"วันวิสาขบูชา"
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ (ตอนเช้า)
วันนี้เป็นวันพิเศษ
เพราะว่าเป็นวันวิสาขบูชา สำหรับวันนี้ได้มีการประชุมพุทธบริษัท
แม้แต่ที่อยู่ไกลก็ได้มาประชุมร่วมกัน เรื่องวิสาขบูชานี้
ก็เป็นที่ทราบกันดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายอะไรมาก
เพราะเรามีความประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะทำการสักการบูชาด้วยการปฏิบัติ
เพื่อเป็นที่ระลึกให้เต็มที่สำหรับในวันนี้และตลอดคืนนี้
ส่วนเครื่องสักการบูชาอย่างอื่นไม่สำคัญ แม้ว่าเราจะเอาดอกไม้
ธูปเทียน อามิส มาบูชาก็ไม่เป็นที่สรรเสริญของพระพุทธเจ้า
เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านต้องการอย่างเดียวที่จะให้มีการปฏิบัติบูชาโดยเฉพาะ
ฉะนั้นเราจึงต้องทำการบูชาด้วยความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา
และทั้งจิตใจ อย่างครบถ้วนในวันนี้ คืนนี้ ให้ได้
เพราะการบูชาอย่างนี้
เป็นเรื่องที่จะดับทุกข์ของตัวเองโดยเฉพาะทีเดียว ถ้าเราไม่ได้มีการปฏิบัติธรรม
เราก็จะมีความทุกข์แล้วทุกข์อีก เหมือนอย่างที่แล้วๆ มา
ที่เราก็มีความทุกข์กันอยู่ เมื่อเรามาพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็รู้สึกได้ว่า จะต้องมีการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ให้ถูกต้องตามธรรมวินัยยิ่งขึ้น
เพราะเรื่องความทุกข์นี้มีประจำอยู่ด้วยกันทุกคน ถ้าเราไม่ศึกษาพิจารณาตัวเองแล้ว
ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องดับทุกข์ได้ โดยเฉพาะธรรมวินัยของพระศาสดา
ก็ล้วนแต่แสดงข้อปฏิบัติให้ดำเนินไปเพื่อความพ้นทุกข์
ดับทุกข์ ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่พิจารณาแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
แม้ว่าเราจะอยู่กับรูป นาม ขันธ์ห้า มาตั้งหลายสิบปีก็ตาม
แต่ยังมีความสนุกสนานเพลิดเพลินกันอยู่ แล้วไม่รู้เรื่องจริงภายในตัวของตัวเอง
ทีนี้เราจะต้องมีการศึกษาเข้ามาข้างในเสียที อย่าได้เที่ยวไปศึกษาเรื่องภายนอกกันเลย
มันจะเสียเวลาของเราเองไปเปล่าๆ เพราะว่าชีวิตนี้มันไม่เที่ยง
จะไปมัวผิดเพี้ยนกับอะไรก็ไม่ได้ ถ้าเรามีความสนใจที่จะศึกษาพิจารณาตัวเอง
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องแล้ว ชีวิตนี้จะมีความทุกข์น้อยลงแน่นอน
ฉะนั้นเราจะต้องมีความประพฤติปฏิบัติให้เข้มงวดกวดขันเข้ามาหาตัวเองให้มากๆ
เพราะว่าธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าท่านชี้เข้ามาข้างในทั้งหมด
ให้เข้ามามองตัวเองให้พิจารณาขันธ์ห้า คือ กาย กับใจว่า
มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันแน่ ถ้าเรามีสติปัญญา เป็นเครื่องพิจารณาให้รู้
ให้เห็นตามความเป็นจริงได้แล้ว นั่นแหละเราจึงจะมีความสนใจ
อบรมทำข้อปฏิบัติ ให้ดีกว่าที่แล้วๆ มา ฉะนั้นเราจะต้องก้าวหน้ากันในเรื่องนี้เรื่องเดียว
เพราะเรื่องทำอะไรต่ออะไรมากมายนั้น ไม่เอาแล้ว หยุดกันเสียที
มันเหนื่อยเปล่าๆ และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สรรเสริญเรื่องอามิสบูชา
พระองค์กลับทรงติเตียนเสียอีก
เพราะฉะนั้น
เราจะต้องทำการปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เพื่อความพ้นทุกข์ของตัวเองจริงๆ
ถ้าเราไม่มีการพินิจพิจารณาให้ถูกต้องตามคลองธรรมแล้ว
ก็จะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุด คือจิตใจของเราที่ถูกกิเลสมันริบเอาไป
แล้วเราก็เอากิเลสมาเป็นมิตรปิดบังอยู่นี่ แม้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงเปิดเผยความจริงในเรื่องอริยสัจก็ตาม
หรือในเรื่องสามัญลักษณะก็ตาม ล้วนแต่ปรากฏอยู่ในตัวของเราเองทั้งนั้น
ต้องเรียนรู้เอาในนี้ครบถ้วนหมดเลย รู้เรื่องอริยสัจ ๔
ก็รู้เรื่องกายกับใจ รู้เรื่องกิเลสแล้วก็รู้เรื่องการดับกิเลส
หรือจะทำข้อปฏิบัติให้สมควรอย่างไร จึงจะเป็นการดับทุกข์
ดับกิเลสได้ ส่วนการพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตาของปัญจขันธ์นี้มันก็เรื่องเดียวกัน ถ้าเราไม่ไปคว้าเรียนหัวข้อมากมายแล้ว
แม้จะรู้เรื่องสามัญลักษณะเรื่องเดียว ก็จะรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องความจริงที่มีอยู่ในตัวเองแท้ๆ
ได้หมด แต่นี่เหมือนกับอยู่เรือนไฟไหม้มาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
มันก็ยังไม่รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ถูกต้องขึ้นมาได้เลย
ทั้งนี้เพราะว่าไม่ได้พิจารณาอยู่เนืองนิจนั่นเอง ฉะนั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะต้องรู้ความจริงให้เป็นการแจ่มแจ้งแก่ใจของเราจริงๆ
แล้วก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นการดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน
โดยที่เราไม่ต้องไปเชื่อตามใคร เพราะความจริงหรือสัจจธรรมนี้มันมีอยู่ในตัวเองทั้งหมด
เพราะเรายังไม่ได้มีการศึกษาเข้ามาข้างในนั่นเองจึงยังไม่รู้
ทีนี้จะต้องศึกษาเข้ามาภายในตัวเองเพราะการศึกษาภายนอกนั้นมันวนเวียนวุ่นวาย
เนื่องจากต้องจำต้องคิดอะไรมากมายเหลือเกิน เมื่อมีการศึกษาเข้ามาหาตัวเองแล้ว
มันหยุดจำ หยุดคิด ตลอดจนกระทั่ง หยุดทำตามกิเลสตัณหาอุปาทาน
ภายในตัวทั้งหมดทีเดียว เพราะเมื่อมีการพิจารณารู้ความจริงด้วยสติปัญญาโดยถ่องแท้แล้ว
ก็จะเป็นเครื่องตัดรอน ทอนกำลัง กิเลสตัณหา ให้เบาบางลงไปได้
ความจริงมีอยู่อย่างนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพยายามแล้วพยายามอีก
เพียรแล้วเพียรอีก พิจารณาแล้ว พิจารณาอีก เพื่อมองเข้ามาหาตัวเองให้ได้
อย่าให้มันออกไปข้างนอก ไม่เอา ถ้ามันกลับเข้ามารู้ตัวเองได้ด้วยสติปัญญาจริงๆ
แล้ว การมองอะไรในโลกก็สู้ไม่ได้ สู้มองเข้ามาในกาย ในใจไม่ได้เพราะเมื่อรู้ความจริงแล้ว
มันก็ปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวเรา เป็นของของเรา
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าเมื่อยังไม่รู้ความจริง
มันก็ต้องมีการยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น ที่มีความทุกข์
เดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา ก็เพราะเรื่องยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียว
ทีนี้จะต้องพิจารณาให้รู้ความจริงขึ้นมาให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการทวนกระแสของความรู้สึกนึกคิด
ที่มันจะพุ่งแรงออกไปภายนอก คือว่าตามสันดานเดิมที่มีอนุสัยหรือโมหะ
ที่มันปิดบังอยู่ข้างใน เราก็ต้องพยายามอยู่ดี โดยที่ไม่ต้องไปเอาอะไรทั้งหมด
ฉะนั้นจึงต้องพยายามที่จะพิจารณาให้รู้จริง เห็นแจ้งขึ้นมาให้ได้
เมื่อมีความรู้จริง ก็มีการปล่อยวางออกไปได้ เพราะถ้ารู้อย่างอื่น
เมื่อรู้แล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นหมดแต่ถ้าได้รู้จริงเข้ามาภายในใจนี่
รู้แล้วมันเบื่อหน่าย แล้วก็มีแต่เรื่องปล่อยวางไปจิตใจก็ว่าง
มันไม่วุ่น จึงมีคุณพิเศษอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นจึงต้องปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้เรื่องเดียว
ซึ่งเป็นจุดสำคัญ ถ้าเราไม่มีการศึกษาพิจารณาตัวเอง ให้รู้แจ้งแทงตลอดแล้ว
เราจะเสียชาติเกิด
สำหรับคำสอนของพระศาสดาก็ยังมีครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง
ในการที่จะอบรมข้อปฏิบัติ ให้คลายออกจากความทุกข์ เดือดร้อน
ที่มีอยู่ในสันดานของเราทุกคน เราต้องมีความเชื่อมันในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พระองค์เป็นผู้รู้ของจริง จนกระทั่งทำลายกิเลส ตัณหา อุปาทาน
ให้ดับสลายไป คือ หมดอาสวะสิ้นเชิง แล้วได้นำเอาธรรมะเหล่านี้มาประกาศเผยแพร่
ชี้แนวทางให้ปฏิบัติไปสู่โลกุตตระ หรือนิพพานแล้วอย่างนี้จะเป็นลาภอย่างประเสริฐหรือไม่
ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดี จะได้เลือกเอาแนวทางที่เป็นการปฏิบัติธรรม
เพื่อความพ้นทุกข์ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น อย่าได้มัวหลงงมงายอยู่ในโลก
ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ให้มากนักเลย ควรจะใช้วันเวลาของชีวิต
พิจารณาตัวเองให้รู้เรื่องจริงว่า รูปนามขันธ์ห้านี้มันเป็นเรือนร่าง
ที่ไม่ใช่ตัวเราหรือตัวใครทั้งหมด มันเท่ากับขอยืมเอาของธรรมชาติมาใช้
แล้วไม่กี่ปี กี่วัน ธรรมชาติเหล่านี้ก็ต้องเสื่อมสิ้นไป
แต่ขณะนี้มันยังประชุมพร้อมกันอยู่ ก็ควรพิจารณาแยกแยะให้รู้เสีย
จะได้ไม่ยึดถือเอาว่า เป็นตัวเราของเราอย่างเหนียวแน่น
เมื่อพิจารณาแยกธาตุดูแล้ว มันไม่ใช่เป็นตัวเราของเรา
แล้วเราก็มีความเชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หรือว่าในพระธรรมคำสอนของพระองค์
เราก็น้อมนำเอามาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเชื่อมั่น เพราะเราไม่เชื่อใคร
ถ้าว่าเชื่อคนหรือเชื่อสิ่งอื่นๆ มันเป็นความเชื่อที่ผิดทั้งนั้น
ทีนี้เราต้องเชื่อมั่นอยู่ในนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่ส่องแสงสว่างอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่าเราได้พิจารณาตัวเอง
จนมีความรู้และได้เห็นความจริงขึ้นมาได้ด้วยสติปัญญาแล้ว
ทำให้รู้สึกว่าการรู้ความจริงภายในจิตใจของเรานี้ เราจะต้องเรียนเป็นหมอเสียเอง
คือตรวจโรค กิเลส ตัณหา ที่มีอยู่ในจิตใจเสียเอง ซึ่งก็เป็นการรู้ยากเห็นยากเหมือนกัน
แต่เมื่อเราได้มีการตรวจสอบมันบ่อยๆ เข้า เราก็ได้ทำลายเชื้อโรคภายในจิตใจให้จางคลายออกไป
หรือเป็นการดับสลายไปได้ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงเหล่านี้เป็นต้น
ล้วนแต่ทำจิตให้เศร้าหมอง เร่าร้อน ทีนี้เรารู้จักดับมันได้
มันมีคุณประโยชน์ตรงนี้ ที่ว่ารู้แล้วจะต้องดับได้หรือเมื่อพิจารณาให้รู้ความจริงแล้วก็ปล่อยวางได้
ทำให้รู้สึกว่าจิตใจที่มันเร่าร้อนมาแต่กาลก่อน ค่อยผ่อนคลายเป็นความสงบเย็นได้
เพราะเหตุนี้
เราจึงได้เห็นคุณค่าพระธรรมวินัยของพระศาสดา ซึ่งเป็นการส่องแสงสว่างและทำลายความมืดภายในจิตใจได้
ดับทุกข์ดับกิเลสได้ตามแต่สติปัญญาของเราที่มีการอบรมหรือพิจารณาอยู่อย่างไร
มีสติยืนรู้อยู่อย่างไร ล้วนแต่เป็นเรื่องของตัวเองด้วยกันทั้งหมด
โดยที่เราได้สนใจศึกษาพิจารณาตามหลักเกณฑ์มาบ้างพอสมควร
เราก็ได้ลงมือปฏิบัติทีเดียว เพื่อจะให้ทันต่อวันเวลาของชีวิตที่มันล่วงไปๆ
อย่าได้มีความประมาทเลยเป็นอันขาด ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร
หรือบางครั้งบางคราวก็ต้องอดทนต่อสู้กับทุกข์นี่แหละ ให้มันเป็นการรู้ความจริงขึ้นมาให้จงได้
เราจะต้องมีสติปัญญา ที่จะเอาชนะทุกข์ เอาชนะกิเลสได้ตามสมควร
ฉะนั้นเราต้องเพียรแล้วเพียรอีก ถ้าปล่อยให้จิตใจถูกกิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำแล้ว
มันจะอ่อนแอไป หรือว่ามันจะชี้ช่องบอกทางไปแต่เรื่องอื่นๆ
เสีย เพราะฉะนั้น ถ้ามันตรงจุดตรงหน้ามากับเรื่องอะไรสิ่งอะไร
ต้องดูให้มันรู้จริงเห็นแจ้ง แล้วมันจะดับทุกข์ได้ ไม่ว่ากิเลสประเภทไหนที่มันเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างไร
มันแสดงปฏิกิริยาเผาลนจิตใจอยู่ในเรื่องอะไรในสิ่งอะไร
เมื่อเราเพ่งพิจารณาดูให้รู้เห็นอย่างถูกต้องแล้วก็ปล่อยวางได้
ทุกขณะไป เราจะสืบทราบจิตใจของเราเองได้ว่า มันมีลักษณะที่สงบจากกิเลสอยู่ในขณะนี้
เพราะว่ายังไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเช่นความโลภ ความโกรธ หรือความหลงเดี๋ยวนี้ไม่มี
จิตนี่ก็กำลังมีความสงบรู้ตัวเองเป็นปกติอยู่ นี่แหละเรียกว่าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
เพราะไม่ใช่ไปถึงพระธรรมที่เป็นตัวหนังสือ หรือในใบลานอะไร
เรื่องธรรมะอยู่ที่จิต ที่มีความสงบ ความว่างจากกิเลสอยู่เดี๋ยวนี้
ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย จงรู้จักธรรมะในลักษณะที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดนี้
ไม่เลือกว่าจะเป็นใครแต่ว่าจิตใจนี้มันหยุดอยู่ได้ มันสงบอยู่ได้
มันว่างอยู่ได้ ในขณะนี้ทีเดียว แล้วเรื่องที่จะรู้ธรรมะไปแบบอื่นๆ
นั้นขอให้หยุดเสียที ขอให้หยุดมาศึกษาธรรมะภายในจิตใจกันดีกว่า
แล้วเราก็จะพูดแต่เรื่องนี้ เพราะถ้าพูดเรื่องอื่นแล้วมันจะมากเกินไป
คือว่ามันจะคลาดเคลื่อนไม่ตรงต่อจิตใจของเราเอง เพราะฉะนั้น
เราจะต้องชี้จุด ให้ตรงเป็นจุดเดียวกันให้หมดว่า ขณะนี้จิตทุกๆ
ดวงกำลังอยู่ในภาวะของความสงบจากกิเลส แล้วก็มีความว่างจากกิเลส
หรือว่างจากตัวตน อะไรก็รวมเสร็จอยู่ในขณะนี้ก็ได้ เพราะเรื่องศึกษาตัวจริง
เราศึกษากันแบบนี้ไม่ใช่ให้จำเอา ไม่ใช่ให้คิดเอา แต่ให้รู้ลักษณะของจิตในขณะนี้
ถ้าเป็นการรู้ลักษณะของจิตที่ยืนรู้อยู่เดี๋ยวนี้ แล้วไม่มีเรื่องอะไรมาก
ขอให้หยั่งทราบภาวะของจิตที่มีความวางเฉย ยังไม่มีการยึดถืออะไรขึ้นมา
แล้วในขณะนี้ก็ไม่มีความทุกข์ นี่ต้องรู้ให้มันจริงๆ ว่าที่กำลังพูด
กำลังฟังอยู่นี้ ไม่มีความทุกข์
เพราะฉะนั้น
การศึกษาตัวจริงเรื่องจิตใจของเราเอง เป็นการศึกษาชนิดที่ถูกจุดหมาย
คือ ว่าไม่เอาเรื่องอื่น ถ้าไปเอาเรื่องอื่นแล้วมันไม่พ้นทุกข์
มันเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะ ซึ่งจิตนี้ถ้าไปรับรู้ รับฟังอะไรมาคิดนึก
มากมายแล้ว ล้วนแต่ท่องเที่ยวอยู่ในวงกลมของสังสารวัฏทั้งนั้น
ทีนี้มันหยุด มันหยุดอยู่เดี๋ยวนี้ การหยุดได้ในขณะนี้ก็เท่ากับการถึงพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เสร็จอยู่ทุกขณะที่หยุดทั้งหมด และลักษณะของจิตที่มีการหยุดรู้ตัวเองนี้
มันเป็นความสะอาด คือไม่มีเรื่องสกปรกโสมมอะไรเลย เพราะได้กวาดทิ้งไปหมดแล้ว
ฉะนั้นจึงหยุดได้ สงบได้ภายใน ไม่ใช่เรื่องภายนอก ถ้าเมื่อเรารู้จักมองด้านใน
ให้แจ่มแจ้งชัดเจนเข้ามาภายในจิตของเราเองแล้วก็จะมีความสว่างด้วยสติปัญญา
หรือว่ามีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลก็ได้ ทั้งนี้ล้วนแต่เป็นการมองด้านในทั้งนั้น
ถ้าเรามีสายตาที่คมหรือเป็นการมองให้แจ่มแจ้งแล้ว เรื่องการบรรลุมรรคผลไม่ต้องพูดถึงก็ได้
เพราะที่มันไม่มีทุกข์นี่แหละ จึงเป็นเรื่องของธรรมะที่ได้บรรลุธรรมอยู่ในตัวเอง
แม้ว่ามันจะยังไม่เด็ดขาดไปทีเดียวก็ตาม แต่ขอให้พยายามสังเกตเอาไว้ว่า
การหยุดทุกขณะนี่ เป็นการหลุดพ้นออกมาจากความทุกข์ได้อย่างไร
หรือว่าเป็นวิมุติคือหยุดพ้นเป็นขณะๆ เรื่อยไป ให้รู้ในลักษณะของจิต
ที่หลุดพ้นออกมาจากความทุกข์ได้ในตัวเอง แต่ถ้าเรามีการเผลอสติไปยึดถืออะไรขึ้นมา
มันจะได้เป็นการรู้สึกได้ง่ายว่า นี่เองเป็นตัวสำคัญคือความเผลอสติไปยึดถือขึ้นมา
พอมีความรู้สึกว่านี่มันทุกข์ ก็เหมือนเราจับไฟ พอมันร้อนเราก็ต้องปล่อย
ขอให้รู้จักในลักษณะของจิตอย่างนี้เอาไว้ว่า เมื่อหยุดแล้วมันก็พ้นทุกข์
มันก็จะไม่ออกไปยึดมั่นถือมั่นเหมือนอย่างแต่ก่อน มันทำให้คืนคลายถ่ายถอนออกไปได้
ในเรื่องของความหมาย ความปรุง ความคิดที่จะมีมาปรุงแต่งจิต
เรากำหนดรู้จิตตั้งมั่นเอาไว้เป็นหลักสำคัญ คือมีสติเป็นเครื่องคุ้มครองจิต
ถ้าเป็นการตั้งได้มั่นคงก็ดับทุกข์ได้ แล้วผัสสะ เช่น
ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเหล่านี้ พอมีสติตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว
ความรู้สึกเหล่านั้นก็ดับ ไม่มาก่อทุกข์ก่อโทษให้ แต่ขณะไหนที่เราเผลอไปยึดถือเข้า
นั่นแหละมันเอาเรื่อง มันร้อน มันทุกข์ขึ้นมาแล้ว
เรื่องข้อปฏิบัติมีเพียงเท่านี้
ขอให้พิจารณากันให้ดี ถ้าเรามีการตั้งสติได้ดำรงสติเอาไว้ได้
ประคับประคองเอาไว้ได้เราก็มีชัยชนะต่อข้าศึก ถือกิเลส
ตัณหา อุปาทาน ที่มันจะเกิดขึ้นมาประทุษร้ายจิตใจของเรา
จะต้องมีสติเป็นเสาเขื่อนเอาไว้ให้ได้ แม้ว่ามันจะล้มลุกคลุกคลานโยกโคลงไปหลายๆ
ลักษณะก็ตาม ก็ต้องฝึกซ้อมกับมัน เอากับมันใหม่ เหมือนเราล้มลงแล้ว
ก็ลุกขึ้นมาตั้งสติรู้ไปใหม่ เรื่องการปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นอย่างนี้
ในฐานะที่เรายังมีกิเลส ตัณหา อุปาทานครอบงำสันดานอยู่
ก็จะต้องมีความอดทนต่อสู้ ชนิดที่จะต้องยอมเสียสละแม้แต่ชีวิต
ต้องต่อสู้กับมันให้ถึงที่สุด ส่วนการเอาวัตถุทำไมถึงยอมสละชีวิตเพื่อวัตถุได้
แล้วเราจะต้องเสียสละชีวิตเพื่อธรรมะจะไม่ได้หรืออย่างไร?
เพราะฉะนั้นเราจะต้องกลับตัวเสียใหม่ เพราะว่าแต่ก่อนนี้ไม่รู้ก็เชื่อ
กิเลสตัณหามันพาไป มันจะเอาอะไรแม้เหน็ดเหนื่อยทุกข์ยากเท่าไร
ก็ยอม มันก็จะเอาให้ได้มันจะต้องเป็นเจ้าเข้าเจ้าของให้ได้
ทีนี้เมื่อมารู้แล้วว่า พวกนี้เองมันสอพลอล่อลวงให้ตกเหว
ให้ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในวัฏฏสงสารมามากมาย ต่อไปต้องตั้งหลักที่จะต่อสู้กับมัน
แม้มายาของกิเลสตัณหาทุกชนิดจะประดังหน้าเข้ามาอย่างไร
ต้องเพียรเพ่งพิจารณา ดับ ปล่อย วางมันให้ได้ และต้องมีสติปัญญาเป็นการลับให้มันคมเฉียบเอาไว้ให้ได้
ถ้าเรามีเครื่องมือที่คมเฉียบอยู่เสมอแล้ว การต่อสู้กับข้าศึกศัตรู
คือ กิเลส ตัณหา อุปาทานภายในมันจะอ่อนกำลังลงไปทุกวันทุกเวลา
ขอให้รู้ว่าการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้ ได้มีการต่อสู้เอาชนะข้าศึกศัตรูภายใน
เพื่อเอาสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นเครื่องสักการบูชา พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์โดยไม่ต้องเอาเครื่องสักการะอะไรมาบูชาเลย เพียงแต่เอาชัยชนะกิเลสขึ้นมาบูชาก็พอ
แล้วนั่นแหละจึงจะมีผลมาก และทำให้พ้นทุกข์ของตัวเองมากขึ้นทุกวัน
เหมือนกับวันเวลาของชีวิตที่หมดไปสิ้นไป ย่อมนำความรุ่งเรืองของสติปัญญาให้แก่กล้าขึ้นมา
จนกระทั่งมีความรู้สึกสดชื่นที่อาบรดด้วยรสของธรรมะที่ไม่รู้จักร่วงโรยตลอดกาล
ฉะนั้นขอให้รู้ลักษณะของธรรมะที่ชนะทุกข์ได้ในชีวิตประจำวันนี้
ท่านเปรียบเหมือนกับดอกบัวที่เบิกบานขึ้นมาเหนือน้ำได้
จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้อยู่ในตัวแล้ว
แม้ว่ากิเลสตัณหา อุปาทานจะมีขึ้นมาอย่างไร มันจะปล่อยวางได้
ชีวิตการปฏิบัติธรรมจึงเป็นแนวทางตามรอยของพระอรหันต์
แล้วก็เป็นการกระทำชนิดที่มีศรัทธาเต็มที่ ที่เชื่อในคุณ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นจุดรวมด้วยกันทั้งหมด โดยไม่ต้องเชื่อตามใคร
เพราะว่าเป็นความจริงอยู่ในตัวของตัวเองอย่างนี้จริงๆ
แล้วจะไม่น่าศึกษา ไม่น่าพิจารณา ไม่น่าปฏิบัติได้อย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องความจริงที่เรารู้ได้ เห็นได้ และไม่ใช่เป็นของเหลือวิสัยเลย
เพราะฉะนั้น
เราจึงต้องสนทนาปรารภกันในเรื่องนี้เรื่องเดียว การที่มาประชุมทำวิสาขบูชาในวันนี้
ในคืนนี้ ก็มีเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราได้มาประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระศาสดานี่ล้วนแต่เป็นนิยยานิกธรรม
เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์โดยส่วนเดียว การประชุมกันในวันนี้
จึงเป็นการประชุมพร้อมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจที่รวมอยู่ในจุดเดียวกัน
คือมีความสงบ รู้อยู่ เห็นอยู่ ว่างอยู่ โดยเป็นธรรมชาติ
ของสภาวะธรรม ที่เป็นเนื้อแท้ เป็นแก่นแท้ เราคัดเอาเปลือกทิ้ง
ถากเปลือกออกทิ้งหมด กวาดทิ้งให้หมด ก็เหลือแต่ภาวะของจิตที่มีความว่าง
ความสงบตามธรรมชาติอย่างนี้อย่างเดียว แล้วเราก็ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอะไรอีก
นอกจากจำเป็นจะต้องทำอะไรก็ทำไปตามสมควร แต่ส่วนใหญ่ส่วนรวมแล้ว
ต้องเข้าอยู่อย่างนี้ เป็นวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่
คือว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายสิ้นอาสวะแล้ว
ท่านมีวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ คือว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายสิ้นอาสวะแล้ว
ท่านมีวิหารธรรมอยู่กับความว่าง ความสงบหรือความดับสนิทโดยประการทั้งปวง
ทีนี้เราก็ต้องมีส่วนตามรอยของท่าน สำหรับเดี๋ยวนี้ก็อยู่ในวิหารธรรม
คือว่าภาวะของจิตที่มีความสงบจากกิเลส เอาจุดนี้ให้รวมกันให้ได้
ในคืนนี้ ในวันนี้ ก็มีวิหารธรรม คือความว่างจากกิเลสอยู่ในขณะนี้ทุกคน
มีจิตที่รวมจุดอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ ในสภาวะของความสงบว่างจากกิเลส
หรือว่าว่างจากตัวตนทุกๆ ขณะไปทีเดียว.
|