เว็บบอร์ด สนทนาธรรม สอบถามห้องแชดสนทนาธรรมสมุดเยี่ยม ฝากข้อความ ติชมรวมเว็บพระพุทธศาสนารวมรูปภาพ พุทธศิลป์ พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระสงฆ์
  ตั้งเป็นหน้าแรก   เก็บเข้า Favorites   สั่งพิมพ์   แจ้งปัญหา
   
 
 
 
สารบัญหลัก
  หน้าหลัก
  หนังสือธรรมะ
  บทสวดมนต์
  เสียงธรรม mp3
  เสียงสวดมนต์ mp3
  ห้องสวดมนต์ออนไลน์
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  วัดป่า-พระป่า
  วันสำคัญทางศาสนา
  ดาวน์โหลด e-book
  คำสอนจากครูบาอาจารย์
  บทความ..ธรรมจักร
  รูปภาพ
  กระดานสนทนา
  ห้องสนทนา
  สมุดเยี่ยม
  รวมเว็บ
  ติดต่อทีมงาน
ขึ้นบน
 
เว็บบอร์ด
  สนทนาธรรม
  ข่าวกิจกรรม
  สติปัฏฐาน
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  นิทานธรรมะ
  หนังสือธรรมะ
  บทความธรรมะ
  กวีธรรม
  นานาสาระ
  วิทยุธรรมะ
  สถานที่ปฏิบัติธรรม
  เสียงธรรมออนไลน์
  เสียงสวดมนต์ออนไลน์
  พระพุทธเจ้า
  ประวัติอสีติมหาสาวก
  ประวัติเอตทัคคะ
  ประวัติครูบาอาจารย์
 
 
^-^ มาฝึกสมาธิกันดีกว่า ^-^
 
@ อยากรู้  ประวัติศาสตร์ วงล้อมธรรมจักร ลัญลักษณ์ของพุทธศาสนา  คลิกอ่าน @
 
รวมเว็บพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
 
คำสอนของครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์,หลวงพ่อชา,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อจรัญ,พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นต้น
 
อัลบั้มภาพพระพุทธศาสนา
 
เรือนธรรม - บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ
 
ขอเชิญเข้ามาร่วมสนทนาธรรมด้วยกันครับ
 
ดูซิ ! ว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
 
ฝากข้อความติชมของท่านได้ที่นี่ครับ
 
 
 
 
   ธรรมจักร   หนังสือธรรมะ กรรมลิขิต ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ
 
เหตุการณ์ปัจจุบันที่พิสูจน์ว่าตายแล้วเกิด

            เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ มีข่าวในหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับว่า ด.ช.บงกช พรหมศิลป อายุ ๓ ขวบ ระลึกชาติได้ เด็กคนนี้อยู่ที่ ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ บิดาชื่อ นายอมร พรหมศิลป อายุ ๔๖ ปี เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดแรง ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ มารดาชื่อนางไสว พรหมศิลป นางไสวเล่าว่า เมื่อด.ช.บงกช เริ่มจะพูดได้ ก็พูดบ่นและร้องไห้เสมอว่าจะไปหาพ่อแม่ เมื่อนางบอกว่าพ่อแม่ก็อยู่ที่นี่ เด็กปฏิเสธว่าไม่ใช่ เลยเกิดโทสะถึงกับตีด้วยไม้ก็มี

             หลายเดือนต่อมา เด็กไปบอกคนข้างบ้านว่า เขาไม่ใช่ลูกของนางไสว เขาคือนายจำรัส ลูกชายของนายม่านและนางศรีนวล พุภูเขียว บ้านอยู่ ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ตายเพราะถูกแทง เขาอยากไปหาพ่อแม่ (เก่า) ขอให้พาไปด้วย เมื่อนางไสวกับสามีทราบข่าวจากชาวบ้านจึงสอบถามด.ช.บงกช เด็กบอกว่าเขาชื่อจำรัส ไม่ใช่ชื่อบงกช เขาถูกแทงตายที่ข้างศาลเจ้า ต.หัวถนน นายแบนและนายมาซึ่งเขารู้จักดี ช่วยกันแทงจนเขาตาย แล้วเอาสร้อยคอทองคำหนัก ๓ บาท แหวนทองคำ ๒ วง และนาฬิกาข้อมือของเขาไปด้วย

            ตั้งแต่เกิดมา ด.ช.บงกชชอบกินปลาร้า ผิดจากพ่อแม่และพี่น้องอื่นๆ (มี ๑๐ คน แต่ตายไป ๒ คน) ซึ่งไม่กินปลาร้า โดยด.ช.บงกชไปกินกับคนข้างบ้าน และยิ่งกว่านั้นยังพูดภาษาอีสานได้ดีอีกด้วย ทั้งๆ ที่ในหมู่บ้านนั้นไม่มี ชาวอีสานเลย และบางครั้ง ด.ช.บงกชยังขอร้องมารดาให้บวชให้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะเด็กอายุแค่ ๓ ขวบเท่านั้น

            นางไสวเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อไปตลาด ด.ช.บงกชเห็นผลฝรั่งก็อยากกิน จึงบอกนางไสวว่าอยากกินหมากสีดา นางไสวไม่เข้าใจ เด็กจึงชี้ให้ดูผลฝรั่ง นางไสวจึงได้รู้ว่า ชาวอีสานเรียกฝรั่งว่าหมากสีดา

            เรื่องการตายของนายจำรัส ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบหลักฐานจากทะเบียนคดีอาญาของอำเภอท่าตะโก ก็พบว่ามีจริง นายจำรัสอายุ ๑๘ ปี บุตรนายม่าน พุภูเขียว และนางศรีนวล ถูกแทงตายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ เหตุเกิด ที่บริเวณงานวัดหัวถนน ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก

            นายม่านซึ่งเป็นบิดาของนายจำรัส ได้เล่าถึงการตายของลูกชายว่า วันนั้นมีงานที่วัดหัวถนน มัน (จำรัส) บอกผมว่าจะไปเที่ยว ตอนไปมันใส่ทองหนัก ๓ บาท นาฬิกา ๑ เรือน แหวนทองนาค ๒ วง พอ ๒ ยามเศษ ตำรวจก็มาบอกว่าลูกชายถูกคนร้ายแทงตายและชิงทรัพย์ไปหมด ผมจำได้ว่ามันสวมเสื้อขาวแขนสั้น นุ่งกางเกงสีกากี ขาสั้น นอนตายอยู่โคนต้นตะโก ข้างศาลเจ้า

            บ่ายวันรุ่งขึ้น เมื่อชันสูตรศพแล้ว ผมก็เอาไปวัดเผาเลย พอเขาตายได้ ๓ เดือนผมก็เอาจักรยานของเขาไปขายให้ทิดมี พอตกกลางคืน ลูกชายคนเล็กของผมก็ร้องไห้จนไม่ต้องหลับนอนกัน ผมเลยไปจุดธูปบอกจำรัสเรื่องรถจักรยาน เจ้าลูกคนเล็กก็หยุดร้อง ผมเลยไปซื้อรถจักรยานมาเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ แต่เสื้อผ้าของเขาผมให้ทานไปหมด เก็บไว้แต่มีดพกและกางเกงขายาวดำอีกตัวหนึ่งเพราะไม่มีคนใส่

            นายม่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับด.ช.บงกชว่า ผมรู้เรื่องเมื่อต้นปีนี้เอง มีคนลือกันว่าลูกผมไปเกิดที่ ต.ดอนคา ผมก็ไปกับเมียผม พอไปถึงบ้านนางไสว ด.ช.บงกชก็วิ่งมาหา ดูหมาให้ผมแล้วพูดภาษาอีสานกับผม ผมนึกเอะใจก็ลองถามเขาเรื่องสีของรถจักรยานและมีดพก เขาก็บอกว่าช่วยเก็บไว้ให้เขาด้วย เขาเอามีดพกเสียบไว้ข้างฝา ผมก็งงเป็นไก่ตาแตก ยิ่งคุยถามไปเด็กก็ตอบได้ถูกต้อง เขาต่อว่าผมไม่ไปหาเขาเลย เขาคิดถึงผมตลอดเวลา เด็กตัวเล็กๆ พูดจาเหลือเชื่อ เมื่อผมถามว่าเวลาตายใส่เสื้ออะไร เขาตอบว่าใส่เสื้อขาวแขนสั้น นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี ก็พ่อเป็นคนให้ใส่จำไม่ได้หรือ ผมถึงกับน้ำตาไหล แม่ของเขาก็ร้องโฮ แล้วเขาถามถึงเกวียนที่ผมเคยซื้อ ผมบอกว่าขายไปแล้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร และยังพูดถึงน้องๆ ของเขาอย่างถูกต้อง มันเคยตีน้องมันยังเล่าถูก ผมร้องไห้เพราะเชื่อแน่ว่าเป็นลูกผม กลับถึงบ้านผมปรึกษากับเมียว่า จะขายนาสัก ๓๐ ไร่ เอาเงินไปซื้อตัวลูกคืนมา แต่ทางฝ่ายครูอมรและนางไสวไม่ยอม ส่วนเรื่องมือมีดนั้น ตำรวจจับนายมาได้ ส่วนนายแบนหนีไป ยังจับไม่ได้ เมื่อฟ้องศาลแล้ว ศาลตัดสินให้ปล่อยตัวเพราะหลักฐานอ่อน

            นายม่านเล่าถึงนิสัยใจคอของนายจำรัสว่า เมื่อ ๒ ปีก่อนจะตาย นายจำรัสเคยปรารภว่าอยากจะบวชเณร แต่นายม่านนางศรีนวลทัดทานไว้เพราะเกรงว่าไม่มีคนช่วยทำนา เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ด.ช.บงกชในขณะนี้ ก็บ่นกับนายอมรและนางไสวเสมอว่าอยากบวช บางคราวด.ช.บงกชเอาผ้าคลุมหัวแล้วทำท่าเป็นพระ บางคราวก็บอกนางไสวว่า เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะบวช ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นายจำรัสหรือด.ช.บงกชมีจิตเป็นกุศล ใคร่จะบวชในพระศาสนาอยู่เสมอ
                                                          (๒๓ ผู้กลับมาเกิดใหม่ โดย เต็ม สุวิกรม M.A.)

            เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ดร.เจอร์เกน ไคล์ (นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน เคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย) ได้เดินทางมาศึกษาค้นคว้าเรื่องเด็กที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยแทน ศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน (จิตแพทย์ชาวแคนาดา) ซึ่งชรามากแล้ว โดยมีนายสุตทยา วัชราภัย เป็นผู้ร่วมศึกษาค้นคว้า บุคคลทั้งสองได้เดินทางไปยังภาคอีสานตอนบน เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กที่จำอดีตชาติได้ โดยสืบถามข้อมูลจากญาติพี่น้อง พยานที่รู้เห็น หรือตัวเด็กที่จำอดีตชาติได้ (บางคนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ข้อมูลที่ค้นคว้ามาได้มีมาก (ปี ๒๕๓๕-๒๕๔๑ ค้นคว้ามาได้รวม ๕๐ ราย เฉพาะปี ๒๕๔๐ มี ๘ ราย มีอีก ๗๐-๘๐ รายที่ยังไม่ได้ไปสัมภาษณ์) ผู้ที่สนใจเชิญสอบถามรายละเอียดได้จากนายสุตทยา วัชราภัย โทร.๒๕๒-๘๓๓๙ (ยินดีรับเชิญไปบรรยายเป็นการกุศล) ในที่นี้จะนำมาเสนอเพียงบางส่วนโดยย่อ ดังนี้

            กรณีด.ญ. กุ๊ก กุ๊กเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ ปัจจุบัน (๒๕๔๒) อายุ ๑๐ ปี (ญาติๆ เชื่อมั่นว่า) ชาติก่อนกุ๊กเป็น ด.ญ.เขม พ่อแม่ของเขมมีฐานะดี เมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เขมอายุ ๗ ปี เรียนอยู่ชั้นป.๒ เขมป่วยหนักเพราะไวรัสลงตับ ขณะนั้นใกล้ถึงวันเกิดของเขม พ่อแม่ถามว่าวันเกิดอยากได้อะไร เขมบอกว่าอยากได้รถโตโยต้าโคโรน่าสีเขียว (เขมชอบสีเขียวมาก เวลาเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวจะเลือกแต่ของสีเขียว) พ่อแม่ถามว่าอยากได้ไปทำไม เขมบอกว่าจะได้พาพ่อแม่ไปเที่ยว พ่อแม่จึงสั่งจองรถ เขมนอนป่วยอยู่ใน รพ.ศรีนครินทร์ (ขอนแก่น) ๑ เดือนก็ถึงแก่กรรม รถที่ จองไว้ก็ยกเลิกไป เรื่องที่เขมอยากได้รถเก๋งสีเขียว พ่อแม่ของกุ๊กไม่ทราบเลย

            กุ๊กไม่เคยพูดว่าตนเป็นเขม แต่จากนิสัยใจคอและพฤติกรรมที่แสดงออกทำให้พ่อแม่ (และญาติ) ของกุ๊กและเขมซึ่งเป็นญาติห่างๆ กัน แน่ใจว่าเขมมาเกิดใหม่เป็นกุ๊ก พฤติกรรมที่กุ๊กแสดงออกมีดังนี้

            ๑. ขณะอยู่อนุบาล (๓-๔ ขวบ) ป้าพากุ๊กไปกรุงเทพฯ เมื่อพบโผ่ (ยาย) ของเขมเป็นครั้งแรก กุ๊กทำท่าสนิทสนม เข้าไปนวดโผ่ แล้วพูดว่า ขอเงินได้มั้ยล่ะ ทั้งที่กุ๊กไม่เคยขอเงินคนแปลกหน้ามาก่อนเลย เมื่อโผ่ควักเงินให้ ๑๐๐ บาท ป้าก็พูดว่า ไปขอเงินโผ่ทำไม โผ่แก่แล้ว กุ๊กยิ้มเฉยไม่ตอบ แต่โผ่พูดว่า ก็หลานของเขา (เขม) ขอเขาทุกวัน (เขม นวดให้โผ่เป็นประจำ นวดแล้วก็ขอเงิน) เมื่อกลับมาบ้านที่อีสาน ป้าก็เล่าเรื่องให้แม่ของกุ๊กฟัง แม่ถามว่า ไปขอเงินโผ่ทำไม ไม่รู้จักกัน กุ๊กตอบว่า รู้จักสิ รู้จักตั้งแต่อยู่ ป.๒ (ขณะนั้นกุ๊กอยู่แค่อนุบาล)

            ๒. เมื่ออยู่ ป.๑ (๖ ขวบ) เช้าวันหนึ่ง กุ๊กนั่งอยู่ที่ระเบียงโรงเรียน มีป้าและแม่ของกุ๊กนั่งอยู่ด้วย (ป้าเป็น ครูสอนภาษาไทย แม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนนั้น) กุ๊กเปิดสมุดการบ้านที่ทำเสร็จแล้ว แล้วพูดบ่นว่า เวรกรรมแท้ๆ เคยเรียน ป.๒ แล้วต้องมาเรียน ป.๑

            ๓. เมื่ออายุ ๖ ขวบเศษ บ่ายวันหนึ่ง แม่ของเขมมารับกุ๊กไปซื้อของ และไปค้างคืนที่บ้านของเขม ขณะที่กำลังนั่งรถเที่ยวเล่น กุ๊กพูดว่า ขอให้มาม้าอายุยืนนานๆ (เขมเรียกแม่ว่ามาม้า) แม่ของเขมถามว่า กุ๊กจะทำไมหรือ กุ๊กตอบว่า กุ๊กจะซื้อรถพามาม้าเที่ยว แม่ของเขมถามว่า อยากได้รถสีอะไร กุ๊กตอบว่า คันยาวสีเขียว แม่ของเขมถามว่า ทำไมต้องซื้อคันยาว กุ๊กตอบว่า ก็มีพี่น้องเยอะจะได้พากันไปหมด (เขมมีพี่น้องมากกว่า กุ๊กมีพี่น้องน้อยกว่า)

            เมื่อลงจากรถเพื่อเดินดูของตามแผงลอยซึ่งอยู่เรียงกันเป็นแถว มีข้าวของวางไว้เป็นกองๆ แม่ของเขมเดินนำหน้ากุ๊ก ห่างพอสมควร เมื่อเห็นของสีเขียวในกองไหนก็จะหยิบซ่อนไว้ใต้กองจนหมด เมื่อกุ๊กเดินมาถึง แม่ของเขมก็ถามว่า ชอบอะไรบ้าง แล้วหยิบของเช่น กิ๊บติดผม กำไล ให้ดู แล้วพูดคะยั้นคะยอว่า ชอบไหม มาม้าจะซื้อให้ กุ๊กไม่ชอบอะไรเลย เมื่อเดินดูจนสุดทางก็ไม่ได้ของสักอย่าง ขากลับแม่ของเขมเดินนำหน้าและแอบหยิบของสีเขียวขึ้นมาไว้ข้างบนโดยที่กุ๊กไม่เห็น คราวนี้เมื่อถามกุ๊กว่า ไม่ชอบอะไรสักอย่างหรือ กุ๊กเลือกหยิบกิ๊บสีเขียว กำไลสีเขียว แม่ของเขมก็ซื้อให้

            เสร็จจากซื้อของก็มาที่บ้านเขม เมื่อกุ๊กเข้าบ้านเขมเป็นครั้งแรก ก็วิ่งเข้าวิ่งออก ขึ้นชั้นบนลงชั้นล่าง ทำราวกับเป็นเจ้าของบ้าน เที่ยวดูทุกห้องจนทั่วบ้าน เวลากินข้าวเย็น ก็แสดงอาการเหมือนว่าเคยอยู่ในบ้านมานาน เช่น พูดคุยกับปาป๊าของเขมราวกับว่าเคยคุยกันทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กุ๊กไม่ค่อยมีโอกาสพบกับปาป๊าของเขม จะพบกันบ้างก็ในงาน ซึ่งผู้ใหญ่จะทำเป็นไม่สนใจกุ๊ก

            กรณีน.ส.อ้อม อ้อมเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่จังหวัดในภาคอีสานตอนบน อ้อมจำได้ว่าชาติก่อนเป็นชาย มีชื่อเล่นว่าเรด อยู่จังหวัดเดียวกัน แต่คนละอำเภอ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ขณะที่อายุ ๑๔ ปี วันหนึ่งเรดขี่จักรยานยนต์ไป ซื้อเมล็ดผักมาปลูกในแปลงผักที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าเมล็ดผักไม่พอ เมื่อขี่จักรยานยนต์ไปชื้อเมล็ดผักอีกครั้งก็เกิด อุบัติเหตุชนกับรถสองแถว เรดบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดระหว่างการผ่าตัดสมอง

            แม่ของอ้อมและแม่ของเรดเป็นญาติห่างๆ กัน แม่ของอ้อมมีศักดิ์เป็นป้าของเรด เรดเรียกแม่ของอ้อมว่าป้าอั๋น ก่อนที่อ้อมจะเกิด แม่ของอ้อมเคยฝันว่าเรดจะมาขออาศัยอยู่ด้วยถึง ๒ ครั้ง ด้วยเหตุนั้นญาติๆ จึงคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของอ้อม เมื่ออ้อมอายุ ๒ ขวบ แม่ของเรดกับเพื่อนคนหนึ่งได้มาหาอ้อมเป็นครั้งแรก ขณะนั้น อ้อมอยู่กับยาย แม่ของเรดถามอ้อมว่า แม่ไปไหน อ้อมตอบว่า ป้าอั๋นไม่อยู่ ป้าอั๋นไปทำนา (อ้อมเรียกแม่ของตนเองว่า ป้าอั๋น อย่างที่เรดเคยเรียก) แม่ของเรดถามว่า ทำไมถึงเรียกแม่ (ของตน) ว่าป้าอั๋น อ้อมตอบว่า เขาเป็นเรดมาเกิด แม่ของเรดแย้งว่า ไม่ใช่หรอก ถ้าเป็นเรด ทำไมเป็นผู้หญิง อ้อมก็ตอบตามประสาเด็กว่า เป็นเพราะอัณฑะและอวัยวะเพศถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วตอนที่เผาศพเรด แม่ของเรดฟังแล้วน้ำตาไหล ขณะนั้นยายถามว่า สองคนที่มานี้ จำได้ไหมว่าใคร อ้อมตอบว่า มาม้าคนนี้ พร้อมกับยกมือชี้มาที่แม่ของเรด

            หลังจากนั้น แม่ของเรดก็ขออนุญาตนำเด็กไปที่บ้านเพื่อทดสอบ เมื่อไปถึงบ้านของเรดซึ่งเป็นโรงงาน มีจักรยานของคนงานจอดอยู่นอกโรงงาน ๒๐ กว่าคัน แม่ของเรดก็ให้อ้อมหาว่าจักรยานของเรดคันไหน อ้อมเข้าไปดูทีละคัน และบอกว่าไม่ใช่สักคัน แล้วเดินเข้าไปหาในโรงงานจนเจอจักรยานของเรด

            เมื่อออกจากโรงงานก็เดินไปที่บ้าน ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานหลังจากเรดตายแล้ว อ้อมทำท่าเหลียวซ้ายแลขวา และถามว่า นี่บ้านเราหรือเปล่า ไม่เหมือนเดิมเลย

            นอกจากนี้อ้อมยังรู้ที่เก็บสมุดออมสินกับนาฬิกาของเรด รู้ว่าเรดนอนที่ไหน จำรูปถ่ายกับเสื้อผ้าของเรดได้ พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้แม่ของเรดแน่ใจว่าเรดมาเกิดเป็นอ้อม

            เมื่ออ้อมอายุประมาณ ๓ ขวบ วันหนึ่ง อ้อมกับแม่ และแม่ของเรดเอาข้าวไปสีที่โรงสี อ้อมเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งชื่อ เชษฐ์ ยืนอยู่ที่นอกโรงสี อ้อมไม่เคยพบนายเชษฐ์มาก่อนเลย แต่กลับร้องบอกแม่ (ด้วยสำเนียงอีสาน) ว่า แม่ บักเซด แม่ของอ้อมพูดว่า ไปเรียกเขาว่าบักเซดทำไม เขาโตแล้ว (บักเป็นคำอีสานที่ใช้เรียกชายรุ่นเดียวกัน) อ้อมพูดว่า ทำไมเรียกไม่ได้ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่เชื่อลองถามดูสิ เขายังเป็นหนี้เรดอยู่ ๙ บาท ที่เล่นโยนหลุมกัน พูดจบ อ้อมก็วิ่งไปหานายเชษฐ์ๆ อุ้มหนูอ้อมขึ้นมาโดยที่ไม่รู้จัก อ้อมบอกทันทีว่า ฉันคือเรด และถามนายเชษฐ์ว่า จำได้ไหม เป็นหนี้ที่เล่นโยนหลุมอยู่ ๙ บาท นายเชษฐ์บอกว่า จำได้ แล้วหยิบเงินให้เด็ก ๑๐ บาท
     เมื่อรอจนสีข้าวเสร็จแล้วต่างก็พากันกลับบ้าน (จากคำบอกเล่าของสุตทยา วัชราภัย น.บ., M.P.A.)

           ชื่อจริงและที่อยู่ของกุ๊กกับอ้อม (รวมทั้งเขมกับเรด) ยังเปิดเผยในขณะนี้ไม่ได้ ศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน ให้ เหตุผลว่า การเปิดเผยชื่อและที่อยู่จะเป็นผลเสียอย่างมากแก่การค้นคว้าในภายหน้า

            การที่เด็กเหล่านี้จำอดีตชาติได้ สาเหตุสำคัญเข้าใจว่าเนื่องมาจากตายแล้วไม่นาน (ส่วนมาก ๑-๒ ปี อย่างมากไม่เกิน ๑๐ ปี) ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก คนส่วนมากจำอดีตชาติไม่ได้เพราะเวลาผ่านไปนานกว่าจะได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ จึงลืมเรื่องในชาติก่อน อย่างไรก็ตาม การที่คนส่วนมากจำอดีตชาติไม่ได้มิได้หมายความว่า ชาติก่อนไม่มี หรือตายแล้วสูญ เพราะถ้าตายแล้วสูญ ผู้ที่จำอดีตชาติได้ก็จะไม่มีเลย แต่ความจริงมีอยู่ว่า ผู้ที่จำอดีตชาติได้มีอยู่ทั่วโลก ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์

            ศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน ใช้เวลา ๓๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๔๑) รวบรวมข้อมูลจากผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั่วโลกประมาณ ๒,๖๐๐ ราย ข้อมูลแต่ละรายมีความน่าเชื่อถือมากน้อยต่างกัน แต่มีหลายรายที่หลักฐานแน่นแฟ้นน่าเชื่อถือมาก ซึ่งศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน ได้นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ ๒๐ กรณีศึกษาที่บ่งชี้ว่าตายแล้วเกิด (Twenty Cases Suggestive of Reincarnation) จะเห็นได้ว่ายิ่งวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นก็ยิ่งสนับสนุนคำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะพุทธธรรมเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เสมอ

            หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่บ่งว่าตายแล้วเกิดคือเรื่องเด็กอัจฉริยะ

            สำนักงานใหญ่ เกรท เวิลด์ กินเนส แห่งนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน แถลงว่าได้พบเด็กอัจฉริยะคู่หนึ่ง เป็นฝาแฝด คนพี่เป็นหญิงชื่อ จ้วง เซฟาง คนน้องเป็นชายชื่อ จ้วง เซเจ็ง อายุเพียง ๓ ขวบ แต่สามารถอ่านอักษรภาษาจีนได้ถึง ๒,๔๐๐ ตัวและอ่านภาษาอังกฤษได้ ๑,๐๐๐ คำ อักษรภาษาจีนนั้น ตัวหนึ่งคือคำหนึ่ง เพราะเขาเขียนแบบผสมอักษรสำเร็จรูป

            บิดาของเด็กเล่าว่า เด็กอัจฉริยะคู่นี้อ่านหนังสือพิมพ์ได้ตั้งแต่อายุแค่ ๑ ขวบ โดยไม่ได้เรียนหนังสือเลย นับเป็นบุคคลที่อ่านหนังสือออกผู้มีอายุน้อยที่สุดในประเทศจีน ซึ่งมีมาตรฐานว่า ใครสามารถอ่านตั้งแต่ ๑,๐๐๐ คำขึ้นไป เป็นผู้อ่านหนังสือได้ (น.ส.พ.ไทยรัฐ ๑๙ ม.ค. ๒๕๓๙)

            มิเชล โดโช อายุ ๒ ขวบ เด็กหญิงชาวบราซิล อยู่ในเมืองอูนาโปลิส สามารถเล่นเปียโนได้ดีอย่างน่ามหัศจรรย์ โดยไม่เคยหัดเรียนเลย โน้ตเพลงก็อ่านไม่ออก เพลงที่แกเล่นเป็นเพลงคลาสสิคของไชคอฟสกี้ หรือเพลงคลาสสิคอื่นๆ เพลงสากลหรือเพลงพื้นเมืองสำหรับเด็กๆ เพียงแต่มิเชลได้ยินคนเล่นให้ฟังสักครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้น ก็เล่นได้

            ศาสตราจารย์ของวิทยาลัยดนตรีซึ่งขึ้นกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติของบราซิล ได้กล่าวถึงหนูน้อยมิเชลว่า ความสามารถในการเล่นเปียโนของแกยอดเยี่ยมมาก แกรับความรู้ทางดนตรีได้รวดเร็วเพียงแต่ได้ยินเท่านั้น นับเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ แกอายุเพียง ๒ ขวบเท่านั้น ผมเชื่อว่าแกมีพรสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทาน หนูมิเชลมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศในฐานะนักเปียโนอัจฉริยะ และเป็นนักเปียโนอายุน้อยที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน
(น.ส.พ.ไทยรัฐ ๒๒ มิ.ย. ๒๕๒๔)
เด็กชายทอมตาบอด (Tom the Blind) แห่งสหรัฐอเมริกา เล่นเปียโนได้อย่างน่าอัศจรรย์ตั้งแต่เป็นเด็ก โดยไม่ได้เรียนรู้จากใครมาก่อน ทอมเป็นลูกทาสที่มาจากป่าลึกแห่งอาฟริกา ยิ่งสืบสายบรรพบุรุษไกลออกไป ก็ยิ่งห่างเปียโนออกไปทุกที (แสดงว่าความสามารถทางดนตรีไม่ได้สืบทอดมาทางสายเลือด)
                                                                      (ตายแล้วเกิด โดย ศ.แสง จันทร์งาม)

            อัจฉริยภาพไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง หรือเป็นพรที่ได้รับประทานจากสวรรค์ แต่เป็นความรู้ความสามารถที่เคยฝึกฝนอบรมในอดีตชาติจนชำนาญ และอาจสืบทอดมาจนถึงชาติปัจจุบัน ดังนั้น การที่เด็กๆ เหล่านี้อ่านหนังสือหรือ เล่นดนตรีได้ โดยไม่เคยเรียนหนังสือหรือเล่นดนตรีมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ที่ผิดวิสัยมนุษย์ ถ้าตั้งใจจริงและ ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างเพียงพอ ทุกคนก็เป็นอัจฉริยะได้ ความรู้ความสามารถที่สั่งสมไว้ในชาตินี้จะกลายเป็น อัจฉริยภาพในชาติต่อๆ ไป

            หลักฐานจากพระไตรปิฎกและหลักฐานที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันดังกล่าวมานี้ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นรกสวรรค์มีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แต่ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ไม่แปลกอะไร เพราะในเรื่องเดียวกัน คนเราอาจมีความเห็นต่างกันได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งใดที่เป็นจริงแล้ว แม้คนทั้งโลกจะไม่เชื่อก็ไม่สามารถทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นเท็จไปได้ ในสมัยก่อน แม้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกแบน ก็ไม่สามารถทำให้โลกแบนได้เลย ความจริงย่อมเป็นความจริงและทนทานต่อการพิสูจน์เสมอ ปรโลก เช่น นรก สวรรค์ ก็มีอยู่จริงในอดีต ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ถึงในอนาคตก็จะยังมีอยู่ และจะไม่กลับกลายเป็นอื่นไป เพราะความเชื่อหรือไม่เชื่อของบุคคลใดๆ เลย

            ต่อไปจะนำเรื่องต่างๆ จากพระสูตรและอรรถกถา รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน มาเสนอท่านผู้อ่าน เพื่อนำไปพิจารณาดูว่า เข้ากันได้เพียงไรกับกฎเกณฑ์ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

 

     
 

สารบัญ
ความนำ ๒๒. ตาต่อตา
๑. กรรมลิขิต ๒๓. คดไม่คุ้ม
๒. นิยาม ๕ ๒๔. ร้อนไม่จริง
๓. กรรมชั่วและกรรมดี ๒๕. สายเกินไป
๔. ผลของกรรม ๒๖. ดวงจะช่วยอะไรได้
๕. วิบัติและสมบัติ ๒๗. พลั้งปากเสียเงิน
๖. กรรม ๑๒ ๒๘. เสียสัตย์เสียชีพ
๗. มรณสมัย ๒๙. ปากมีสี
๘. นรกสวรรค์ ๓ ประเภท ๓๐. บทเรียนจากชีวิตเพื่อน
๙. ภูมิ ๓๑ ๓๑. คบคนชั่วปราชัย
๑๐. หลักฐานเรื่องนรกสวรรค์จากพระไตรปิฎก ๓๒. อานิสงส์เมตตา
๑๑. เหตุการณ์ปัจจุบันที่พิสูจน์ว่าตายแล้วเกิด ๓๓. พ้นเพราะบุญ
๑๒. ผู้เห็นผิด ๓๔. มาร้ายไปดี
๑๓. ที่ลับไม่มีในโลก ๓๕. ผู้โชคดี
๑๔. หนีไม่พ้น ๓๖. อานิสงส์ศีล
๑๕. หลาวนั้นคืนสนอง ๓๗. ทรชนคนบาป
๑๖. กรรมที่ตามราวีท่านนายพล ๓๘. ปลาเป็นเหต
๑๗. นกก็มีหัวใจ ๓๙. บุญมาวาสนาช่วย
๑๘. คู่เวร ๔๐. เข็ดจริงๆ
๑๙. ธุลีทวนลม ๔๑. บั้นปลายของวายร้าย
๒๐. มนุษย์เปรต ๔๒. นานาทัศนะจากผู้อ่าน
๒๑. ห่วงหนี้ ดาวน์โหลด หนังสือเล่มนี้
   
   
 
 
 
 
 
 
 
  หน้าหลัก l หนังสือธรรมะ l เสียงสวดมนต์ mp3 l เสียงธรรม mp3 l บทสวดมนต์ l สมาธิ l รูปภาพ
ดาวน์โหลด e-book l ห้องสวดมนต์ออนไลน์  l กระดานสนทนา l ห้องสนทนา chat  l สมุดเยี่ยม lรวมเว็บ
 
จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
ขึ้นบน