
แนะแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา
โดย อาจารย์แนบ มหานีรานนท์
วันนี้ดิฉันได้มีโอกาสมาพูดเรื่องการปฏิบัติ เพื่อเป็นการแนะแนวทางการปฏิบัติ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่บางท่านอาจจะเคยปฏิบัติมาบ้างแล้ว หรือบางท่านที่ไม่เคยได้ปฏิบัติที่ไหนมาก่อนเลย ดิฉันขอถือว่าเป็นผู้มาปฏิบัติใหม่ด้วยกันทั้งนั้นนะคะ
ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนาสักเล็กน้อยนะคะว่า "พระพุทธศาสนาที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านี่น่ะ เกิดขึ้นด้วยปัญญาของพระองค์ เพราะว่าคำสอนทุกบททุกตอนนั้นล้วนแต่สอนให้ละกิเลสทั้งสิ้น" ทีนี้เราที่นับถือพระพุทธศาสนากันอยู่นี่น่ะ จะช่วยกันทำนุบำรุงพุทธศาสนากันได้อย่างไร ? อันนี้ดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนนะคะ เราจะทำอย่างไร ? คำตอบไม่ยากค่ะ ถ้าเรารู้จักธุระในพระพุทธศาสนา
ธุระในพระพุทธศาสนา
ธุระในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ อย่าง คือ คันถธุระ เล่าเรียนศึกษา และวิปัสสนาธุระ ฝึกขัดเกลากิเลสให้จิตใจเข้าถึงความบริสุทธิ์ มีอยู่ ๒ อย่างนี้เท่านั้น ถ้าหากว่ากิจทั้งสองอย่างนี้ยังบริบูรณ์และแพร่หลาย ก็หมายความว่า พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่หรือเจริญมากขึ้น เพราะมีคนเข้าใจมากขึ้น คนรู้มากขึ้น
ธุระทั้ง ๒ อย่างนี้จะมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ การศึกษาเล่าเรียนเพียงอย่างเดียว ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าถึงคำสอนของท่านโดยแท้จริงได้ การปฏิบัติเพียงอย่างเดียว ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนก็อาจจะทำไม่ถูก เมื่อทำไม่ถูก ก็ไม่สามารถจะไปถึงคำสอนของพระบรมศาสดาโดยเหตุผลที่แท้จริงได้
ความเสื่อมแห่งพระศาสนา
เวลานี้ธุระในพุทธศาสนาทั้ง ๒ นี้เสื่อมไป เสื่อมไปมากทีเดียว คันถธุระมีอยู่จริง การเล่าเรียนศึกษามีมากจริง แต่ว่าการเล่าเรียนส่วนมากไม่ได้ตรงตามพระพุทธประสงค์เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส แต่เพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข วัตถุประสงค์ของพระบรมศาสดานั้น เมื่อได้เล่าเรียนจนเข้าใจแล้วจะได้ทำงานเช่นเดียวกับวิชาการทางโลก เมื่อเล่าเรียนจบการศึกษาแล้วก็จะต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานเลย การศึกษาเล่าเรียนก็ไม่เกิดประโยชน์ วิชชานั้นจะเกิดประโยชน์อยู่ที่จรณะ คือการงาน ทำการงานแล้วเกิดผลของงานจึงจะเป็นประโยชน์
การแตกธรรมสามัคคีระหว่างคนปฏิบัติและผู้ที่ใฝ่ใจในการเรียน ก็เป็นเหตุแห่งความเสื่อม ต่างฝ่ายต่างติ พวกปริยัติก็ติคนปฏิบัติว่าไม่เข้าใจ นั่งหลับหูหลับตาอยู่ในป่าในดงไม่รู้เรื่องรู้ราว คนปฏิบัติก็ติว่าพวกปริยัติไม่เคยปฏิบัติอะไรเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคยเห็นไม่เคยพบ ดีแต่ตำรา เมื่อแตกสามัคคีก็ต้องมีแต่ความวิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย เวลานี้เสื่อมมากทีเดียว การเล่าเรียนก็ไม่เข้าใจ อย่าคิดว่าเรียนแล้วจะเข้าใจ การปฏิบัติก็มีน้อย แบบอย่างต่างๆ วิธีต่างๆ ตำราต่างๆ ในพระพุทธศาสนาว่าด้วยการปฏิบัติก็มีมากมาย จนกระทั่งคนปฏิบัติไม่รู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด นี่ก็แสดงว่าเสื่อมแล้ว
อุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ที่จะปฏิบัติ
สำหรับผู้ที่อยากจะมาปฏิบัติ อยากจะรู้ธรรม หรืออยากจะหมดกิเลส ก็หาได้ จากตามความรู้สึกแล้วฆราวาสมากกว่าพระ คนที่จะมาเข้ากรรมฐานนี้สังเกตดูได้ทุกแห่งฆราวาสมีตั้ง ๑๐ ตั้ง ๒๐ บางทีพระมี ๒ องค์ ๓ องค์ ดูทีนี่เป็นตัวอย่างมีเท่าไร ฆราวาสนั้นไหนเขาจะห่วงบ้าน ห่วงลูก ห่วงเมีย ห่วงการทำมาหากิน ทุกอย่างเป็นภาระมากของฆราวาสเหลือเกิน แต่ก็อุตส่าห์ปลีกมาได้
คนที่จะมาได้เขาก็สามารถที่จะมาได้ ไม่มีอุปสรรค เอาละจะมา ๗ วัน ๑๕ วัน หรือเดือนหนึ่งก็ไม่ว่า ไม่ใช่ของง่ายเลยสำหรับการที่จะออกมาได้ บางคนนึกว่าจะออกมา นึกไว้ตั้ง ๓ ปีแต่ก็ไม่ได้ออก อย่างนี้ก็มี แต่ก็ยังดีที่นึกว่าจะออกมาปฏิบัติสัก ๑๐ วัน ๑๕ วัน ก็แล้วแต่โอกาสที่กิเลสเขาจะอนุญาตให้ แปลว่า ต้องลากิเลสมาจึงจะมาเข้ากรรมฐานได้ ถ้ากิเลสไม่อนุญาตแล้วมาไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นทาสของกิเลสอยู่ กิเลสเป็นตัวขัดขวางไว้ต่างๆ ท่านที่มาได้นี้ก็แสดงว่ากิเลสเขาให้มา ก็แล้วแต่กิเลสเขาจะให้มากี่วัน บางคนกิเลสเขาให้ลาสัก ๑๕ วัน อยู่ไม่ถึง ๑๐ วัน ได้ ๗ วัน อยู่ไม่ได้เสียแล้วต้องไปแล้ว อย่างนี้ก็มี