ในสมัยรัชกาลที่
๕ ชายคนหนึ่งชื่อดำ เป็นชาวนาเกลือ แขวงบางละมุง จังหวัดชลบุรี
คราวหนึ่งได้รับจ้างเฝ้าไข่จะละเม็ดที่เกาะคราม มีจีนผู้ร้ายมาขโมยไข่เนืองๆ
นายดำโกรธมาก พยายามคอยจับอยู่เสมอ คืนหนึ่งนายดำจับจีนผู้ร้ายที่มาลักไข่ได้พร้อมทั้งของกลาง
จึงเอาเชือกมัดขโมยไว้ เอาไม้ตีบ้าง เอามีดฟันบ้าง แต่ขโมยก็ยังไม่เป็นอันตรายสมใจ
จึงไปหาหลาวมาสวนทวารหนักจนจีนนั้นขาดใจตาย แล้วนำศพไปฝังไว้อย่างมิดชิด
ภายหลังนายดำได้บวชเป็นภิกษุอยู่ที่วัดหนองเกตใหญ่หลายพรรษา
และได้เป็นสมภารวัดนั้น เมื่อจวนมรณภาพ อาพาธเป็นโรคบิด
ยังมีกำลังพอเดินไหว ได้ไปถ่ายอุจจาระที่ถาน (ส้วม)
ถานนั้นอยู่ในหมู่ต้นกล้วย ซึ่งมีหน่อมากมาย พยายามถ่ายเท่าไรก็ถ่ายไม่ออก
จึงลุกขึ้นยืนหมายจะกลับกุฏิ เวลานั้นท่านรู้สึกว่า
มีอะไรเป็นก้อนดำมืดเคลื่อนเข้ามาตรงหน้าท่าน ท่านก็ซวนล้มลงนั่งทับหน่อกล้วยเต็มแรง
หน่อกล้วยสวนเข้าไปในทวารพอดี เมื่อกลับมากุฏิก็ให้เด็กไปตัดหน่อกล้วยนั้นมาไว้ชี้ให้ผู้มาเยี่ยมดู
แล้วเล่าเรื่องที่ท่านเคยใช้หลาวสวนทวารจีนขโมยให้ฟังว่าผลกรรมมาถึงแล้ว
ท่านได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่หลายวัน ก่อนถึงมรณภาพ
(หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
โดย วศิน อินทสระ)
ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑.
ทำไว้อย่างไรย่อมได้อย่างนั้น ผู้เบียดเบียนย่อมได้รับการเบียดเบียนตอบ
ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ
๒.
ความทุกข์ที่สมภารดำได้รับเพราะถูกหน่อกล้วยแทงเปรียบ
เหมือนตกนรกในโลกนี้ ส่วนชาติหน้า ถ้ากรรมดีที่บวชพระให้ผล
ก็จะไปเกิดในที่ดี ถ้ากรรมชั่วที่ใช้หลาวสวนทวารจีนให้ผล
ก็จะไปเกิดในที่ชั่ว