"คำปรารภพระธรรม"
๕ กันยายน ๒๔๙๗
คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง
ถ้ารู้จักแต่ทำมาหากินเลี้ยงร่างกายกันอย่างเดียว ไม่รู้จักแสวงหาธรรมเลี้ยงจิตใจให้เป็นสุขสงบเย็นด้วยแล้ว
การเกิดนั้นจะเป็นการเกิดมาเพื่อทนทรมานติดคุกตะรางในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตายทุกๆ
ชาติทีเดียว ถ้าไม่รู้จักทำจิตใจให้สงบตามทางธรรมบ้างแล้ว
แม้คนรวยที่อยู่ตึกก็มีความสุขสู้คนจนที่อยู่กระท่อมซอมซ่อไม่ได้
ความสุขในวัยเด็กก็มีไปอย่างหนึ่ง
ความสุขวัยหนุ่มสาวก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยกลางคนก็มีไปอย่างหนึ่ง
วัยแก่เฒ่าชราก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรือสับเปลี่ยนกันได้
เพราะพระธรรมบังคับไว้อย่างตายตัว ทำอย่างไรจึงจะได้รับความสุขครบถ้วนตามนั้นทุกวัยๆ
ไป เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิดให้ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้รับสิ่งที่ประเสริฐที่มนุษย์ควรจะได้รับในการเกิดมาชาติหนึ่ง
และจะป่วยการที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
อีกอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าคนเราจะอยู่ในวัยไหน หรือประกอบอาชีพการงานอะไร
ทุกคนและทุกวัยจะต้องมีความรู้ธรรมะไว้เป็นน้ำดับไฟ อันจะเกิดขึ้นจากการประกอบการงานนั้นๆ
เป็นธรรมดาอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นแล้วการอยู่เป็นคนก็กลายเป็นการทนอยู่ในนรกหมกไหม้ชนิดหนึ่งนั่นเอง
ไม่มีเวลาสร่างซา จนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป ไม่เคยประสบของดีที่พึงจะได้จากการเกิดมาเป็นคน
แท้จริง
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผาอยู่ทุกวันคืน
ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส เราก็มีความสุขเย็น แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา
เราก็สุกไหม้ และเกรียมไปได้ในที่สุด แม้ไม่ถึงอย่างนั้นก็จะตกอยู่ในลักษณะของคนอยากน้ำ
คอแห้งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะหาน้ำอะไรมาดับความกระหายของตนได้
ชีวิตของคนเรานี้เป็นยักษ์ที่โหดร้ายอยู่ในตัวชีวิตนั้นเอง
มันจะถามเราว่า เกิดมาทำไม? ถ้าเราตอบไม่ได้เพราะไม่รู้เสียเลย
มันก็จะกินเรา ถ้าตอบผิดๆ ถูกๆ มันจะตบหน้าเรา และขี่คอเราไปไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ถ้าตอบถูกจริงๆ แม้เพียงคำเดียวเท่านั้น ยักษ์นั้นเองจะปักคอตัวมันตายต่อหน้าเรา
ไม่มีอะไรมารบกวนเราให้มีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป
พระธรรมเท่านั้น
ที่จะช่วยให้เราตอบปัญหาของยักษ์ได้ พระธรรมเท่านั้นที่จักหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้สดชื่นช่วยให้คนทุกคน
ทั้งวัยเด็ก หนุ่มสาว และแก่เฒ่ามีความสุขสงบเย็น ได้สมตามวัยของตนๆ
พระธรรมจะช่วยดับไฟให้ทุกคราวที่เกิดขึ้นในการประกอบกิจทุกชนิดในโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นที่ในทุ่งนาป่าสวน ในย่านตลาดร้านโรงเรือน
อาคารสถานที่ราชการ ตลอดจนปราสาทราชฐาน ทั้งในมนุษย์โลกและเทวโลก
พระพุทธเจ้าก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยพระธรรม
จึงดับไฟกิเลสและไฟทุกข์ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
แม้ตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงเคารพใครหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ยังทรงเคารพพระธรรมอย่างเคร่งครัด
เมื่อพระพุทธเจ้าเองยังทรงเป็นถึงเช่นนี้แล้ว จะนับประสาอะไรกับพวกเราทั้งหลาย
บรรดาที่กำลังทูนกงจักรไว้บนศีรษะ เพราะสำคัญเห็นเป็นดอกบัว
ที่จะไม่ต้องอาศัยพระธรรม
เราทั้งหลายจงมีความสนใจและหันหน้าเข้าหาพระธรรมกันเถิด
พระธรรมเป็นของสิ่งเดียวที่สามารถดับไฟกิเลสและไฟทุกข์ให้สิ้นไปจากบุคคลทุกคน
ทุกวัย ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอาชีพการงาน และทุกๆ สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ไม่ว่าโลกนี้จะแปรผันไปอย่างไร โลกนี้จะพลิกหัวหกก้นขวิดอย่างไร
พระธรรมอย่างเดียวยังคงเป็นที่พึ่งได้อยู่นั่นเอง และเป็นที่พึ่งได้ตลอดไป
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อความจริงมีอยู่อย่างนี้
ขอเราทั้งหลายจงพยายามเสาะแสวงหาธรรมะมาเลี้ยงใจ เหมือนกับที่แสวงหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงกายกันจงทุกๆ
คนเถิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะมีความประเสริฐสุด สมตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ทุกๆ
ประการ ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว ก็จะเหมือนไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
สาส์นนี้จากเพื่อนพุทธบริษัทถึงเพื่อนพุทธบริษัทด้วยกัน
จงช่วยกันส่งให้อ่านให้ฟังต่อๆ กันไปเถิด จักก่อให้เกิดการกระทำชนิดที่เป็นความสะอาด
สว่าง และสงบแก่ตัวเรา แก่บ้านเมืองของเรา และแก่โลกทั้งปวง
ด้วยอำนาจของพระธรรมนั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย.
จากธารน้ำไหล เขาพุทธทอง
วันทำบุญตายาย ๕ ก.ย. ๒๔๙๗
|