบคาย ฉันนั้น
๕. ในจูฬกัมมวิภังคสูตร (๑๔/๕๗๙) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ผลของความไม่กระด้างเย่อหยิ่ง ไหว้คนที่ควรไหว้ ตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้าไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดในตระกูลสูง
อาจเป็นด้วยเหตุนี้ คนที่มีตระกูลหรือตำแหน่งสูงจึงมักเป็น คนสุภาพอ่อนน้อม ไม่กระด้างเย่อหยิ่ง ดังเช่น ประธานาธิบดียอร์จ วอชิงตัน เป็นต้น