เมื่อครั้งพุทธกาล มีธิดาของเศรษฐีสกุลหนึ่งในกรุงราชคฤห์ มีนามว่า ภัททา
วันหนึ่งนางเห็นโจรคนหนึ่งนามว่า สัตตุกะ กำลังถูกนำไปฆ่า มีจิต ปฏิพัทธ์ จึงนอนคว่ำหน้าบนที่นอน คร่ำครวญว่า ถ้าได้เขาจึงจะมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้ก็จักตายเสีย บิดารักนางมากเพราะเป็นธิดาคนเดียว จึงติด สินบนให้เจ้าหน้าที่ปล่อยสัตตุกโจร เอาโจรอื่นมาประหารชีวิตแทน
นางภัททาดีใจที่ได้โจรสมปรารถนา จึงแต่งตัวด้วยเครื่องประดับอันสวยงามนานาชนิดคอยบำเรอเขา ล่วงไป ๒-๓ วัน โจรเกิดโลภในเครื่องประดับ จึงกล่าวกับนางว่า เมื่อตอนถูกจับพี่ได้บนเทวดาซึ่งสิงสถิต ณ เขาทิ้งโจรว่า ถ้ารอดชีวิต จักนำเครื่องพลีกรรมไปเซ่น สรวงท่าน น้องช่วยจัดเครื่องพลีกรรมสำหรับเทวดานั้นด้วยเถิด
เพื่อเอาใจสามี นางภัททาจัดแจงเครื่องพลีกรรม ประดับด้วยเครื่องประดับทุกชนิด ขึ้นยานคันเดียวกันไปกับสามี เริ่มขึ้นไปยังเขาทิ้งโจร สัตตุกโจรคิดว่า เมื่อขึ้นไปหมดทุกคน เราจักไม่มีโอกาส จึงให้พักบริวารชนไว้ตรงนั้น ให้นางภัททาถือภาชนะเครื่องเซ่นสรวงเอง แล้วขึ้นภูเขาไปกัน ๒ คน เมื่อได้โอกาสเหมาะก็แสดงลายโจร กล่าวกับนาง
โจร : จงเปลื้องผ้าห่มของเจ้าออกห่อเครื่องประดับที่ติดตัวเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้
นาง : น้องมีความผิดอะไรเล่า
โจร : หญิงโง่ เจ้าเข้าใจว่าข้ามาทำพลีกรรม ความจริงข้ามาเพื่อยึดอาภรณ์ของเจ้า โดยอ้างพลีกรรมต่างหาก
นาง : เครื่องประดับเป็นของใคร ตัวน้องเป็นของใคร
โจร : เราไม่สนใจ
นาง : เอาเถิด ขอพี่ท่านโปรดช่วยทำความประสงค์อย่างหนึ่งของน้องให้บริบูรณ์เถิด ขอให้น้องได้กอดพี่ทั้งด้านหน้าด้านหลังทั้งยัง แต่งเครื่องประดับอยู่ด้วย
เมื่อโจรรับปากแล้ว นางก็แสร้งกอดข้างหน้าแล้วกอดข้างหลัง พอได้ทีก็ผลักโจรตกเหว ร่างแหลกละเอียด ณ เบื้องล่าง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นางกลับบ้านไม่ได้ นางไปจากที่นั้นและได้บวชเรียนกับพวกนิครนถ์ เห็นว่าลัทธินี้ไม่มีสาระแก่นสาร จึงท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้ไปในที่ต่างๆ จนถึงกรุงสาวัตถี ได้พบและโต้คารมกับพระสารีบุตร เกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระสารีบุตรเป็นสรณะ พระ เถระให้นางถือเอาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสรณะ แล้วพานางไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า นางรับฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ได้บรรลุอรหัต
(อรรถกถาภัททากุณฑลเกสาเถรีคาถา)
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี อุบัติขึ้นในโลก พระราชาผู้เป็นพุทธบิดาทรงหวงแหนว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของเรา ทรงบำรุงเพียงองค์เดียว ไม่ทรงเปิดโอกาสให้ชาวเมืองได้เห็นหรือทำบุญกับพระผู้มีพระภาคเจ้าและหมู่สงฆ์เลย ชาวเมืองโกรธถึงกับจะทำการรบกับพระราชาเพื่อแย่งชิงพระศาสดา พระราชาจำต้องทรงอนุญาตให้ชาวเมืองได้ถวายทานบ้าง วันแรกเป็นวาระที่เสนาบดีจะถวายมหาทาน จึงวางคนไว้โดยรอบทางที่พระศาสดาจะเสด็จ สั่งว่า จงรักษาการณ์โดยที่คนอื่นไม่อาจถวายภิกษาแม้เพียงอย่างเดียวได้
วันนั้นภรรยาเศรษฐีร้องไห้พูดกับลูกสาวว่า หากบิดาของลูกยังมีชีวิตอยู่ วันนี้แม่ต้องนิมนต์พระทศพลฉันเป็นรายแรก
ลูกสาวพูดว่า แม่อย่าคิดเลย ลูกจักทำโดยวิธีที่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จักฉันภิกษาของเราเป็นรายแรก
ต่อจากนั้น นางบรรจุข้าวปายาสที่ไม่มีน้ำลงในถาดทองคำจนเต็ม ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด เป็นต้น เอาถาดใบอื่นครอบ เอาพวงมาลัยดอกมะลิล้อมภาชนะนั้นทำคล้ายพวงดอกไม้
ครั้นได้เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบ้าน นางยกเอง มีหมู่พี่เลี้ยงแวดล้อมออกจากเรือน ในระหว่างทาง พวกคนใช้ของ เสนาบดีกล่าวว่า
คนใช้ : แม่หนูอย่ามาทางนี้
นาง : ท่านอา ท่านลุง ท่านน้า ทำไมท่านไม่ให้เราเข้าไปเล่า
คนใช้ : ท่านเสนาบดีห้ามนำของกินเข้ามาถวายเป็นอันขาด
นาง : ก็พวกท่านเห็นของกินในมือฉันหรือ
คนใช้ : เห็นแต่พวงดอกไม้
นาง : ท่านเสนาบดีห้ามแม้การบูชาด้วยดอกไม้หรือ
คนใช้ : ให้จ้ะแม่หนู
นาง : ถ้าเช่นนั้นพวกท่านหลีกไปสิ
นางเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงให้รับพวงดอกไม้เถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูคนใช้ของเสนาบดีคนหนึ่ง แล้วให้รับพวงดอกไม้ไว้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทานพรแล้ว นางได้กราบทูลลากลับไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเรือนของเสนาบดี ประทับนั่งบน อาสนะที่เขาปูไว้ เสนาบดีถือข้าวยาคูน้อมเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเอาพระหัตถ์ปิดบาตร เสนาบดีกราบทูลว่า หมู่ภิกษุนั่งแล้ว พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราได้บิณฑบาตหนึ่งในระหว่างทาง เสนาบดีนำพวงดอกไม้ออกก็เห็นบิณฑบาต คนรับใช้ใกล้ชิดกล่าวว่า ผู้หญิงพูดลวงกระผมว่าดอกไม้
ข้าวปายาสเพียงพอแก่ภิกษุทั้งหมด เสนาบดีได้ถวายไทยธรรมของตน หลังภัตกิจพระศาสดาตรัสมงคลกถา แล้วเสด็จกลับ เสนาบดีสอบถามได้ความว่า ธิดาเศรษฐีเป็นผู้ถวายบิณฑบาต จึงดำริว่า หญิงมีปัญญาเมื่อมาอยู่ในเรือน ชื่อว่าสวรรคสมบัติของบุรุษย่อมหาได้ไม่ยาก คิดแล้วจึงนำหญิงนั้นมาตั้งไว้ในตำแหน่งหัวหน้า นางก็จับจ่ายทรัพย์ของมารดาและของเสนาบดี ถวายทานแด่พระตถาคต บำเพ็ญบุญตลอดอายุ ตายแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก
(อรรถกถาสุมนสูตร ๒๒/๓๑)
สาระที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. เพราะประดับด้วยเครื่องประดับอันสวยงามจำนวนมาก ทำให้โจรสัตตุกะเกิดความโลภ นางภัททาจึงได้รับภัยจนเกือบสิ้นชีวิต แต่เอาตัวรอดมาได้ด้วยไหวพริบ ในปัจจุบันมีหญิงชายจำนวนมากที่ชอบอวดร่ำรวยด้วยเครื่องประดับอันสูงค่านานาชนิด จึงได้รับภัยจากโจร และบางรายก็เสียชีวิตเพราะไม่มีไหวพริบดีเหมือนนางภัททา ดังนั้นจึงต้องรู้จักประมาณในการแต่งตัว หากไม่รู้จักประมาณ ชอบแต่งตัวราว กับตู้ทองเคลื่อนที่ มีหวังได้รับอันตราย ดังภาษิตจีนที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว
๒. น้ำตาลเคลือบยาพิษ ถ้าไม่พิจารณาให้ดี หลงกินเข้าไปก็อาจตายได้ ฉันใด คำพูดหวานๆ ของคนบางคน ถ้าไม่พิจารณาให้ดี หลงเชื่อเข้าไปก็อาจตายได้ ฉันนั้น ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า เขาว่าให้เอาห้าหาร หมายถึง อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ ใครพูดอะไรก็ให้ฟังหูไว้หู
๓. ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ถึงให้ฟรีก็ไม่มีใครเอา แต่ความทุกข์เป็นของคู่โลก แม้ไม่ต้องการก็หนีไม่พ้น เมื่อประสบความทุกข์ คนส่วนมากแก้ทุกข์ไม่เป็น จึงหนีทุกข์ด้วยการฆ่าตัวตายบ้าง กลบ เกลื่อนทุกข์ด้วยสุรายาเสพติด หรืออบายมุขอื่นๆ บ้าง เป็นเหตุให้ต้องทุกข์หนักขึ้นไปอีก ส่วนผู้มีปัญญาอย่างนางภัททารู้จักแก้ทุกข์อย่างถูกวิธี สามารถทำประโยชน์จากความทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้ กล่าวคือได้ออกบวชและบรรลุอรหัต
๔. ผู้มีศรัทธาแม้จะถูกห้ามปราม ก็หาทางทำบุญจนได้ ส่วนผู้ไม่มีศรัทธาแม้จะถูกชักชวน ก็ไม่ยอมทำบุญ