เว็บบอร์ด สนทนาธรรม สอบถามห้องแชดสนทนาธรรมสมุดเยี่ยม ฝากข้อความ ติชมรวมเว็บพระพุทธศาสนารวมรูปภาพ พุทธศิลป์ พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระสงฆ์
  ตั้งเป็นหน้าแรก   เก็บเข้า Favorites   สั่งพิมพ์   แจ้งปัญหา
   
 
 
 
สารบัญหลัก
  หน้าหลัก
  หนังสือธรรมะ
  บทสวดมนต์
  เสียงธรรม mp3
  เสียงสวดมนต์ mp3
  ห้องสวดมนต์ออนไลน์
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  วัดป่า-พระป่า
  วันสำคัญทางศาสนา
  ดาวน์โหลด e-book
  คำสอนจากครูบาอาจารย์
  บทความ..ธรรมจักร
  รูปภาพ
  กระดานสนทนา
  ห้องสนทนา
  สมุดเยี่ยม
  รวมเว็บ
  ติดต่อทีมงาน
ขึ้นบน
 
เว็บบอร์ด
  สนทนาธรรม
  ข่าวกิจกรรม
  สติปัฏฐาน
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  นิทานธรรมะ
  หนังสือธรรมะ
  บทความธรรมะ
  กวีธรรม
  นานาสาระ
  วิทยุธรรมะ
  สถานที่ปฏิบัติธรรม
  เสียงธรรมออนไลน์
  เสียงสวดมนต์ออนไลน์
  พระพุทธเจ้า
  ประวัติอสีติมหาสาวก
  ประวัติเอตทัคคะ
  ประวัติครูบาอาจารย์
 
 
^-^ มาฝึกสมาธิกันดีกว่า ^-^
 
@ อยากรู้  ประวัติศาสตร์ วงล้อมธรรมจักร ลัญลักษณ์ของพุทธศาสนา  คลิกอ่าน @
 
รวมเว็บพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
 
คำสอนของครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์,หลวงพ่อชา,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อจรัญ,พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นต้น
 
อัลบั้มภาพพระพุทธศาสนา
 
เรือนธรรม - บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ
 
ขอเชิญเข้ามาร่วมสนทนาธรรมด้วยกันครับ
 
ดูซิ ! ว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
 
ฝากข้อความติชมของท่านได้ที่นี่ครับ
 
 
 
 
   ธรรมจักร   ท่าน ก.เขาสวนหลวง ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ  
 

ปรารภธรรม โดย ท่าน ก. เขาสวนหลวง

"วันออกพรรษา"
๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๕ (เช้า)

            วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย เนื่องจากเกี่ยวกับการออกพรรษา บางทีอาจจะมีผู้ปฏิบัติที่จะต้องกลับไปที่อยู่ก็มี ฉะนั้นรวมทั้งที่ยังอยู่และที่จะกลับก็ตาม จะต้องทราบว่ากรอบรมข้อปฏิบัติในพรรษานี้ได้ทำกันตามสติกำลังของแต่ละคน ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วก็อย่าออกไปหาเรื่อง และอย่าออกไปหาทุกข์ก็แล้วกัน แต่ควรให้มันเป็นการออกจากทุกข์จากโทษจึงเป็นการถูกต้อง เพราะเรื่องข้อปฏิบัตินี้ ไม่ได้ทำกันเฉพาะในระหว่าเข้าพรรษาเท่านั้น มันควรต้องปฏิบัติกันเรื่อยไป แม้จะมีกิจอะไรที่ต้องทำกันบ้างก็เป็นของธรรมดา ส่วนที่จะอยู่หรือจะไปนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ถึงอย่างไรก็ดีอย่าให้มันออกไปหาทุกข์ก็แล้วกัน จะต้องให้มันออกจากทุกข์ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็สุดแท้ มันเรื่องของตัวเองทั้งนั้น สำหรับเรื่องการอบรมข้อปฏิบัติมันต้องกระทำกันตลอดเวลา ไม่ใช่จะทำเฉพาะตอนเข้าพรรษาเท่านั้น เมื่อออกพรรษาก็ปล่อยเรื่อยเปื่อยไปตามใจชอบ แล้วมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรของตัวเองเลย เพราะกว่าจะเข้าพรรษาแต่ละครั้งก็เป็นเวลาอีกตั้งเก้าเดือน ถ้าเผื่อมันตายเสียก่อนแล้วจะทำอย่างไร นี่ต้องคิดดูให้ดีว่าชีวิตนี้มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย และจะต้องคิดอยู่เสมอว่าจะมีความประมาทเพลิดเพลินไม่ได้เสียแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องราวอะไรที่มันผ่านมาแต่หนหลัง ควรจะต้องเลิกกันเสียที อย่าไปพัวพันยึดถือให้มันเป็นเครื่องกังวลใจโดยใช่เหตุ

            การมีชีวิตต่อไปข้างหน้านี้ก็จะต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่วัดก็เหมือนกัน เพราะว่าการปฏิบัตินี้มันได้อดทนต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะต่อกิเลส ความจริงกิเลสมันยังมีอยู่ด้วยกันทุกคน แต่อย่าไปปฏิบัติตามกิเลสก็แล้วกัน ฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นแล้วก็จะเอากิเลสออกไปอวดเขาด้วย นอกจากนั้นยังเอาไปพูดว่าใครๆ ก็ยังไม่หมดกิเลสด้วยกันทั้งนั้น นั่นมันเรื่องของคนโง่โดยแท้จริงแล้วก็ยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทุกคน แต่การปฏิบัตินี่มันได้ดับกิเลสมันเรื่องอย่างนี้ต่างหาก ทีนี้ถ้าทำตามกิเลสและเอากิเลสไปอวดเขาแล้ว ก็นั่นแหละมันไม่ใช่เป็นคนปฏิบัติเสียแล้ว ต้องระวังให้ดี มันจะพูดเข้ากับตัวว่าใครๆ ก็ยังไม่หมดกิเลสแล้วก็เอากิเลสไปแผลงฤทธิ์อวดเขา นั่นแหละมันจะยิ่งซ้ำร้ายใหญ่ ดังนั้นมันต้องควบคุมกิเลสถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติได้ ถ้าไปปฏิบัติตามกิเลสแล้วก็ไม่ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม เพราะเรื่องที่จะต้องเอาชนะทุกข์เอาชนะกิเลส มันต้องปฏิบัติอยู่ในตัวทั้งหมดไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะไปไหนก็สุดแท้ ถ้าไม่เป็นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสแล้ว มันก็ทุกข์เพราะกิเลสนั่นเอง มันเผาให้ร้อนแล้วร้อนอีกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติทุกขณะไปทีเดียว จะไปเลือกว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ก็ไม่ได้ เพราะกิเลสนี่มันเกิดได้ทุกขณะ จึงต้องมีการดับกิเลสทุกขณะเหมือนกัน แม้ว่าคนที่ปฏิบัติอยู่นานๆ นี่ก็ต้องระวังให้ดี มักจะออกไปหาเรื่องเก่ง อยากจะออกไปจัดแจง ไปปรุงแต่ง เพราะอยู่เงียบๆ มันไม่สนุก จะต้องออกไปหาเรื่องให้มันได้แผลงฤทธิ์ออกไปตามกิเลสนั่นแหละจะได้ความรู้ คือว่าได้ความรู้ของกิเลสนั่นเอง ส่วนที่จะดับกิเลสได้มันก็มีน้อยนัก เพราะฉะนั้นจึงต้องเจียมเนื้อเจียมตัวให้มาก อย่าออกไปหากิเลสให้มากนักเลย กว่าจะทำให้กิเลสสงบไปนี่ ตั้งสองเดือนสามาเดือนถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ค่อยจะสงบไปได้ง่ายๆ เลย ทีนี้ถ้าว่าไปผลุบๆ โผล่ๆ อะไรขึ้นมากิเลสนี่เกิดง่ายที่สุดทีเดียว แล้วก็เผาเอาซึ่งหน้า แถมไม่ละอายไม่กลัวด้วย มันก็ยิ่งถูกกิเลสเผาจัดเข้าทุกที

            โดยเฉพาะเรื่องที่จะออกไปนี้ คือจะต้องออกไปจากทุกข์ แล้วต้องเป็นข้อสังเกตของตัวเองดูว่า มันออกไปจากทุกข์ได้อย่างไร หรือว่ามันออกไปหาเรื่องทุกข์? นี่ต้องเป็นเครื่องสอบตัวเองกันให้ดีๆ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันขาดทุนย่อยยับอับปางอยู่ในท่ามกลางของทุกข์ทั้งนั้น มันต้องเป็นความรู้สึกได้อยู่ในตัวเอง แล้วก็มีการเข็ดหลาบ มีการกลัวต่อทุกข์โทษมากมายหลายประการนัก อย่าว่าแต่จะออกไปเอานั่นเอานี่เลย แม้แต่พวกที่อยู่ก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะมันชอบหาเรื่องเก่ง กิเลสนี่ถ้าเราไม่มีการควบคุมจิตใจเอไว้ให้เหมาะสมแล้ว มันเที่ยวยุเที่ยวแหย่เที่ยวแส่ส่ายอยู่เรื่อยไป อยู่ดีๆ ก็ไม่ค่อยจะชอบ ชอบแส่ส่ายไปแล้วก็ทุกข์น้ำตานองหน้า แล้วก็ไม่รู้จักเข็ด นี่มันต้องรู้จักเข็ดหลาบมันจึงจะได้ เพราะความรู้สึกที่มันยังยัดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวนี่มันยังเหนียวแน่นนัก เพราะเหตุว่าไม่ได้พิจารณาให้คืนคลายถ่ายถอนนั่นเอง มันถึงได้รวบเอามายึดถือเสียหมด จึงต้องทำให้เนิ่นช้าเสียเวลาไป

            เหมือนกับเรือพ่วง ถ้ามันพ่วงหลายลำแล้ว มันจะทวนกระแสน้ำขึ้นไปไม่ไหว ที่พ่วงกันขึ้นมานี้มีตัวเราของเรา แล้วก็มีลูกมีหลานแตกออกไปมากมาย ล้วนแต่พ่วงขันธ์ห้าเข้ามาทั้งนั้น ขันธ์หน้าที่มันแบกหนักแปล้อยู่กับตัวนี่ก็ห้าขันธ์ ทั้งๆ ที่มันก็ทุกข์แย่แล้วแย่อีกอยู่นี่ แล้วยังต้องไปแบกเอาลูกเอาหลานเข้ามารวมอีกอย่างละห้าๆ แล้วมันทั้งหมดจะเป็นเท่าไรทีนี้เมื่อมันหลายคนหลายขันธ์เข้ามันก็มาหนักแปล้ทีเดียว แล้วก็ไม่รู้จักแก้ตัว ยิ่งจะบุกเข้าไปหามันอีก นี่ควรต้องรู้สึกตัวว่า ขันธ์ห้าที่ตัวของมันแบกอยู่นี่ ก็หนักเพียงแประเต็มทีแล้ว จะจมลงไปมิวันหนึ่งวันใดก็ไม่รู้ แล้วก็ยังอุตส่าห์จะไปโลภแบกให้มันหนักเข้าไปอีก นี่มันจะโงไปถึงไหน ทั้งนี้ต้องรู้สึกได้ด้วยกันทุกคน ในเรื่องที่จะต้องพิจารณาตัวเอง จึงจะเกิดความรู้ด้วยสติปัญญาของตัวเองว่า ทำอย่างไรก็จะต้องแก้ปัญหาของตัวเองเสีย เพราะเรื่องการพิจารณานี่มันก็พิจารณาอยู่ แต่ทำไมมันจึงดื้อด้านดันทุรังนัก มันชอบไปยึดถือเก่งนัก จะต้องสอบเข้ามาหาตัวเองให้มากๆ มันจะได้ไม่เที่ยวยึดมั่นถือมั่นจนเดือดเนื้อร้อนใจไป แล้วใครจะมาแก้ตัวให้ ถ้าหมดลมหายใจเน่าเข้าโลงไปแล้ว ก็ไม่ได้เป็นอะไรกับใครเลย มีเป็นกันอยู่ก็เฉพาะเมื่อยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น แล้วจะมายึดมั่นถือมั่นให้เกิดทุกข์เดือดร้อนขึ้นมาทำไม นี่มันเป็นความโง่แสนโง่เท่าไร เพราะฉะนั้นเรื่องการยึดมั่นถือมั่นในตัวเราของเรานี้มันยังเหนียวแน่นนัก จะต้องพิจารณาให้มันคืนคลายถ่ายถอนออกไปเสียให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะพาให้โลเลเหลวไหลไป แล้วก็ไม่รู้สึกตัวได้ง่ายๆ เลย ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าการปฏิบัตินี้ เป็นการดับทุกข์ดับโทษได้ ถึงกระนั้นมันก็ยังดิ้นรนจะไป และก็ยังจะยึดถืออยู่นั่นเอง

            ฉะนั้นการเข้าใกล้กับสิ่งที่มีพิษมีสงต้องระวังตัวให้มากทีเดียว อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องอย่าเข้าไปพัวพันยึดถือ ให้มันเป็นสักแต่ว่าเป็นเสีย ถ้าเข้าไปมีไปเป็นเข้าจริงๆ แล้ว มันจะกลับเป็นอยู่อย่างเดิมนั่นเอง ถึงจะทำข้อปฏิบัติมาตั้งเท่าไรๆ ก็หมดล้มละลายหมด เพราะมันยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แล้วมันทุกข์เท่าไร เกิดทุกข์แก่ตัวเองเท่าไร ถ้าไม่ได้ซักฟอกตัวของตัวเองให้รู้แล้ว ให้ทำข้อปฏิบัติมามากมายเท่าไรก็แล้วแต่มันยังไม่ได้เรื่องอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไม่ได้แก้ปัญหาของตัวเองว่า ตัวโง่ที่มันยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนนี้ มันยังไม่ได้ผอมลงไปเลย มันยังหล่อเลี้ยงให้มันอ้วนอยู่ ควรจะต้องทำให้มันผอมเสียอย่าให้มันตัวโตขึ้นมา อย่าให้มันเที่ยวจัดแจงเที่ยวยึดมั่นถือมั่นให้มากนัก แล้วมันก็ทุกข์อยู่กับตัวของตัวเองนั่นแหละ มันไม่ใช่ทุกข์ที่คนอื่น เรื่องทุกข์อยู่ที่ตัวเองนี่มันไม่เข็ด จึงต้องข่มขี่ทรมานตัวของตัวเองนี่ ต้องให้มันหดกลับให้หมดทีเดียว ถ้ามันยังอยากไปยึดมั่นถือมั่นเป็นอะไรกันจริงๆ จังๆ แล้วมันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่นั่นเอง เพราะมันไม่ได้แยกออกให้เห็นความเป็นธาตุ มันยังเป็นตัวเราของเรา ลูกหลานญาติพี่น้องพ่อแม่อะไรสารพัด มันไม่ได้เป็นแต่สักว่าเป็น มันเป็นเอาจริงๆ แล้วมันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก จนน้ำตานองหน้านี่ก็ยังขืนดื้อด้านดันทุรังไปมีไปเป็นอยู่นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญด้วยกันทุกคน ถ้าไม่ได้ทำให้ตัวนี้มันผอมลงไปมันเล็กลงไปแล้ว เกิดทุกข์เกิดโทษได้ง่ายตายหมดทีเดียว เพราะว่ามันมีตัวเราของเราขึ้นมาแล้วก็หาเรื่องเรื่อยไป ยึดถือเรื่อยไป โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณาให้มันเห็นความความจริงนี่มันจึงต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก กว่าจะรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้สักครั้งสักคราว ก็ไม่ใช่ของง่าย เพราะมันคอยแต่จะยึดถืออยู่เรื่อย

            เฉพาะการสัมผัสทางตาทางหูนี้ก็ดูซิมันว่องไวนัก ล้วนแต่ยึดถือขึ้นมาง่ายๆ ทั้งนั้น แล้วมันจะไปได้เรื่องของข้อปฏิบัติที่ไหนกัน ถ้ายังไม่ได้พิจารณาให้รู้ความจริงขึ้นมาแล้วมันก็เที่ยวยึดถืออยู่ทั้งนั้น ทีนี้ถ้ามันเกิดทุกข์เดือดร้อนอะไรขึ้นมามากๆ แล้วก็จะหนีไปที่ไหนหรือทางไหนกัน เพราะว่าทุกๆ ทวารมันยังไวอยู่นี่ ยิ่งทางสัมผัสนี้ก็ยังว่องไวอยู่แล้วก็จะปฏิบัติไปอย่างไร เหตุนี้ต้องเป็นเครื่องซักฟอกตัวเองเสียให้รู้เรื่องรู้ราว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะทุกข์อยู่ในตัวของตัวเอง ทำให้ทุกข์แล้วทุกข์อีกเพราะมันยังไม่รู้จักพิจารณา แล้วก็ยังไม่รู้จักว่าสิ่งไหนควรจะทำหรือไม่ควรทำอย่างไร ที่จะต้องรู้จักเลือกเฟ้นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็จะต้องรู้สึกได้ด้วยกันทุกคนว่าเรื่องกิเลสที่มันเกิดขึ้นกับจิตใจนี้ มันร้อนหรือเปล่า ก็ต้องรู้ฤทธิ์รู้เดชด้วยกันทุกคน แต่นี่มันยังอดทำตามกิเลสไม่ได้ กิเลสมันก็เลยมาเผาเอาโครมๆ ถ้าจะพูดเรื่องกิเลสให้มากๆ กิเลสก็ไม่ชอบฟังเสียอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามจะต้องขอพูดเรื่องกิเลสซ้ำๆ เรื่อยไป ถึงแม้ว่ากิเลสมันจะไม่ชอบให้พูดถึงมัน ก็จะต้องพูดถึงอยู่วันยังค่ำ เพราะว่ากิเลสนี่มันหาเรื่องเก่ง มันเผาจิตใจได้ทุกขณะไปทั้งหมด จึงต้องพูดชื่อของกิเลสเอาไว้บ่อยๆ แล้วกิเลสนั่นแหละมันจะได้กระดาก คือมันจะได้อายเสียบ้าง ถ้าเราไม่พูดเอ่ยชื่อกิเลสไว้แล้ว กิเลสนี่มันจะได้ใจ

            แม้แต่ตัวเราของเราเองนี่ก็เหมือนกัน มันก็เป็นของรู้ยาก แต่ก็ต้องพูดอยู่ดีเพราะว่าตัวเราของเรานี่มันตัวหาเรื่อง ถ้าไม่พูดกับตัวหาเรื่องนี้แล้ว จะไปพูดเรื่องไหนมันจึงจะเป็นการรู้ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องพูดว่าตัวเราของเรานี้มันตัวหาเรื่องเก่ง แล้วมันก็หาทุกข์มาให้แก่ตัวเองนี้เก่งด้วย ฉะนั้นจึงต้องพูดว่าตัวเองอยู่นี่ถึงจะไม่พูดกับคนอื่น แต่ก็พูดกับตัวเองอยู่เรื่อย ว่าตัวเองนี่มันจะหาเรื่องไปทำไม มันจะโง่ไปถึงไหน มันจะยึดถือตัวเองไปถึงไหน แล้วมันก็ต้องซักฟอกอยู่กับตัวเองนี่แหละบ่อยๆ จนกระทั่งต้องพูดออกมาซ้ำๆ ซากๆ ให้ได้ยินกันทั่วๆ ไป เพื่อจะได้รู้สึกตัวกันต่อๆ ไปด้วย ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ เอาแต่ดีๆ มาพูดมันจะยิ่งโง่ใหญ่ เพราะใครๆ ก็ต้องการให้พูดว่าตัวนี่เป็นคนดี คนเก่ง คนถูกอะไรสารพัด ถ้าพูดอย่างนี้แล้วกิเลสมันชอบ หรือว่าตัวตนนี่มันก็ยิ้มกริ่มไปทีเดียว แต่ถ้าไปพูดติพูดเตือนอะไรมันเข้า กิเลสหรือตัวตนนี้ก็ไม่สบายใจเสียเลย มันเรื่องอย่างนี้พอไปว่ามันเข้า ไม่ได้ มันโกรธทีเดียว ไปเตือนก็ไม่ได้ ไปบอกก็ไม่ได้ มันหาเรื่องโกรธตะพึดตะพือ แล้วก็ลองพิจารณาดูซิว่า ตัวโกรธนี่มันตัวอะไร ทำไมมันจึงโกรธขึ้นมาได้ แล้วมันโกรธใคร ถ้าได้ซักฟอกเข้ามาหาตัวเองบ่อยๆ แล้วมันก็จะน่าหัวเราะมากกว่าที่จะน่าร้องไห้ เพราะว่าเรื่องความโกรธที่ไปยึดมั่นถือมั่น เข้ามาหาตัวมากๆ นั่นแหละ มันตัวคนพาล มันพาลเกเรเกตุงใหญ่ทีเดียว

            เหมือนกับเราจะก้าวขึ้นบันได เราก็ต้องอาศัยก้าวขึ้นทีละขั้น ทั้งนี้ก็ให้เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยที่จะก้าวไป แต่ไม่ใช่ยืนอยู่แห่งเดียวเท่านั้น ถ้าเรารู้จักประหยัดอยู่ในตัวของเราแล้ว ก็อย่าไปหยุดอยู่หรืออย่าถอยหลัง แล้วก็ประหยัดเวลาของชีวิตได้ในขณะที่เรามีการทรงตัวรู้ว่าเป็นการก้าวไป คือว่าก้าวออกจากทุกข์ไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดอยู่หรือถอยไป มันก็หยุดอยู่ในทุกข์นั่นเอง ดังนั้นจะต้องพยายามแล้วพยายามอีกที่จะค่อยขยับเขยื้อนก้าวไปแม้แต่ทีละน้อยก็ยังดี ถ้าไปเสียทีเสียท่ากับมันเข้าแล้วมันทำให้เสียเวลาไปมาก

            เช่นสมมุติว่าวันหนึ่งๆ เรามีสติติดต่อได้มาก กิเลสนี่เข้ามาน้อยครั้งที่สุด พอโผล่หน้าเข้ามาเล็กๆ น้อยๆ เราก็รู้แล้ว ก็เป็นอันว่า หยุด! ดับได้ ถ้าเราหยุดดับได้บ่อยๆ กิเลสก็อ่อนกำลังลง ถ้าหากว่าเราไปเผลอเข้า กิเลสได้ช่องแล้วมันมาเผาใหญ่ทีเดียว เผาเอาซึ่งหน้า ทีนี้เราก็ต้องรู้วิธีที่จะดับทุกข์ดับกิเลสของเราให้ละเอียดเข้าทุกทีทีเดียว อย่าไปเปิดช่องให้มันเกิดขึ้นมาปรุงแต่ง เป็นการยึดมั่นถือมั่นแผ่วงกว้างออกไป แล้วมันจะหยุดยากดับยาก เหมือนกับน้ำน้อยมันก็ต้องแพ้ไฟ เพราะไฟกิเลสถ้ามากๆ มันดับยาก ก็ต้องเริ่มดับเสียแต่ต้นไปทีเดียว คือเริ่มมีสติรู้สึกตัวให้ทั่วพร้อมเอาไว้เสียก่อน แม้ว่ากิเลสนี่มันจะเกิดขึ้นมาเล็กๆ น้อยๆ ก็รู้จักดับง่าย เหมือนการดับไฟต้นมือ แล้วมันก็ไม่ก่อพิษก่อสงอะไรมาก ฉะนั้นจะต้องระวังสิ่งนี้เอาไว้มากๆ ถ้าเราเปิดช่องรับเอากิเลสเข้ามาเป็นเจ้าของบ้านแล้วมันเผาใหญ่เลย มันหาเชื้อมาเพิ่ม คือมาคิดนึกปรุงแต่งอะไรสารพัดที่จะปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมายั่วมาแหย่ และทั้งๆ ที่เราก็ว่าเรารู้อยู่ แต่ก็ถูกกิเลสเผาจนได้ หรือว่าเราจะต้องปิดประตูอย่างไร มันจึงจะเป็นการทำลายกิเลส เหมือนกับเราจะจับสัตว์ร้ายที่สุดมากขังเอาไว้ ให้มันอดอาหารตายเสียบ้าง ทีนี้เราก็เกิดความสงสาร ถ้าขังมันนานๆ ก็อยากจะออกไปเที่ยวดูเที่ยวหาอาหาร เพราะสงสารว่าขังไว้มันอดมันไม่ได้ดูได้ฟังได้เห็นอะไร แล้วมันก็ไม่ได้กำลังอะไรก็สุดแท้ที่จะคิดไปนั่นแหละ ผลที่สุดก็ต้องออกไปหาอาหารทางตา ทางหู อะไรสารพัดอย่าง ในวันแรกๆ ก็ยังมีสติดีอยู่ ถึงจะไปพบอาหารทางหู ทางตา อะไรบ้าง สติก็ยังควบคุมดีอยู่ เผลอก็น้อย ต่อเมื่อลอยละล่องท่องเที่ยวไปมากๆ เข้า ได้รับสัมผัสภายนอกมันกลุ้มรุมไปทั้งหมด พอวันที่สองที่สามเถอะสตินี่จะต้องคลายออกเรื่อยไป เพราะว่ามันได้อาหารแปลกๆ มันจึงเพลิดเพลินเจริญใจไปทีเดียว เพลินไปเพลินมามันก็เลยออกทะเลโน่น ออกไปชมวิวของทะเล แล้วมันก็เลยล่มจมถูกน้ำท่วมทับอับปางอยู่กลางทะเล ในที่สุดมันก็ว้าเหว่เหหันไม่รู้จะไปทางไหน เพราะสติที่เป็นหางเสือนั้นมันไม่มีเสียแล้ว มันหลุดหายไปเสียแล้ว มันก็เลยถูกคลื่นลมอะไรพัดพาให้ป่วนปั่น อยู่ในท่ามกลางของกองทุกข์แล้วก็แถมจมอยู่ในน้ำ สำลักน้ำ เพราะการออกไปสู่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้นล้วนแต่มีอันตรายมากมายหลายประการนัก จึงต้องมีการสำรวมระวังอยู่เสมอ ความเผลอเพลินมันจะได้น้อยลง แม้แต่ขณะที่ไปรับสัมผัสอะไรก็จะต้องไม่ประมาท ถ้าหากว่ามีความประมาทแล้วมันง่ายดายเหลือเกิน เนื่องจากทางสัมผัสนี่มันชักชวนมากทีเดียว คนที่จะเสียหายไป ก็เพราะเรื่องการสัมผัสที่เกิดจากการกระทบทั้งนั้น ส่วนที่กระทบในทางดีนั้นไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ถ้าไปกระทบเข้ากับความชั่วนั้นมันรู้เรื่องง่าย แล้วก็มีแต่การยึดมั่นถือมั่นง่ายดายที่สุด เพราะว่ามันคุ้นเคยมาด้วยกันทั้งหมด

            เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะปฏิบัติเพียรเผากิเลสนี้จึงต้องทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกมันจึงจะได้ แล้วก็จะต้องรู้สึกตัวได้ว่า การถูกกิเลสเผานี่มันทุกข์หนัก ทำอย่างไรจึงจะเผากิเลสและดับกิเลสได้ ทั้งนี้มันก็เป็นปัญหาของตัวเองอยู่ทุกขณะไปหมดทีเดียว ที่เผชิญหน้าอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะต้องมีสติอยู่อย่างไร เพราะว่ามันมีอันตรายรอบด้าน ถ้าไม่ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว มันก็ถูกฉุดไปรอบด้าน แล้วเราก็ไม่ค่อยจะรู้สึกตัวกันได้ง่ายๆ ว่า การถูกฉุดรอบด้านมันทุกข์เท่าไรแล้วก็อยู่ในวงล้อมของพญามารทั้งนั้น จึงเกิดชอบไม่ชอบอะไรขึ้นมาง่ายที่สุด แล้วไม่ค่อยจะสังวรระวังด้วย เพราะว่าตาก็อยากจะดู หูก็อยากจะฟัง แล้วมันก็ชอบหาเรื่องอยู่ในตัวนั่นเอง ทีนี้การที่จะปิดประตูดูข้างในนี่มันก็ปิดยาก เพราะมันอยากจะเปิดรับแขกอยู่เรื่อย มันก็เลยต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกก็ไม่รู้จักเข็ด เหตุที่มันก็อยากจะรับแขกอยู่เรื่อง

            ส่วนการรู้สึกด้วยสติปัญญาแท้นี้ มันจะรู้ได้ว่าปิดประตูดูข้างในนี้มันสบายอกสบายใจจริงๆ ทีเดียว อย่าไปรับแขกเลย มันมีแต่เรื่องสกปรกโสมมจมโคลนอยู่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องนั่งๆ อยู่นิ่งๆ ดีกว่า อย่าออกไปหาเรื่อง ถึงแม้ว่ากิเลสมันจะมาสอพลอล่อลวงอย่างไร ก็อย่าเพิ่งไปฟังมัน อย่าเพิ่งไปเอาเรื่องกับมัน หรือมันจะดิ้นรนไปทางเหนือทางใต้อะไรก็หยุด หยุดเสียก่อน บอกว่ายังไม่ไปละ เช่นกับบางคนที่กำลังจำพรรษาอยู่ ใจมันอยากจะไป แล้วก็บอกว่า "หยุด" ก็อยู่ได้จนตลอดพรรษาเหมือนกัน แต่ต้องระวังให้ดีอีกเหมือนกัน พอออกพรรษาแล้วมันจะวิ่งจี๋ทีเดียว เพราะมันอดมาตั้งตลอดสามเดือนแล้ว กิเลสมันอดกลั้นไว้เต็มที่เหมือนกัน มันอยากจะออกไปชมวิว ชมรูป เสียง กลิ่น รส หรือชมลูกชมหลานอะไรก็สารพัดที่จะอยากออกไปชมแล้ว ทีนี้ถ้าบอกว่า "หยุด" มันจะเชื่อหรือเปล่า ตอนออกพรรษานี่ มันจะเชื่อเหมือนเมื่อเข้าพรรษาหรือไม่ เพราะในระหว่างเข้าพรรษานี่มันก็ยังนึกละอายแก่ใจว่า เพื่อนพรหมจรรย์ส่วนมากเขาอยู่กันได้แล้วนี่เราจะออกไปหาอะไร หรือกิเลสมันบอกว่าจำเป็นอย่างโน้นอย่างนี้สารพัดอย่าง ส่วนบางคนก็ยังเอาชนะได้เหมือนกัน ถึงมันจะอ้างโน่นอ้างนี่อะไรก็บอกกับมันว่า "หยุดก่อน" คือว่า "หยุด" อย่างนี้มันยังมีหวังอยู่ว่าออกพรรษาเถอะจะต้องออกไปให้ได้ มันว่าอย่างนี้ ที่มันยอมหยุดเพราะมันหวังอยู่ว่าออกพรรษาจะได้ออกไป มันก็เลยยอมหยุดได้ ทีนี้เมื่อออกพรรษาแล้วนี่มันจะวิ่งจี๋ไปอย่างไร จะวิ่งจี๋ไปทางไหน จะวิ่งไปเอาอะไร ถ้าว่าใครอยากวิ่งจี๋ๆ แล้วก็บอกว่า "หยุด!" "หยุดก่อน!" เหมือนเมื่อในพรรษาบอกว่าหยุดมันก็หยุดได้ แล้วก็บอกกับมันอยู่บ่อยๆ ว่า "อย่าวิ่งไปเอาอะไรนักเลย วิ่งมามากแล้วเหนื่อยมามากแล้ว ก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย" ทั้งนี้ย่อมสอบตัวเองด้วยกันได้ทุกคนว่าที่วิ่งหัวหมุนมามากๆ มันได้อะไรบ้าง มันได้ทุกข์หรือเปล่า หรือว่ามันได้สุขที่ตรงไหน นี่ก็เป็นเครื่องสอบตัวเองด้วยกันได้ทั้งหมด เพราะมันต้องรู้สึกได้ด้วยตัวเองทั้งนั้น แม้ว่ามันจะไปได้ข้าวได้ของ ได้เงิน ได้ทอง ได้เกียรติ มันก็เรื่องของทุกข์ทั้งนั้น อย่าไปหลงว่าได้อย่างนั้นมันเป็นการได้ของดี นั่นแหละมันได้ของสกปรกมา เพราะว่าของดีที่สุดมันอยู่ที่จิตสะอาดไม่เอาอะไรไม่ต้องการอะไร ทีไปเอามาได้เป็นเหยื่อนั่นแหละมันเป็นของสกปรก ถ้าใครพิสูจน์ตัวเองได้ในเรื่องนี้แล้ว สมมุติว่ามีใครเขาจะมาเชิญให้ไปเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่โน่น มันมีสมบัติข้าวของเงินทองมากมาย แต่สำหรับคนที่เขาต้องการความสะอาดในด้านจิตใจแล้ว ก็บอกว่าไม่ปรารถนาแล้ว เพราะว่าการเป็นเศรษฐี มันคือตกนรกนั่นเอง นั่นก็ของกูนี่ก็ของกู มันก็ตกนรกแย่อยู่ในความเป็นเศรษฐีนั่นเอง

            เพราะฉะนั้นคนที่เขาต้องการความสะอาดในด้านจิตใจมากกว่าวัตถุ จึงได้อยู่สงบได้ แล้วก็ไม่ต้องวิ่งกระหืดกระหอบไปเอาอะไร แล้วก็ไม่ได้ห่วงใคร เพราะตัวเองที่มันห่วงตัวเองอยู่นี่ มันก็หนักแปล้อยู่แล้ว แล้วจะวิ่งไปเอาห่วงที่ไหนมาคล้องคออีกเล่า ถ้ามันสอบไปสอบมาอยู่อย่างนี้เรื่อย เมื่อมันสอบได้มันก็หยุดได้ ถ้ามันสอบตกมันก็ต้องวิ่งไป วิ่งไปวิ่งมาหนักๆ เข้ามันก็เน่าเข้าโลงไปแล้วก็คิดดูซิว่าไปทางไหนกัน จะไปทางไหนรอด ในที่สุดก็ต้องเน่าเข้าโลงไป ถ้ามันไปแบบโง่ๆ ยึดมั่นถือมั่นอีก มันก็เที่ยวเวียนไปอีกนั่นแหละ เที่ยววุ่นไปอีกนั่นแหละ เที่ยวเกิด เกิดก็หลายอย่าง แล้วก็จะเห็นว่าชาติความเกิดมันเป็นทุกข์หรือไม่หรือยังอยากเกิดกันอยู่ ถ้ายังพิจารณาไม่เห็นในเรื่องนี้ก็ยังโง่เขลา เพราะว่า แก่ นี่มันก็มาจาก เกิด ถ้าไม่มีการเกิดแล้ว แก่ เจ็บ ตาย มันก็ไม่มี แล้วลองพิจารณาทบทวนดูบ่อยๆ ซิว่า มันน่าเสน่หากับแก่นี้หรือไม่ ที่แก่ๆ กันอยู่เดี๋ยวนี้พูดกันอยู่เดี๋ยวนี้ ใครชอบบ้างว่าแก่อย่างนี้มันเป็นความสุข มันก็ต้องเห็นว่าเป็นความทุกข์ ความเกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ ก็พูดกันอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าใจนี่มันไม่ค่อยจะฟังเสียงเสียเลย มันจะดื้อด้านดันทุรังไปหาเรื่อง เพราะฉะนั้นตัวเองก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่กับตัวเองก็มากแล้ว ยังอุตส่าห์จะไปหา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันอีก เหมือนกับคนอยากมีคู่ ตัวเองก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในตัวก็ไปหาคู่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะหาเงิน หาทอง หาข้าว หาของ สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็อยากได้มัน อยากได้ของไม่เที่ยงนั่นแหละมา ทั้งตัวเองก็ไม่เที่ยงก็ยังอยากจะได้ของไม่เที่ยงมาเพิ่มอีก แล้วนี่มันยังพัวพันยึดมั่นถือมั่นอยู่ เพราะยังพิจารณาไม่เห็นความจริงในเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน มันยังเห็นผิดเป็นการตรงกันข้าม เห็นว่าเที่ยงสุขตัวตนไปทั้งหมด แล้วอย่างนี้มันก็โง่อยู่นั่นเอง ยังเดินไม่ถูกทางธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มันยังเดินเปะปะอยู่ในป่ารก มีแต่พวกสิงห์สาราสัตว์ของพวกกิเลสนั่นแหละรอบด้านไปหมด

            ฉะนั้นเรื่อง สติปัญญาที่จะคุ้มครองจิตใจของตัวเองมันยังมีน้อย มันก็มีความทุกข์มาก ถ้าสติปัญญาของตัวเองมีมาก ความทุกข์มันก็น้อยได้ ถึงแม้ว่ากิเลสนี้ยังมีอยู่ แต่ได้เพียรเผากิเลสมากขึ้นทุกที และกิเลสนี้ก็ลดกำลังน้อยลงไปทุกทีเหมือนกัน แต่ถ้าไปทำให้กิเลสนี่มันเจริญขึ้นมา สติปัญญาก็กลับถอยกำลังลงแล้วมันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกจนน้ำตานองหน้า เพราะฉะนั้นมันต้องเป็นการรู้สึกตัวด้วยกันทุกคน ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่ เราก็ต้องพูดปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้เอาไว้ให้มากๆ เพราะจะไปพูดกันเรื่องอื่นนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

            ถ้าเป็นการพูดเรื่องทุกข์เรื่องกิเลสหรือเรื่องตัวตนอะไรที่มันยังขวางหน้าอยู่ มันจะได้ตัดรอนทอนกำลังของพวกนี้ให้ลดลงไปเรื่อย ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะอย่างไร ในสุขในทุกข์อะไรก็สุดแท้ มันจะต้องรู้เรื่องอย่างนี้อยู่เรื่อย ไม่ให้มีความเพลิดเพลินไป มีสติคุ้มครองจิตใจของตัวเองไว้ให้อยู่ แล้วก็รู้เท่าทันมายาของกิเลสตัณหาอุปาทาน ซึ่งต้องอยู่ในความควบคุมของสติปัญญาทั้งหมด หรือว่าจะต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นกัลยาณมิตรอยู่ทุกขณะไปก็ว่าได้ ถ้าไม่ได้มีความรู้สึกตัวอย่างนี้แล้ว จะถูกมายาของกิเลสตัณหามันหลอกลวง มันตบตีอยู่เรื่อย ก็ทำให้ชีวิตนี้ไม่สามารถหลุดรอดออกไปจากทุกข์โทษได้เลย มันจะต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่เท่าไร ก็เพราะความโง่ที่ไม่ค่อยรู้สึกตัวได้ง่ายๆ ถ้าไม่ได้อาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วมันจะยิ่งโง่ดักดานไปเลย เกิดเท่าไรตายเท่าไรมันก็เวียนอยู่ในนี้ รับผลของกรรมแล้วก็ทำกรรมต่อไปใหม่อีก แล้วก็รับผลเรื่อยไป ทำเรื่อยไป มันก็เป็นวงกลมของสังสารวัฏที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ผลที่สุดก็ไม่รู้ว่าจะหยุดอย่างไร? จะออกอย่างไร? จะตัดรอนทอนกำลังอย่างไร? ทำกันแต่เพียงครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ทำจริงทำจังอะไร การเดินทางของชีวิตมันก็เดินอยู่ในวงกลมของสังสารวัฏนั่นเอง

            ถ้าเป็นการรู้สึกตัวได้ ต้องหยุด ต้องหยุดเรื่อยไป เพราะการหยุดนี่มันได้รวบรวมกำลัง มันได้ทำการดับกิเลสดับทุกข์อะไรจัดขึ้นมาทุกทีทีเดียว ให้ทันแก่วันเวลาของชีวิต เพราะมันได้อาศัยอยู่ที่ลมหายใจนี่ ไม่รู้วันไหนเวลาไหนที่ปรากฏอยู่กับหูกับตานี่ก็ได้ยินได้เห็น ว่าคนนั้นเขาเจ็บคนนั้นเขาตาย แต่ที่เห็นที่ได้ยินอยู่นี้ มันไม่ได้น้อมเข้ามาหาตัว มันก็เลยมีความประมาทเพลิดเพลินไป เห็นคนอื่นเขาเจ็บ เราก็ไม่เจ็บ ได้ยินว่าคนนั้นคนนี้เขาตาย เราก็ยังไม่ตายเรายังอยู่ มันก็ลืมตัวไปเสีย

            แต่มันไม่ได้น้อมเข้ามาหาตัวว่า อริยธรรมที่ปรากฏอยู่กับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้วที่ตัวเองก็ปรากฏเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้พิจารณาเท่านั้นเอง เมื่อพิจารณาแล้วมันจึงจะรู้ มันจึงจะเกิดความสังเวช มีความสลดใจได้ จะไม่มีการสนุกสนานเพลิดเพลินไปเลย เป็นเครื่องรู้สึกตัวได้ทุกวันทุกเวลาไปหมด จะทำให้สติปัญญาเจริญขึ้น แล้วกิเลสนี่มันจะได้ลดกำลังลงไป มันเรื่องอย่างนี้ข้อปฏิบัติมันจึงจะเป็นการก้าวหน้าไปได้ ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วมันจะแย่ ประเดี๋ยวว่ารู้ดีรู้ถูกอย่างนั้นอย่างนี้ ประเดี๋ยววิ่งปรื๋อไปแล้ว ไปเที่ยวเอาอะไรต่ออะไรมาแล้ว แล้วก็มาหลอกตัวเองว่าดีอย่างนั้นถูกอย่างนี้ แล้วนี่จะหลงไปถึงไหนกัน มันต้องรู้ขึ้นมาแล้ว เพราะมันทุกข์แล้วทุกข์อีกก็ต้องรู้ มันก็ต้องเข็ดหลาบ เพราะความเข็ดหลาบนี่มันเป็นเครื่องเตือนให้มีสติรู้สึกตัวมากขึ้น และความประมาทเพลิดเพลินจะได้น้อยลงไปตามลำดับ ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรมตามสมควร.

 

 


ปรารภธรรม ชุดที่ ๒
๑.
คำปรารภพระธรรม
๘.
จงเอาชนะความอยาก
๒.
วันครบรอบ ๗๑ ปี (เป็นวันเกิด)
๙.
ไม้สดที่ชุ่มอยู่ด้วยยางคืออะไร ?
๓.
วันวิสาขบูชา
๑๐.
หยุดดูให้รู้จริง
๔.
วันออกพรรษา
๑๑.
พิจารณาเวทนาให้รู้จริง
๕.
การกำหนดรู้เวทนา
๑๒.
ที่เที่ยวของสติ
๖.
ให้รู้จักเหตุเกิดทุกข์
๑๓.
อย่าหลงของเปล่า
๗.
การปล่อยวางตัวตน
๑๔.
ปิดประตูดูข้างใน
 
 
 
 
 
 
 
  หน้าหลัก l หนังสือธรรมะ l เสียงสวดมนต์ mp3 l เสียงธรรม mp3 l บทสวดมนต์ l สมาธิ l รูปภาพ
ดาวน์โหลด e-book l ห้องสวดมนต์ออนไลน์  l กระดานสนทนา l ห้องสนทนา chat  l สมุดเยี่ยม lรวมเว็บ
 
จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
ขึ้นบน