เว็บบอร์ด สนทนาธรรม สอบถามห้องแชดสนทนาธรรมสมุดเยี่ยม ฝากข้อความ ติชมรวมเว็บพระพุทธศาสนารวมรูปภาพ พุทธศิลป์ พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระสงฆ์
  ตั้งเป็นหน้าแรก   เก็บเข้า Favorites   สั่งพิมพ์   แจ้งปัญหา
   
 
 
 
สารบัญหลัก
  หน้าหลัก
  หนังสือธรรมะ
  บทสวดมนต์
  เสียงธรรม mp3
  เสียงสวดมนต์ mp3
  ห้องสวดมนต์ออนไลน์
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  วัดป่า-พระป่า
  วันสำคัญทางศาสนา
  ดาวน์โหลด e-book
  คำสอนจากครูบาอาจารย์
  บทความ..ธรรมจักร
  รูปภาพ
  กระดานสนทนา
  ห้องสนทนา
  สมุดเยี่ยม
  รวมเว็บ
  ติดต่อทีมงาน
ขึ้นบน
 
เว็บบอร์ด
  สนทนาธรรม
  ข่าวกิจกรรม
  สติปัฏฐาน
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  นิทานธรรมะ
  หนังสือธรรมะ
  บทความธรรมะ
  กวีธรรม
  นานาสาระ
  วิทยุธรรมะ
  สถานที่ปฏิบัติธรรม
  เสียงธรรมออนไลน์
  เสียงสวดมนต์ออนไลน์
  พระพุทธเจ้า
  ประวัติอสีติมหาสาวก
  ประวัติเอตทัคคะ
  ประวัติครูบาอาจารย์
 
 
^-^ มาฝึกสมาธิกันดีกว่า ^-^
 
@ อยากรู้  ประวัติศาสตร์ วงล้อมธรรมจักร ลัญลักษณ์ของพุทธศาสนา  คลิกอ่าน @
 
รวมเว็บพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
 
คำสอนของครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์,หลวงพ่อชา,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อจรัญ,พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นต้น
 
อัลบั้มภาพพระพุทธศาสนา
 
เรือนธรรม - บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ
 
ขอเชิญเข้ามาร่วมสนทนาธรรมด้วยกันครับ
 
ดูซิ ! ว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
 
ฝากข้อความติชมของท่านได้ที่นี่ครับ
 
 
 
 
   ธรรมจักร   หนังสือธรรมะ กรรมลิขิต ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ
 
คู่เวร

            พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านคยา ได้ให้ธิดาแก่บุตรพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น ธิดาพราหมณ์เป็นลูกสะใภ้แล้วได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้าน นางเห็นลูกสาวของทาสีในบ้านนั้นแล้วไม่ชอบหน้า นับแต่เห็นมา นางก็แสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ และชูกำปั้นแก่ลูกสาวทาสีนั้น เมื่อลูกสาวทาสีโตพอจะทำการงานได้ นางก็ใช้เข่า ศอก และกำปั้นทุบตีเหมือนผูกอาฆาตกันมาในชาติก่อนๆ หลายชาติทีเดียว

             เล่ากันมาว่า ในครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ ทาสีนั้นได้เป็นนายและได้ทุบตีลูกสะใภ้ด้วยก้อนดินและชูกำปั้นให้เสมอๆ ลูกสะใภ้เหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้ทำบุญให้ทานตั้งความปรารถนาขอให้ได้เป็นนายบ้าง ในชาติปัจจุบันคนทั้งสองจึงมีสถานะกลับกัน

             วันหนึ่งโดยไม่มีเหตุสมควรเลย ลูกสะใภ้ได้จิกผมใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบตีอย่างเต็มที่ ทาสีนั้นไปศาลาอาบน้ำ โกนผมเสียเกลี้ยง ลูกสะใภ้จึงกล่าวว่า อีทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยงก็จะพ้นหรือ แล้วเอาเชือกพันศีรษะ จับนางให้ก้มลงแล้วเฆี่ยน และไม่ให้นางเอาเชือกออก แต่นั้นมานางทาสีจึงได้ชื่อว่า รัชชุมาลา (รัชชุ = เชือก มาลา = หมวก)

             วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลก นางรัชชุมาลาได้ปรากฏในข่ายพระญาณ จึงเสด็จเข้าไปป่า ประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฝ่ายนางรัชชุมาลาถูกรังแกทุกวัน จึงเบื่อหน่ายต่อชีวิต ประสงค์จะฆ่าตัวตาย ถือหม้อน้ำออกจากเรือนทำทีว่าไปตักน้ำ แล้ววางหม้อน้ำไว้ข้างทาง เข้าไปยังป่าชัฏ ผูกเชือกที่กิ่งของต้นไม้ซึ่งอยู่ใกล้ที่ ประทับ เพื่อทำเป็นบ่วงผูกคอตาย มองไปรอบทิศเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ ดูน่าพอใจและน่าเลื่อมใส เกิดความคิดว่า ทำไฉนพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโปรดคนเช่นเราให้พ้นความลำเค็ญ

             เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก นางรัชชุมาลาก็เข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วฟังธรรมได้บรรลุโสดาบัน จากนั้นนางก็นำหม้อไปตักน้ำแล้วกลับเรือน คนในเรือนรู้เรื่องนางรัชชุมาลา จึงนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันที่เรือน เมื่อฟังธรรมแล้วก็ดำรงอยู่ในสรณะและศีล การจองเวรของสองนางก็สิ้นสุดลง เมื่อนางรัชชุมาลาตายก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
                                                                                  (อรรถกถารัชชุมาลาวิมาน)


            ต่อไปเป็นประสบการณ์ของจ่าสิบตรีหญิงชวนชื่น อุณหนันทน์ ที่ถูกวิญญาณพยาบาทเข้าสิง เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เมื่อวันพุธที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ ที่วชิรพยาบาล ความว่า

             เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะนั้นดิฉันอายุ ๑๕-๑๖ ปี ได้ไปร่วมงานทอดกฐินพระราชทาน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการนำไปทอดที่วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี คืนนั้นมีการแสดงลิเกและเล่นละครเพื่อฉลององค์กฐิน ตอนเช้ามีการทำบุญเลี้ยงพระ ตอนสายก็มีการแห่รอบโบสถ์ ดิฉันอุ้มไตรกฐินเดินรอบโบสถ์ ยังไม่ทันถึง ๒ รอบ ก็รู้สึกอ่อนเพลียเวียนศีรษะ จึงให้เพื่อนช่วยอุ้มไตรแทน

             ขณะนั้นใกล้เพลแล้ว ดิฉันตั้งใจจะเดินไปพักผ่อนบนรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก แต่แล้วก็หน้ามืดหมดความรู้สึก มารู้ตัวลืมตาขึ้นก็เห็นตัวมานอนอยู่บนศาลาวัด เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว รู้สึกงงไปหมด เพื่อน ๆ และครูที่นั่งล้อมรอบต่างมีสีหน้าเศร้า ดิฉันสงสัยจึงร้องถามว่า นี่ดิฉันเป็นอะไรไป ทำไมจึงมานอนอยู่บนศาลานี้ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า

             เมื่อดิฉันหมดสติไป มีวิญญาณผีผู้ชายมาเข้าสิง แสดงกิริยาท่าทางโกรธมาก พูดเสียงห้าวๆ ว่า มาคอยกินเลือดอยู่ที่ใต้ต้นพิกุลนี้หลายสิบปีแล้ว ดิฉันตกใจถามว่า ทำไมต้องมาเจาะจงคอยเอาเลือดดิฉัน เพื่อนๆ ก็เล่าว่า วิญญาณชายนี้บอกว่า เมื่อชาติก่อนดิฉันเกิดเป็นลูกเศรษฐี มีอารมณ์ฉุนเฉียว เอาแต่ใจตัวเอง บ่าวไพร่ในบ้านได้รับความเดือดร้อนจากดิฉันเสมอ เพราะดิฉันถือว่าพ่อรักมากและตามใจทุกอย่างเนื่องจากเป็นลูกคนเดียว

             ครั้งหนึ่งบ่าวผู้ชายคนนี้ ได้แอบมองดูเห็นปานขาวใต้ร่มผ้าเมื่อดิฉันนุ่งโจงกระเบน แล้วเที่ยวพูดไปทั่ว ดิฉันโกรธมากไปฟ้องพ่อขอให้ลงโทษบ่าวคนนี้ พ่อจึงสั่งให้จับตัวไปตีตรวนแล้วเฆี่ยน ชายผู้นี้ถูกเฆี่ยนจนบอบช้ำมาก ข้าวปลากินไม่ลง ก่อนตายได้กล่าวอาฆาตว่า จะขอจองเวรกินเลือดดิฉันให้ได้ เมื่อตายแล้วศพของเขาถูกฝังอยู่ข้างกำแพงโบสถ์ใต้ต้นพิกุล เพื่อนเล่าว่าวิญญาณชายนี้ยังได้ชี้ให้ดูที่ฝังศพของเขา และบอกว่าในชาตินี้ดิฉันก็ยังมีปานขาวใต้ร่มผ้า

             ท่านผู้ไปในงานส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนี้ หมอที่อยู่ในที่นั้นก็หาว่าดิฉันเพ้อเพราะพิษไข้ แต่มีผู้ใหญ่บางท่านขอร้องให้ทางวัดช่วยหาเครื่องมือและคนมาขุดตรงที่วิญญาณชี้ เพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อขุดลงไปลึกไม่มาก ก็เห็นโครงกระดูกศพแต่ไม่มีหัว กระดูกท่อนขายังมีโซ่ตรวนสวมอยู่ แต่เหล็กถูกสนิมกินจนผุกร่อนแทบจะขาดจากกันแล้ว จริงตามที่วิญญาณบอก นับเป็นเรื่องแปลก เพราะแม้แต่เจ้าอาวาสและพระที่อยู่มานาน ก็ไม่รู้ว่ามีศพฝังอยู่ตรงนั้น และเมื่อเพื่อนหญิงถลกผ้าดูในขณะที่ดิฉันยังไม่รู้สึกตัว ก็มีปานขาวจริงอย่างที่วิญญาณบอก

             วิญญาณนั้นยังบอกว่าถ้าไม่เอาเลือดไปรดที่กระดูกของเขา ดิฉันจะไม่ได้กลับกรุงเทพ ท่านเจ้าอาวาสจึงบอกให้เอาเลือดทาใบไม้แล้วไปแตะที่กระดูกที่ขุดขึ้นมา ให้โครงกระดูกดูดเลือดจากใบไม้ โดยให้หมอเจาะเลือดที่แขนพับ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ก่อนวิญญาณจะออกจากร่างยังสั่งว่า ทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำให้ดิฉันใส่บาตรพระ ๙ องค์ แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้จนกว่าเขาจะพอใจจึงจะเลิกจองเวร

             เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ดิฉันใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณนั้นทุกวันเพื่อใช้หนี้กรรมให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หลังจากกลับมาได้ ประมาณ ๒ เดือน เวลาประมาณ ๕-๖ โมงเย็น ดิฉันนั่งอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงหมาหอนก็กลัว และรู้สึกหนังตาหนักจะหลับ พอเคลิ้มๆ ไป ดิฉันก็เห็นร่างชายคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นวิญญาณนั้นมาแสดงตัวให้เห็น เขาทำหน้าดุๆ ยิ้มแสยะอย่างเย้ยๆ แต่ก็ไม่แสดงท่าว่าจะทำร้ายดิฉัน ดิฉันกลัวมากนึกถึงเวรกรรมที่ทำไว้กับเขา จึงคิดว่า ต้องอดทนทำดีต่อไปจนกว่าเขาจะให้อโหสิกรรม หลังจากนั้นเขาก็มาเดือนละ ๑-๒ ครั้ง ส่วนมากมักมาเวลา ๕-๖ โมงเย็น ทำให้ดิฉันไม่กล้าอยู่คนเดียว

             หลังจากที่ดิฉันต้องอยู่อย่างหวาดหวั่นเป็นเวลาประมาณ ๑๑ เดือน เย็นวันหนึ่ง วิญญาณก็มาปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายและชัดเจนกว่าทุกครั้ง วิญญาณได้พูดขอบใจที่ได้ทำตามทุกอย่าง ขอให้อโหสิกรรมและจะไม่มาให้เห็นอีก
                                                                (กฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๖)


             ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
            ๑. การที่เจ้านายเกลียดนางรัชชุมาลาทันทีที่เห็นหน้าครั้งแรก เนื่องจากเคยโกรธแค้นกันมาแต่ชาติก่อน นี้คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงไม่ชอบหน้าบางคนเพียงแรกเห็น

             ๒. นางรัชชุมาลาเคยเบียดเบียนทุบตีคนอื่นมาในชาติก่อน ชาตินี้จึงได้รับผลของบาปกรรมที่ตนทำไว้ ถูกเขารังแกจนทนไม่ไหว กลุ้มใจมากถึงกับคิดฆ่าตัวตาย จัดเป็นนรกในใจ การที่จ่าฯชวนชื่นต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ก็จัดเป็นนรกในใจเช่นกัน

             ๓. เจ้ากรรมนายเวรมีอยู่จริง คงเป็นพวกเปรตหรืออสุรกายที่ผูกพยาบาท เพราะเราเคยสร้างกรรมเวรไว้กับเขา ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริงก็คือตัวเราเอง ถึงแม้เจ้ากรรมนายเวรจะมีจริง แต่ก็ไม่อาจแก้แค้นได้ตามอำเภอใจ รู้จากการที่วิญญาณอาฆาตต้องรอนานหลายสิบปี จึงได้โอกาสเข้าสิง ถ้าจะถามว่ารออะไร คำตอบน่าจะเป็น รอกรรมเปิดโอกาสให้ หมายความว่า ตราบใดที่กรรมยังไม่ให้ผล วิญญาณก็ไม่มีโอกาสเข้าสิง

             ๔. การเข้าสิงในกรณีนี้น่าจะจริง เพราะมีหลักฐานยืนยันคือ โครงกระดูกที่ขุดพบและเรื่องปานขาวในร่มผ้า ผู้เรียบเรียงเองก็เคยเห็นเรื่องทำนองนี้ที่วัดญาณสังวราราม เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ขณะกำลังทำวัตรค่ำ ผู้เรียบเรียงเห็นพระภิกษุองค์หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ (ถูกเข้าสิง) นั่งเท้าแขน ทำท่าเหมือนเล่นลิเกเป็นตัวเจ้า ไม่ได้พูดอะไร ทีแรกผู้เรียบเรียงรู้สึกตกใจกลัวถูกลูกหลง แต่พระอื่นไม่สนใจ (คงเห็นจนชิน) เลยทำเฉยเสีย ประมาณ ๒-๓ นาที (ก็ออก) ร่างนั้นก็ล้มหงายหลังลง

             ๕. เป็นการถูกต้องแล้วที่พยายามเอาชนะความชั่วด้วยความดี หมั่นใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้จนวิญญาณนั้นยอมให้อโหสิ ทำให้การจองเวรระงับลง แต่การจองกรรมยังไม่แน่ หมายความว่าบาปกรรมที่ทำไว้อาจยังให้ผลต่อไปอีก ไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปด้วย สุดแล้วแต่ว่าบาปกรรมนั้นหนักเบาแค่ไหน

 

     
 

สารบัญ
ความนำ ๒๒. ตาต่อตา
๑. กรรมลิขิต ๒๓. คดไม่คุ้ม
๒. นิยาม ๕ ๒๔. ร้อนไม่จริง
๓. กรรมชั่วและกรรมดี ๒๕. สายเกินไป
๔. ผลของกรรม ๒๖. ดวงจะช่วยอะไรได้
๕. วิบัติและสมบัติ ๒๗. พลั้งปากเสียเงิน
๖. กรรม ๑๒ ๒๘. เสียสัตย์เสียชีพ
๗. มรณสมัย ๒๙. ปากมีสี
๘. นรกสวรรค์ ๓ ประเภท ๓๐. บทเรียนจากชีวิตเพื่อน
๙. ภูมิ ๓๑ ๓๑. คบคนชั่วปราชัย
๑๐. หลักฐานเรื่องนรกสวรรค์จากพระไตรปิฎก ๓๒. อานิสงส์เมตตา
๑๑. เหตุการณ์ปัจจุบันที่พิสูจน์ว่าตายแล้วเกิด ๓๓. พ้นเพราะบุญ
๑๒. ผู้เห็นผิด ๓๔. มาร้ายไปดี
๑๓. ที่ลับไม่มีในโลก ๓๕. ผู้โชคดี
๑๔. หนีไม่พ้น ๓๖. อานิสงส์ศีล
๑๕. หลาวนั้นคืนสนอง ๓๗. ทรชนคนบาป
๑๖. กรรมที่ตามราวีท่านนายพล ๓๘. ปลาเป็นเหต
๑๗. นกก็มีหัวใจ ๓๙. บุญมาวาสนาช่วย
๑๘. คู่เวร ๔๐. เข็ดจริงๆ
๑๙. ธุลีทวนลม ๔๑. บั้นปลายของวายร้าย
๒๐. มนุษย์เปรต ๔๒. นานาทัศนะจากผู้อ่าน
๒๑. ห่วงหนี้ ดาวน์โหลด หนังสือเล่มนี้
   
   
 
 
 
 
 
 
 
  หน้าหลัก l หนังสือธรรมะ l เสียงสวดมนต์ mp3 l เสียงธรรม mp3 l บทสวดมนต์ l สมาธิ l รูปภาพ
ดาวน์โหลด e-book l ห้องสวดมนต์ออนไลน์  l กระดานสนทนา l ห้องสนทนา chat  l สมุดเยี่ยม lรวมเว็บ
 
จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
ขึ้นบน