เว็บบอร์ด สนทนาธรรม สอบถามห้องแชดสนทนาธรรมสมุดเยี่ยม ฝากข้อความ ติชมรวมเว็บพระพุทธศาสนารวมรูปภาพ พุทธศิลป์ พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระสงฆ์
  ตั้งเป็นหน้าแรก   เก็บเข้า Favorites   สั่งพิมพ์   แจ้งปัญหา
   
 
 
 
สารบัญหลัก
  หน้าหลัก
  หนังสือธรรมะ
  บทสวดมนต์
  เสียงธรรม mp3
  เสียงสวดมนต์ mp3
  ห้องสวดมนต์ออนไลน์
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  วัดป่า-พระป่า
  วันสำคัญทางศาสนา
  ดาวน์โหลด e-book
  คำสอนจากครูบาอาจารย์
  บทความ..ธรรมจักร
  รูปภาพ
  กระดานสนทนา
  ห้องสนทนา
  สมุดเยี่ยม
  รวมเว็บ
  ติดต่อทีมงาน
ขึ้นบน
 
เว็บบอร์ด
  สนทนาธรรม
  ข่าวกิจกรรม
  สติปัฏฐาน
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  นิทานธรรมะ
  หนังสือธรรมะ
  บทความธรรมะ
  กวีธรรม
  นานาสาระ
  วิทยุธรรมะ
  สถานที่ปฏิบัติธรรม
  เสียงธรรมออนไลน์
  เสียงสวดมนต์ออนไลน์
  พระพุทธเจ้า
  ประวัติอสีติมหาสาวก
  ประวัติเอตทัคคะ
  ประวัติครูบาอาจารย์
 
 
^-^ มาฝึกสมาธิกันดีกว่า ^-^
 
@ อยากรู้  ประวัติศาสตร์ วงล้อมธรรมจักร ลัญลักษณ์ของพุทธศาสนา  คลิกอ่าน @
 
รวมเว็บพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
 
คำสอนของครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์,หลวงพ่อชา,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อจรัญ,พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นต้น
 
อัลบั้มภาพพระพุทธศาสนา
 
เรือนธรรม - บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ
 
ขอเชิญเข้ามาร่วมสนทนาธรรมด้วยกันครับ
 
ดูซิ ! ว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
 
ฝากข้อความติชมของท่านได้ที่นี่ครับ
 
 
 
 
   ธรรมจักร   ท่าน ก.เขาสวนหลวง ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ  
 

ปรารภธรรม โดย ท่าน ก. เขาสวนหลวง

"ปิดประตูดูข้างใน"
๒๒ กันยายน ๒๕๑๕

            วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย ในเรื่องปรารภข้อปฏิบัติที่จะต้องปรึกษาหารือกัน เพราะว่าในชีวิตประจำวันต่างคนต่างก็ต้องการความสงบ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรรบกวน จิตนี้มันจะมีความทรงตัวได้ เมื่อมีความทรงตัวได้โดยปกติมากๆ ทีนี้ถ้าจะมีการพิจารณาอะไรมันก็รู้เรื่องได้ง่าย เพราะมีสติควบคุมจิตไว้ให้ปกติอยู่เสมอ จึงทำให้จิตไม่แส่ส่ายไปปรุงไปคิดนอกเรื่องนอกราวอะไร มันจะหยุดหรือสงบได้ด้วยตนเอง ฉะนั้นเรื่องการทำสติให้ติดต่อนี้เป็นของสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีการปรุงการคิดอะไรวุ่นวายแล้วทุกข์โทษมันก็ไม่เกิด ดังนั้นจะต้องมีการควบคุมเอาไว้ให้ได้ แล้วก็คอยดูว่าทุกข์โทษอะไร มันจะเกิดขึ้นมาในระยะแรกอย่างไร ก็เป็นการดับได้ง่าย เพราะว่ามันไม่ไปยึดถือจับเป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา พอเกิดอะไรขึ้นมาเมื่อรู้แล้วมันก็ดับ มันก็หายไป ดังนั้นจะต้องพิจารณาให้รู้แยบคายเข้าไปอีก เพราะความเป็นปกติในเรื่องที่จะดับทุกข์โทษที่มันไม่ก่อเรื่องก่อราวให้เร่าร้อนนี่ มันก็อยู่ขั้นหนึ่ง ทีนี้ขั้นที่จะต้องมองเข้าไปให้ซึ้งนี้ มันเป็นของสำคัญที่สุด แม้ว่าจิตนี้จะมีการทรงตัวได้ปกติเป็นพื้นอยู่แล้วก็ตาม แต่ในส่วนลึกของจิตนี้มันยังมีโมหะครอบงำอยู่ คือว่ามันยังไม่รู้จริงเห็นแจ้งอะไรขึ้นมา เป็นแต่ทรงตัวได้เท่านั้นเอง

            ฉะนั้นจะต้องมีการพินิจพิจารณาให้รู้แยบคายเข้าไป ในขณะที่มันรู้สึกต่ออารมณ์อะไรทั้งภายนอกภายใน และจะต้องคอยพินิจพิจารณาดูให้ดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีการเกิด-ดับ เกิด-ดับตามธรรมชาติของมัน แล้วก็อย่าไปหมายเป็นดีเป็นชั่วเป็นตัวเป็นตนอะไรขึ้นมา มันก็ไม่มีเรื่องอะไร แต่ให้ดูความจริงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพียงเท่านี้ก็ยังดับทุกข์ดับโทษได้มากมายเหมือนกัน ทั้งนี้จะต้องพยายามพินิจพิจารณาเข้าไปอีก รู้เข้าไปอีก ค้นเข้าไปอีก เพราะว่าความรู้สึกที่มันอยู่ภายในนี่มันซ่อนเร้นอยู่มาก เมื่อกระทบผัสสะอะไรถ้าไม่เกี่ยวข้องกับตัวมัน มันก็ยังสงบเฉยได้ แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวมันขึ้นมาแล้วนั่นแหละมันจะไหวตัวออกมา มันจะมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาที่เป็นการปรุงแต่ง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาได้โดยง่ายเหมือนกัน ฉะนั้นจะต้องมีการควบคุมและสังวรระวังเอาไว้ ไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆ เท่านั้น

            เพราะว่าเรื่องจิตนี้มันมีมายามาก แม้ว่ามันจะสงบจากเรื่องราวภายนอกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นของชั่วคราว มันยังมีเรื่องที่จะยึดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวของมันเองอีก แล้วยังมีเรื่องที่จะออกไปยึดมั่นถือมั่นในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็มี ฉะนั้นยังไว้ใจมันไม่ได้ จะต้องพยายามควบคุมและพิจารณาอยู่เรื่อยทีเดียว เผลอไม่ได้เหมือนกัน อย่าไปนึกว่าเฉยๆ ว่างๆ อย่างนี้ เพียงเท่านี้จะเป็นการพ้นทุกข์ได้แล้วหรือ นี่มันยังมีการอมเชื้ออมโรคอยู่ จะต้องรอบรู้อย่างไร? และมันยังเพลินยังเผลออยู่ในลักษณะอย่างไร? หรือมันจับเอาเรื่องราวอะไรในอดีตอนาคต มาคิดนึกปรุงแต่งไปกับเรื่องอะไร? สิ่งอะไรบ้าง? นี่ล้วนแต่เป็นเครื่องรู้ได้ว่าจิตนี้ยังมีอาสวกิเลสอยู่ จะต้องพิจารณาให้รู้แยบคาย เพื่อให้เป็นการถ่ายถอนเรื่องไปทีเดียว ถ้ามันจะมีการรู้จริงเห็นแจ้งอะไรขึ้นมาในลักษณะหนึ่งลักษณะใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะว่ามันยังมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก ควรจะต้องรอบรู้ดูไปอีก

            เรื่องการควบคุมจิต หรือการรอบรู้อยู่ในจิตใจ เป็นงานละเอียด เพราะถ้ามันไม่ออกไปหยิบฉวยเรื่องงานภายนอกแล้ว มันก็ดูได้ซึ้ง แต่ถ้ามันไปเอาเรื่องราวภายนอกเข้ามาแล้ว มันก็ดูอะไรไม่ลึกซึ้งนั่นเอง เพราะภายในตัวของมันเองนี้ มันก็ยังมีเรื่องจำเรื่องคิดอะไรที่จะเกิดขึ้นในขณะไหนก็ได้ ถ้าไม่มีความรอบรู้แล้ว มันจะมีเรื่องปรุงแต่ง ในทำนองที่มันเคยรู้เคยเห็นมา ถ้ามันยังมีการเผลอเพลินไปหยิบฉวยเอาอารมณ์อะไรขึ้นมาอีก เพราะความมีมายาสาไถยของจิตนี้มากมายหลายชนิดนัก จะต้องควบคุมพิจารณาให้รอบคอบอยู่เสมอ เนื่องจากมันคอยหาเรื่องที่จะยึดมั่นถือมั่นอยู่ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดทุกข์เกิดโทษเร่าร้อนอย่างรุนแรงก็ตาม แต่มันก็มีลักษณะที่เน่าในเปียกแฉะ เน่าในเปียกแฉะอยู่ภายใน เพราะอำนาจของอวิชชาตัณหา ที่เป็นอนุสัยสำคัญในด้านลึกนี้ ถ้าตรวจมันไม่ละเอียดแล้ว ก็เท่ากับไปกลบเกลื่อนเอาไว้ แล้วก็เชือนแชแก้ไขไปต่างๆ นานา ซึ่งก็นึกว่าดีแล้ว พ้นแล้ว ที่แท้มันก็ยังเน่าในเปียกแฉะโดยที่ไม่รู้สึกตัว เพราะเหตุนั้นความกลัวต่อทุกข์โทษของกิเลสมันกลัวแต่เรื่องหยาบ ส่วนเน่าในเปียกแฉะนี้มันยังไม่รู้สึกกลัว เพราะว่ามันยังเพลินอยู่แล้วก็นึกว่ามันดีหรือบริสุทธิ์แล้วพ้นแล้ว นี่มันหลอกตัวเอง

            เฉพาะเรื่องหลอกตัวเองนี่สำคัญที่สุด เพราะมันหลอกซึ่งหน้า ในขณะที่มันรู้ดี รู้ถูกนี่เอง มันก็ถูกกิเลสนั่นแหละมาตบมาตีเอา ชนิดที่ไม่เร่าร้อน แต่มันก็เศร้าหมองขุ่นมัวไป บางทีมันก็ไม่รู้อะไรเป็นอะไรทุกขณะก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นเรื่องอาสวกิเลสนี่มันเป็นของละเอียดลึกซึ้งนัก คนสติปัญญาหยาบก็จะไม่รู้เรื่อง ก็จะนึกว่าตัวดีแล้วถูกแล้ว ราวกับจะเป็นพระอรหันต์เอาเสียเอง ฉะนั้นเรื่องการมองการพิจารณาการควบคุมจิตใจนี่ ควรต้องใช้สติปัญญาให้สุขุมลุ่มลึกเพื่อให้รู้แยบคาย แล้วก็จะต้องพิจารณาสอดส่องเข้าไปในส่วนลึก เพื่อจับความเป็นมายาของตัวตนให้ได้ โดยต้องจับความเป็นมายาของความรู้ ซึ่งมีอยู่หลายแง่หลายมุมภายในตัวเองนี้ ที่มันยังมีการสับปลับกลับกลอกหลอกหลอนอยู่กี่ชั้น ซึ่งจะต้องตรวจดูให้รู้ เพราะว่ารู้ รู้อย่างนี้ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงเกิดดับไป ส่วนปรากฏการณ์ของความทุกข์ชนิดที่ไม่ได้ถูกอะไรมาตบมาตี ที่เป็นเรื่องของผัสสะภายนอก แต่ว่ามันทุกข์อยู่ในตัวของมันเอง โดยทุกข์อยู่ตามธรรมชาติ ทีนี้เมื่อมันมีการยึดถือขึ้นมาในลักษณะอย่างไร จะต้องอ่านให้รู้ว่า นี่เป็นทุกข์ของธรรมชาติไม่ใช่เป็นทุกข์ของเรา ไม่ใช่เป็นตัวของเรา แต่การมองอย่างนี้ก็เป็นของละเอียด เพราะว่ามันจะเอื้อมเอาเป็นความรู้สึกที่เป็นความยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของของเราอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะมีปรากฏการณ์ในทางสัมผัสภายนอกก็ตาม หรือความรู้สึกในด้านจิตใจล้วนๆ ก็ตาม ความเอื้อมเอาภายในตัวของมันเองนี้ มันจะต้องเกิดขึ้น ถ้าว่ารู้เท่าทันมันก็ดับได้ ระงับได้ เฉยได้ แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันมัน ก็ชักใยพันตัวเองให้ยุ่งเหยิงไปต่างๆ แม้ว่าจะแก้ไขอย่างไรมันก็ต้องจนปัญญา เพราะฉะนั้นจะต้องมีความรอบรู้ให้ถูกต้องว่าอาสวกิเลสภายในสันดานนี้ ไม่ใช่จะรู้เห็นได้ง่ายๆ เลย ส่วนหยาบก็รู้ได้ง่าย แต่ว่าส่วนกลางนี้รู้ยาก เพราะมันคอยแต่ละเมอเพ้อไปตามอารมณ์ ตามผัสสะ แม้จะมีการควบคุมก็ควบคุมอยู่ขั้นนอกๆ แล้วขั้นนอกนี้ก็ยังปิดไม่อยู่ มันก็ยังเปิดประตูรับแขกอยู่ทุกขณะ

            ดังนั้นเรื่องปิดประตูดูข้างในมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะมันดิ้นรนกระวนกระวาย และอยากจะรู้อยากจะฟังเสียงที่เป็นของแสลง ซึ่งมันก็ชอบ ส่วนเสียงที่มาสัมผัสเพื่อให้เกิดความรู้สึกด้วยสติปัญญานั้น มันไม่ค่อยจะรู้แยบคายอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องการฟังก็ดี การอ่านก็ดี มันไม่ค่อยจะรู้เรื่องก็เพราะเหตุนี้เอง เพราะว่ามันไม่ได้เอาเรื่องจริงมาคิดพิจารณา มันชอบไปเอาเรื่องหลอกๆ ลวงๆ เรื่องหลงๆ บ้าๆ บอๆ ที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวนั่นแหละ กลับไปจำเอามาคิดเก่งนัก แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นไปทีเดียว เหตุนี้มันจึงทุกข์แล้วทุกข์อีกโดยที่ไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไม่รู้สึกกลัวทุกข์โทษที่กำลังเกิดอยู่ภายในด้วย มันกลับไปกลัวแต่เรื่องข้างนอก แล้วก็ถูกหลอกถูกลวงอยู่ในตัวเองนี้สลับซับซ้อนนัก เพราะเหตุนี้การที่จะมุ่งมองเข้าไปในส่วนลึกของสันดานนี้ มันมองเข้าไปไม่ถึง มันรู้เข้าไปไม่ซึ้ง เพราะว่าพวกนี้มันคอยกั้นเสียหมด เพราะอารมณ์ทั้งหลายมันคอยหลอกคอยกั้น มันคอยจำคอยคิด คอยปิดคอยบังอยู่เรื่อย ถ้าไม่มีความพยายามจริงๆ แล้ว ชีวิตของการที่จะหลุดรอดออกไปจากสังสารวัฏหรือจากทุกข์นี่ ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย

            เพราะว่ามันถูกกิเลสตัณหา มาคอยยั่วคอยแหย่คอยส่ายไปทั้งนั้น ถ้าไม่ค่อยพินิจพิจารณาปรับปรุงให้รู้เรื่องของภายในแล้ว เป็นของยากมาก แม้จะมีการอ่านการฟังก็ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ว่าสติปัญญาของตัวเองนี้ มันยังไม่รู้ว่าจะต้องเจาะแทงเข้าไปอย่างไร ต้องรอบรู้เข้าไปอย่างไร ฉะนั้นจึงต้องพูดหรือปรับปรุงกัน ก็เพราะมีความประสงค์ที่จะให้มีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้แยบคาย ซึ่งเป็นการถ่ายถอนตัวเองให้ได้แง่ โดยให้รู้เรื่องจริงของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันมาเพลินๆ เผลอๆ ไปทั้งนั้น แต่ก็ตกหล่มจมเหวอยู่นี่เอง แล้วก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาได้ง่ายๆ เลย

            แม้แต่เวลาอ่านหรือฟังก็ตาม ที่จะเกิดสติปัญญาอะไรเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็น มันก็ยังไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะว่าได้ปล่อยสติให้เพลิดเพลินไป โดยไม่รับรู้หรือว่ามันนิ่งเฉยเสีย โดยไม่รู้ว่าความลึกซึ้งของความรู้สึกที่เป็นสติปัญญานั้น มันจะต้องทำหน้าที่รู้แจ้งแทงตลอดอย่างไร นี่เป็นของสำคัญ เพราะว่าการปล่อยให้ผ่านไปๆ นี้ มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มันก็เกิดดับ เกิดดับ เรื่อยไป ส่วนการที่จะรู้แจ้งแทงตลอดนี้มันยังไม่คม มันยังไม่รู้ว่าจะรู้แจ้งแทงตลอดอย่างไร เรื่องนี้จะต้องรอบรู้ของตัวเองให้ได้ เพราะผัสสะทุกชนิดมันเป็นเครื่องให้สอบ เป็นเครื่องให้รู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทีปรากฏอยู่ทุกขณะนี้มันเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มันมีตัวหรือไม่มีตัวกันแน่ แล้วที่มันหลงยึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นดีเป็นชั่วอยู่นี่ มันหลอกหลอนอยู่ต่อหน้าต่อตา โดยที่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นมายาหลอกลวง ทั้งในเวลาหลับหรือเวลาตื่นก็ตาม มันถูกอารมณ์ของความจำความคิดหลอกอยู่เรื่อย ประเดี๋ยวก็จำดีประเดี๋ยวก็จำชั่ว แล้วก็มายั่วมาแหย่ให้หลงเพลิดเพลินออกไป และการที่จะรอบรู้เท่าทันอย่างนี้มันก็ยังมีน้อย

            อนึ่งหลักของสติ ที่จะต้องตั้งเป็นนายประตูอยู่นั้น มันยังไม่ได้อารักขาทวารทั้งหมดไว้ มันยังมีการเผลอเพลินอยู่ ดังนั้นการที่จะปิดประตูดูข้างในนี้ มันจึงเป็นของไม่ใช่ง่ายเลย แต่ก็ต้องพยายามอยู่นั่นเอง ถ้าไม่พยายามแล้วมันมีทุกข์โทษนานัปการทีเดียว หากว่าไม่ใช่อย่างหยาบก็ต้องอย่างกลางหรืออย่างละเอียดที่จะต้องมีอยู่ภายในสันดานทั้งนั้น แต่จะรู้สึกตัวหรือไม่เท่านั้น ถ้ารู้มันก็ยังจะเจาะแทงทำลายเข้าไปได้ค้นคว้าเข้าไปได้ ถ้ายังไม่รู้แล้วมันก็มาเล่นอยู่กับข้างนอกนี่เอง มันเล่นอยู่กับความปรุงความคิดอะไร ที่เป็นของเกิดๆ ดับๆ แล้วก็จับยากระงับยากด้วย เพราะมันคอยแต่จะจำ จะปรุงจะคิดอยู่เรื่อย

            การที่จะหยุดดู หยุดรู้ให้มันได้ความจริงนั้น มันจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกสติให้มากๆ ให้มีความรู้สึกอยู่ทุกอิริยาบถ ส่วนการที่จะรอบรู้อยู่ในตัวของตัวเองนี้ แม้ว่าเราจะไม่มีเรื่องมีราวอะไรไปจัดไปทำภายนอกก็ตาม แต่ว่าเรื่องที่จะรู้เข้าไปในตัวของตัวเองนี้ มันช่างตันเสียจริงๆ เพราะว่ามันยังมองเข้าไปไม่ถึง มันมาติดอยู่ข้างหน้านี่เอง ถึงข้างหน้านี่มันจะหยุดปรุงหยุดคิดอะไรไปบ้าง แต่มันก็ยังเพลินอยู่ จึงตองพยายามเพียรพิจารณารอบรู้อยู่เสมอทีเดียว อย่าให้ขาดระยะได้อย่าให้เพลินไปทางผัสสะหรือเวทนาได้ แล้วมันจะเป็นการตัดกระแสของความหลั่งไหลไปสู่อารมณ์ได้ เรื่องการดำรงสติให้เป็นของมั่นคงอยู่ทุกอิริยาบถนี้ จำเป็นจะต้องให้เวลาฝึกกันนานๆ แล้วก็ต้องพยายามอยู่เรื่อย ถ้ามิฉะนั้นแล้วมันก็จะมีการเผลอเพลินอยู่ในทวารต่างๆ คือ ทางตา ทางหู เหล่านี้มันก็ยังไวอยู่ มันยังอยากมองอยากฟังเรื่อยราวข้างนอกอยู่ทั้งนั้น ฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณากวาดทิ้งปล่อยวางมันเรื่อยไม่ต้องไปเอาเรื่อง ไม่ว่าเรื่องร้ายเรื่องดีหรือชั่วทั้งหมดนี้ เพราะว่ามันไม่เที่ยง จะไปยึดถืออะไรขึ้นมาก็ไม่ได้ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่มันก็แสดงให้เห็นอยู่ชัดเจนแล้ว ด้วยความโง่ที่มันไม่รู้เรื่องนี่เอง มันจึงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเสียหมด ถ้ามันรู้ด้วยสติปัญญาแล้ว มันไม่น่าเอาน่าเป็นกับอะไรเลยสักอย่างเดียว ถึงแม้ว่ามันจะเอาไปให้ใคร มันจะเป็นไปได้ถึงไหน แล้วนี่มันก็มีเรื่องที่จะรู้อยู่ในตัวของตัวเองแล้วว่ามันไม่เที่ยง ที่มันเป็นตัวเราของเราเต้นๆ รำๆ อยู่นี่ มันยังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นเอง แล้วนี่มันหลงบ้าๆ บอๆ อยู่เท่าไร

            ทีนี้มันเรื่องให้หยุด หยุดเต้น หยุดรำ หยุดเอา หยุดอยาก หยุดอะไรสารพัดอย่าง เพราะถ้ามัน รวมจุดมาหยุดดูหยุดรู้ได้แล้ว มันก็ ไม่บ้าไม่หลง มันเป็นการสงบได้ ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรขึ้นมามันก็รู้จักปล่อยวางว่างไป คือว่าไม่เอาเรื่อง ขืนเอาก็ไม่ไหวแล้ว เพราะวันเวลาที่ล่วงไปๆ รูปนามนี่มันจะแตกดับไปเมื่อไรก็ไม่รู้แล้วจะมาเพ่งเล็งเอาอะไร จะมายึดถืออยู่ทำไม นี่มันต้องซักฟอกตัวเอง ไม่ใช่อยู่เพลินๆ หรือว่าเอาสบายขั้นนั้นขั้นนี้อะไรเลย มันต้องรู้อยู่ว่ามันทุกข์มันไม่เที่ยง แล้วมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นจะต้องพินิจพิจารณาให้รอบคอบรอบรู้อยู่ในตัวทั้งหมด จนกระทั่งมันเห็นความจริงว่าว่างไปทั้งหมด และไม่มีการเพลิน ไม่มีการยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของของเรา ให้มันเป็นความรู้สึกด้วยสติปัญญาแท้ จึงจะเป็นการดับทุกข์ดับโทษภายในได้เรื่อยไป แม้จะก่อเรื่องก่อราวอะไรขึ้นมามันก็ปล่อยวางได้ โดยไม่ไปยึดมั่นถือมั่นให้เกิดทุกข์เดือดร้อนเหมือนแต่ก่อน มันผ่อนหนักให้เป็นเบาไปเรื่อยๆ ว่างไปเรื่อยๆ ดังนั้นหนทางของการปฏิบัติธรรมมันต้องไม่เอาเรื่องอื่น แต่ในชีวิตที่ได้ผ่านด้านการปฏิบัติธรรมนี้ มันก็เหมือนกับการขึ้นบันไดที่จะต้องก้าวขึ้นไปทีละขั้น จนกระทั่งถึงที่สุด ส่วนจิตนี้เมื่อยังมีอาสวกิเลสอยู่ แต่ว่ามันได้มีโอกาสที่จะซักฟอกให้เบาบางจางคลายไปได้เหมือนกัน ทั้งนี้มันก็เป็นความรู้สึกของตัวเอง ชนิดที่อย่าเข้ากับตัวเองก็แล้วกัน ถึงแม้มันจะว่างมันจะเบาเท่าไร ก็ต้องมองให้มันซึ้งเข้าไปอีก เพราะว่ามันยังมีเชื้ออาสวกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นต้องดูมันให้เห็นให้รู้บัดแจ้ขึ้นมาให้ได้ เพื่อเป็นการซักฟอกสันดานหรือจิตใจของเราเอง เพราะว่าคนอื่นเขามาฟอกให้ไม่ได้เขามารู้ให้ไม่ได้ มันเป็นของปัจจัตตังอย่างนี้ จึงต้องใช้สติปัญญาให้ละเอียด อย่าไปกรองเพียงแต่ขั้นหยาบๆ เลย มันจะไม่พ้นทุกข์ ถ้าได้พยายามตรึกตรองโดยความละเอียดรอบคอบ ให้เป็นการรู้เห็นแจ้งแทงตลอดเข้าไปในสันดานแล้ว มันก็กวาดล้างอะไรออกไปได้ แม้จะเป็นบางขณะก็ยังดีกว่าไม่รู้เสียเลย เพราะว่ายังถูกอวิชชาโมหะปกคลุมครอบงำอยู่ในสันดาน มันไม่ใช่จะแหวกช่องไปได้ง่ายๆ นัก ถ้ามันมีความรู้แจ้งอะไรขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็เหมือนกับจอกแหนที่มันปิดน้ำอยู่ในสระ เราเอามือไปแกว่งเลิกแหนออกก็เห็นน้ำใสๆ แต่พอยกมือขึ้นจอกหรือแหนมันก็ปิดน้ำใสหมด

            เพราะฉะนั้นความรู้แจ้งเห็นจริงที่มันเกิดขึ้นได้ในขณะจิต แต่ว่ามันชั่วขณะเท่านั้น นั่นเรียกว่าเป็นตทังควิมุติ แต่ครั้นแล้วโมหะนี่มันก็เข้ามาคลุม ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปอีก เพราะฉะนั้นพื้นลึกของสันดานที่มองยังไม่เห็นก็เพราะเหตุนี้ แต่ก็ต้องพยายามมองเข้าไป รู้เข้าไปให้ได้ เป็นการทำลายเข้าไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยก็ยังนับว่ามีประโยชน์ และไม่เพลินไม่เผลออยู่ในขั้นนอกๆ มันต้องรู้เข้าไปข้างในอีก มันได้ตรวจเชื้อโรคที่ละเอียดเข้าไปอีก เพราะถ้าตัวเองไม่ได้ใช้สติปัญญาให้ละเอียดแล้ว ใครจะมาตรวจให้ได้ ใครมาชำระโทษให้ได้ ก็ตัวเองนี่แหละจะต้องรู้ ถ้าไม่รู้แล้วมันก็ปกปิดเอาไว้ แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นผู้รู้แล้ว ทำให้มีความประมาทไป แม้แต่ขั้นของพระอรหันต์ที่ท่านหมดอาสวกิเลสแล้ว ก็ยังจะต้องรับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย แล้วก็นับประสาอะไรกับพวกสามัญชนอย่างนี้ มันจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่ได้รับคำสอน

            เพราะฉะนั้นเรื่องการเข้าใจเอาเอง จึงเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง มันหลายชั้นหลายชนิดนัก แม้แต่เพียงการรับฟัง มันก็ยังไม่ค่อยจะรับรู้ได้ง่ายๆ เลย และที่มันจะไปรู้ตัวของมันเองได้ก็จะต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาแหลมคมจริงๆ จึงจะเข้าใจเจาะแทงเข้าไปได้ ถ้าอยู่อย่างธรรมดาแล้วมันเฉยเมยอยู่นั่นเอง มันเพลิน แล้วก็นึกว่ามันพ้นทุกข์แล้ว มันไม่มีทุกข์แล้ว นี่เป็นความหลอกลวงของความรู้สึกนึกคิด ชนิดที่มันยังมีโมหะอวิชชาปกปิดสันดานอยู่ มันเป็นของรู้ยาก ฉะนั้นอย่าได้มีความประมาทเพลิดเพลินเลย ต้องพยายามมองให้ซึ้งเข้าไปให้ได้ จะได้เจาะแทงทำลายโมหะคือ ความมืดที่มันปิดบังอยู่ข้างใน แล้วจะต้องพยายามมองด้วยสายตาของสติปัญญา จะไม่ให้มันมีการเผลอเพลินไปกับอารมณ์ภายนอกได้ หรือว่าภายในที่มันจะเป็นความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมาก็จะต้องรู้ว่านี่มันเป็นมายา ทั้งขณะที่นอนแล้วฝันก็เป็นมายา และขณะที่ลืมตาอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นมายา นี่ต้องดูมันหลายๆ ชั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันถูกหลอกแย่อยู่นี่เอง แล้วก็ไม่รู้เรื่อง ก็ยังอวดดีว่ารู้แล้วรู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้สารพัดที่จะรู้ไป เฉพาะคนโง่ๆ นี่มันนึกว่าตัวรู้ตัวฉลาด แต่สำหรับคนรู้คนฉลาดจริงๆ นะ ท่านบอกว่ายัง เพราะมันยังไม่ได้รู้จริงเห็นแจ้งแทงตลอดเข้าไป แล้วอาสวกิเลสมันกิเลสมันก็มาเผาเอาโครมๆ มันก็ว่ามันดีแล้วมันรู้แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่าไรๆ มันอ่านหมดแล้ว นี่มันโง่ดักดาน ฉะนั้นระวังให้ดี การอ่านการฟังก็ดีควรจะต้องเอามาสอบสอนอยู่ในจิตในใจเสมอทีเดียว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่รู้เรื่อง เพราะการที่จะรู้ด้วยสติปัญญาของตัวเองมันรู้ยาก เพราะเครื่องปกปิดมันมาก ทีนี้จะต้องอาศัยคำสอนที่เป็นเครื่องเตือนที่ทำให้ความรู้มีการไหวตัวขึ้นมา แล้วจะสลัดทิ้งสิ่งทั้งปวงออกไป มันจึงได้ประโยชน์อย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว ตลอดชีวิตทีเดียวมันจะไม่เห็นแจ้งแทงตลอดปลอดโปร่งเข้าไปได้ มันจะมาติดมาตันแล้วก็เพลินๆ อยู่ พอมีความทุกข์แสบเผ็ดอะไรเข้ามา มันก็จะวุ่นวายไป ถ้าไม่มีมันก็เฉยๆ เมยๆ อยู่ พอมีความทุกข์แสบเผ็ดอะไรเข้ามา มันก็จะวุ่นวายไป ถ้าไม่มีมันก็เฉยๆ เมยๆ อยู่นั่นเอง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่มันถูกปกปิดโดยความมืด แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าถูกอวิชชาตัณหากำบังห่อหุ้มอยู่ภายในเท่าไร แล้วก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ ก็เลยตกหล่มจมเหวอยู่นี่เอง

            เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามมองแล้วมองอีกส่องดูแล้วส่องดูอีก ตรวจแล้วตรวจอีกว่านี้มันมีอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมมันถึงได้มืดมนอยู่ยังไม่รู้อะไร แล้วจะดูมันให้ทั่วถึงได้อย่างไร นี่ล้วนแต่เป็นปัญหาสำคัญของตัวเองด้วยกันทุกคน เพราะถ้าไม่ค้นคว้าให้ทั่วถึงแล้ว ยังหลับหูหลับตาปี๋อยู่นี่เอง แล้วก็ว่ารู้แล้วๆ ความจริงมันยังไม่รู้ ยังหลับหูหลับตาอยู่เป็นส่วนมาก ฉะนั้นจะต้องปลุกให้มีการลืมตาขึ้น ตื่นอยู่ให้ได้ อย่าให้มันหลับ อย่าให้มันเพลิดเพลิน ให้มันเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม ตามแต่จะเป็นการฝึกของตัวเองขึ้นมา อย่าให้มันง่วง อย่าให้มันหดหู่ อย่าให้มันฟุ้งซ่าน แล้วก็พยายามอยู่อย่างนี้ โดยการปลุกให้จิตใจตื่นขึ้นมาพิจารณา ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมเอาไว้ ปล่อยวางเอาไว้ให้ได้ เพราะว่าการรู้ด้วยสติปัญญาแท้นี้มันมีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับไฟฟ้าถูกเพิ่มแรงเทียน ถ้ามันเพิ่มขึ้นมาทีละแรงเทียน แล้วมันจะมีความสว่างขึ้นมาได้ มีความรู้แล้วก็มีการปล่อยวางออกไปได้ ไม่ว่าเรื่องราวอะไรทั้งหมด ดีชั่วถูกผิดหรือสุขทุกข์อะไรก็แล้วแต่ พอมันรู้ว่านี่เป็นเรื่องไม่แน่นอน มันเป็นเรื่องไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา แล้วมันก็เลยปล่อยวางไป เพราะขืนยึดถือขึ้นมามันก็วุ่น มันต้องเลือกเอาข้างว่าง

            เพราะฉะนั้นการเลือกเอาข้างว่างนี่เอง มันเป็นการรู้ด้วยสติปัญญาแท้ทีเดียว ถ้ามีเรื่องราววุ่นวายส่ายแส่เกิดขึ้นเมื่อไร ก็กวาดมันทิ้งเรื่อยไปไม่เอา อย่าให้มันเกิดขึ้น ต้องปล่อยต้องวางต้องกวาดทิ้งไป ถ้ารู้จักกวาดแล้วไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่ถ้าไม่รู้จักกวาดแล้วมันจะเก็บเอามารกอกรกใจง่ายทีเดียว เผลอไม่ได้มันชอบเก็บ เพราะมันเป็นคนโลภมากยังเป็นคนตระหนี่ ความตระหนี่นี่ซิมันชอบ ชอบยึดมั่นถือมั่น มันยังเสียดายนักจะทิ้งไปก็ยังเสียดาย มันจึงได้มีการยึดมั่นถือมั่นอยู่ทั้งนั้น ทีนี้คนที่จะทำลายความตระหนี่ความไม่โลภมากอยากได้ นี่มันกวาดทิ้งได้เรื่อยไป มันจะดีจะชั่วเท่าไรก็ไม่เอา กวาดทิ้งมันดีกว่า เพราะจะได้ตระหนี่จะไปหวงแหนเอาไว้ให้ใคร ใครจะมาเป็นคนรับมรดก ก็พวกนรกนั่นเอง พวกสัตว์นรกนั่นแหละมันจะรับมรดกเอาไป โดยเฉพาะพวกฉลาดนี่ก็กวาดทิ้งหมด ถ่ายทิ้งเสียไม่เอามันไม่ได้ไม่ดีอะไรเลย มันรกอกรกใจเปล่าๆ สู้กวาดทิ้งไม่ได้ กวาดมันเรื่อยไป แล้วมันก็เตียนเรื่อยไปเอง เรื่องกวาดทิ้งนี่สำคัญที่สุด และไม้กวาดนี่ต้องถือไว้เลย ถือเอาไว้เพื่อกวาดทิ้ง ถือติดตัวไว้ก่อน ถ้าไม่ถือเอาไว้ไม่ได้ เหมือนกับความว่าง วางเฉยประเดี๋ยวเถอะไปเอามาแล้ว ไปสอพลอขึ้นมาอีกแล้ว ฉะนั้นจึงต้องคอยกวาดทิ้งเอาไว้เรื่อย

            เรื่องกวาดทิ้งนี้เป็นการเจริญวิปัสสนา การเจริญวิปัสสนาแบบนี้ ไม่ต้องไปนั่งหลับหูหลับตาที่ไหนหรอก ลืมตาทุกอิริยาบถนี่แหละ กวาดทิ้งอยู่ข้างในเรื่อยทีเดียว ทางตา ทางหู รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นี่นะ พิจารณาปล่อยวางอยู่เรื่อยทีเดียว นี่มันพิเศษอย่างนี้ด้ายนะ การเจริญวิปัสสนาชนิดมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ ทั้งที่ตาก็เห็นรูป หูก็ฟังเสียง แต่มันคอยกวาดทิ้งอยู่เรื่อยไม่เอาเรื่อง เพราะไม่เอาเรื่องนี่เองมันก็เลยว่าง ถ้าไปเอาเรื่องแล้วมันวุ่น มันก็สอบได้อยู่ในตัวเองทุกขณะไปทั้งหมดทีเดียว ว่าตาเห็นรูปก็ให้มันว่างเสีย หูฟังเสียงก็ให้มันว่างเสีย หูฟังเสียงก็ให้มันว่างเสีย อย่าไปยึดถือขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเรา เป็นสุขเป็นทุกข์อะไรสารพัดอย่างพิจารณาปล่อยวางมันเรื่อยไปทีเดียว เรื่องการมีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาคุ้มครองจิตใจของตัวเองนี้ มันต้องทำอยู่ทุกอิริยาบถไปหมด เนื่องจากว่ามันจำเป็นที่จะต้องทำถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วก็เป็นที่รู้ได้เองว่า มันรกอกรกใจเท่าไร ร้อนอกร้อนใจเท่าไร เป็นเครื่องสอบได้ในตัวเองทั้งหมด ฉะนั้นจะต้องมีการปิดประตูดูข้างใน ให้มันเห็นแจ้งเห็นจริงขึ้นมาให้ได้ แล้วไม่มีอะไรมาก ในชีวิตประจำวันนี้สิ่งไหนที่ควรทำก็ทำไปด้วยจิตไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ปล่อยไปวางไป ว่างเรื่อยไปได้

            การที่ได้มีชีวิตฝึกข้อปฏิบัติธรรมประจำวันนี้ มันดับทุกข์ดับโทษได้ทุกขณะไปทีเดียว เพราะว่าได้มีสติปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองประจำอยู่ทุกอิริยาบถนี้ มันมีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง จึงต้องมีการอบรมทำให้มากในเรื่องนี้ อย่าได้ประมาทเพลิดเพลินไปเลย แล้วหลักของสติปัญญานี้มันจะได้นำหน้าที่คุ้มครองจิตนี้ มีความเป็นอิสระได้ ว่างได้ สงบได้ ทุกๆ ขณะทีเดียว.

 

   


ปรารภธรรม ชุดที่ ๒
๑.
คำปรารภพระธรรม
๘.
จงเอาชนะความอยาก
๒.
วันครบรอบ ๗๑ ปี (เป็นวันเกิด)
๙.
ไม้สดที่ชุ่มอยู่ด้วยยางคืออะไร ?
๓.
วันวิสาขบูชา
๑๐.
หยุดดูให้รู้จริง
๔.
วันออกพรรษา
๑๑.
พิจารณาเวทนาให้รู้จริง
๕.
การกำหนดรู้เวทนา
๑๒.
ที่เที่ยวของสติ
๖.
ให้รู้จักเหตุเกิดทุกข์
๑๓.
อย่าหลงของเปล่า
๗.
การปล่อยวางตัวตน
๑๔.
ปิดประตูดูข้างใน
 
 
 
 
 
 
 
  หน้าหลัก l หนังสือธรรมะ l เสียงสวดมนต์ mp3 l เสียงธรรม mp3 l บทสวดมนต์ l สมาธิ l รูปภาพ
ดาวน์โหลด e-book l ห้องสวดมนต์ออนไลน์  l กระดานสนทนา l ห้องสนทนา chat  l สมุดเยี่ยม lรวมเว็บ
 
จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
ขึ้นบน