"อย่าหลงของเปล่า"
๕ พฤษภาคม ๒๕๑๕
วันนี้จะได้ปรารภข้อปฏิบัติ
เพราะการปฏิบัติที่ได้ดำเนินมาเป็นลำดับ มีการพิจารณาให้รู้เรื่องจริงของตัวเอง
ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งของชีวิตทุกรูปทุกนาย ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัติแล้ว
มันจะมีแต่หลงไหลเพลิดเพลินไปเหมือนอย่างคนที่อยู่ในโลก
ไม่มีการสนใจประพฤติปฏิบัติธรรม ก็จะมีแต่ความชุลมุนวุ่นวาย
ตามกิเลสตัณหาอุปาทานที่มันปรุงแต่จิตให้เร่าร้อนไปตามๆ
กัน แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มีแต่มุ่นหน้าเอาอามิสในโลกกันซ้ำๆ
ซากๆ ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้แก่ความเจ็บความตายที่มีเป็นของประจำตัวกันอยู่
แต่ไม่ได้คิดได้นึกในเรื่องนี้ ที่มันก็มีพยานให้รู้ให้เห็นอยู่ก็เลยไม่มีความกระตือรือร้น
ที่จะออกไปจากการต้องเวียนว่ายตายเกิด ที่มามีความรู้สึกก็นับว่าเป็ฯการปฏิบัติที่จะให้หลุดรอดไปจากวัฏฏสงสาร
โดยเฉพาะการฝึกหัดอบรมจิตในชีวิตประจำวัน
ที่ได้พิจารณาค้นคว้าอยู่ในตัวเองเป็นลำดับมา ก็เป็นเครื่องรู้ได้ว่า
ชีวิตนี้ที่ถูกกิเลสตัณหาปรุงแต่ง มันต้องการอะไรต่ออะไรมากมาย
แต่เดี๋ยวนี้มันได้หยุด ได้สงบ เมื่อมีการพิจารณาเห็นความจริงทุกอย่าง
ที่ปรากฏแก่ตัวเองและเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย ก็ทำให้มีความมุ่งหมายที่จะประพฤติปฏิบัติ
เพื่อออกไปจากทุกข์จากโทษโดยประการทั้งปวง เพราะเรื่องทุกข์นี้มันมีปรากฏอยู่ทุกๆ
ขณะก็ว่าได้ แต่เมื่อมันยังไม่ได้แสดงอการให้รู้ว่า มันเป็นความเผ็ดร้อนหรือเป็นทุกข์ขนาดหนัก
เช่น ทุกข์กายทุกข์ใจอะไรเหล่านี้ ส่วนมากก็ยังมีการเพลิดเพลินอยู่
แต่เมื่อมีทุกข์กายทุกข์ใจเกิดขึ้นอย่างรุนแรง นั่นแหละจึงจะรู้ว่ามันมีทุกข์
ฉะนั้นการที่มีความประมาทเพลิดเพลิน อยู่ในเวทนาที่ยังไม่เผ็ดร้อนอะไร
มันเป็นของสำคัญมาก ทำให้ไม่รู้ความจริงของความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะว่ามันเพลินไปเสียแล้ว จะต้องมีการเพียรเพ่งพิจารณาอยู่อย่างไร
จึงจะทำลายความหลงไม่ให้มันเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ ทั้งๆ
ที่มีสติอยู่แต่มันก็ไม่วายที่จะเพลิดเพลินออกไป แล้วสตินี่จะตั้งมั่นจะพิจารณาได้อย่างไร
จึงจะเป็นการรู้จริงรู้ชัดรู้แจ้งขึ้นมาต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้กัน
เพราะถ้ายังไม่รู้จริง มันก็หลงเพลินไปกับอารมณ์ แต่นี่จะให้มันหยุดดูหยุดรู้
เป็นการเห็นชัดแจ้งกระจ่างลงไปว่า ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป มันไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงแท้ถาวรเลย
ต้องเพ่งพิจารณาอยู่เนืองนิจทีเดียว เพราะว่าอยู่ในเรือนไฟไหม้ของความเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา อยู่ตลอดทุกๆ ขณะ แต่ว่ายังไม่รู้ หรือที่รู้ก็เป็นส่วนน้อย
ยังไม่เพียงพอกับที่มีความหลงระเริงเพลิดเพลินอยู่ ไม่ได้มีการเพ่งพิจารณาให้รู้จริงเห็นแจ้งมันเป็นเรื่องสำคัญ
ข้อปฏิบัติที่จะมองย้อนเข้าด้านใน จะต้องเป็นการทำลายอวิชชาโมหะจึงจะได้
แต่นี่มันยังเพลินๆ ยังเฉยๆ อยู่ ก็ยังติดอยู่ ยังไม่ทะลุเข้าไปได้
จึงต้องเพียรเพ่งพิจารณากาย พิจารณาจิตอยู่เนืองนิจอย่างไร
จึงจะรู้แจ้งประจักษ์จริงว่า ไม่ใช่เป็นตัวเราไม่ใช่เป็นของของเราเลย
มันเป็นเรือนร่างที่อาศัยของธาตุที่ปรุงแต่งกันอยู่ แล้วมีการเสื่อมสิ้นพร้อมที่จะแตกกระจัดกระจายไป
มิวันใดก็วันหนึ่งแน่นอน แต่ความหลงระเริงมันก็ว่าจะอยู่ต่อไปอีกปีหน้าปีโน้นอะไรก็สุดแท้
มันก็คืบหน้าเรื่อยไป แล้วไม่รู้ว่าชีวิตนี้มันจะแตกจะดับไปวันไหนขณะไหน
ก็ไม่มีใครพูดถึง ถ้าไปพูดเข้าก็ดูเหมือนว่ามันจะหมดแรงไปชั่วคราว
หรือไปเห็นคนเจ็บคนตายก็รู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็หลงไปอีก
เพลินไปอีก หรือตัวเองก็มีทุกข์ท่วมทับอยู่ มีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เปลี่ยนแปลงอยู่ในตัวเองมันก็ยังไม่เอาใจใส่พิจารณาให้รู้เรื่อง
มันจึงหลงแล้วหลงอีกอยู่ในตัวเอง ทั้งหมด
ฉะนั้นความหลงที่ไม่รู้ตัวว่าหลง
นี่มันจะยิ่งหลงใหญ่ มันหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวเอง
แล้วหลงออกไปข้างนอกก็มากมายทุกวันทุกเวลาที่อยู่กับความหลง
แล้วมันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าว่าจะอยู่อย่างไหนมันจึงจะไม่หลง
จะอยู่แบบพระได้อย่างไร เพราะแบบพระท่านพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง
ไม่มีอะไรที่น่าจะยินดีหลงไหลเพลิดเพลิน แต่การอยู่ของสามัญสัตว์
นี่มันยังหลงเพลิดเพลินอยู่หลงไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น
ในรส ในสัมผัสกาย มันเป็นของมีรสมีชาติ ยังติดอกติดใจ
แม้ว่าจะรู้เรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาบ้าง ก็ยังรู้เผินๆ
ไม่ได้รู้ซึ้งเลย มันหลงแล้วหลงอีกนั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรดี
ยังปฏิบัติไม่ถูกทางของพระอริยเจ้า ที่ท่านมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่หลง
เรียกว่าเป็นการอยู่ตามรอยของพระอรหันต์ ส่วนเรามีการรู้สึกตัวกันบ้างหรือยัง
ว่าเราได้อยู่ตามรอยของพระในลักษณะอย่างไร ถ้ายังหลงอยู่อย่างนี้มันก็ยังไม่ถูกทาง
ยังเพ้อยังเพลินอยู่ทั้งนั้น ยังมีความรู้สึกตัวน้อยเหลือเกิน
แล้วมันก็หลงอยู่มากกว่ารู้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนี้ มันเป็นความรู้สึกของตัวหรือไม่ว่า
การมีชีวิตหรือมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ เป็นการอยู่ด้วยความไม่หลงหรือว่าเป็นการอยู่ด้วยความหลงมาก
ถ้าไม่มีการพินิจพิจารณาให้รู้สึกภายในตัวเองนี่แล้ว ชีวิตทุกลมหายใจเข้าออกที่อยู่กันวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้
มันก็หลับหูหลับตาอยู่เรื่อยไป
แต่นี่มันจะต้องลืมตาดูให้ทั่วถึง
ว่าภายในทั้งหมดของรูปธาตุนามธาตุที่เกิดๆ ดับๆ แล้วยังยึดมั่นถือมั่นว่า
เป็นตัวเราของเราอยู่ ในเรื่องความอยากความต้องการ ความมีความเป็นอยู่ในเรื่องนี้ในเรื่องรูปนามที่มันแสดงความทุกข์
ก็อยากจะได้ความสุขและมีการดิ้นรนกระวนกระวาย หรือที่มีความสุขก็อยากจะมีให้มันมากขึ้นไปอีก
นี่มันหลงอยู่กับสุขหลอกสุขลวงดิบๆ สุกๆ อยู่นี่ เคลิบเคลิ้มเพลิดเพลินอยู่ทั้งนั้น
ถ้าไม่ได้พิจารณาให้เห็นจริง แล้วมันจะปล่อยวางไม่ได้
มันก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราของเราอยู่ร่ำไป จึงต้องเพ่งพิจารณาให้มันรู้จริงรู้แจ้งให้ชัดใจ
ที่จะต้องเห็นลงไปว่าไม่ใช่เป็นตัวเราเป็นของเราจริงๆ
มันน่าจะดูน่าจะรู้ให้ประจักษ์แจ้งอยู่ในใจ อย่าได้ปล่อยให้เพลิดเพลินไปเลย
ถ้าเป็นการรู้แจ่มแจ้งในเรื่องนี้ได้ จิตนี่จะมีการว่างการสงบ
ไม่หลงไหลเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ภายนอก ไม่ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งอะไรทั้งหมด
หรือจะมีอะไรที่น่าพออกพอใจ หรือไม่พออกพอใจก็ตามล้วนเป็นของว่าง
ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นแต่ประการใดเลย
ถ้าเป็นการรู้การเห็นแจ้งประจักษ์อยู่อย่างนี้
นั่นแหละจึงจะเป็นการเดินตามรอยของพระอรหันต์ได้ แต่ถ้ายังมีการยึดมั่นถือมั่นในอะไรนุงถุงยุ่งยากแล้ว
มันก็เวียนวนอยู่ในวัฏฏสงสารในขณะปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ตายแล้วไปเกิดใหม่
แต่นี่มันอยู่ในปัจจุบันทุกๆ ขณะนี่ที่มันยังยึดมั่นอยู่เท่าไร
มันชุลมุนวุ่นวายอยู่กับอารมณ์ ทางตา เห็นรูป หูฟังเสียง
มันวุ่นอยู่เทาไร ถ้าไม่รู้สึกตัวหรือไม่ซักฟอกให้กระจ่างแล้ว
มันก็แค่รู้อะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง พอมีเรื่องอะไรขึ้น
มันก็เห่อก็ตื่นเต้นไปตามรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั่นแหละ
แล้วมันก็แสดงความเป็นคนหลงออกมาให้เห็น การใช้กายใช้วาจาก็ตาม
ไม่ได้ใช้ไปตามทำนองคลองธรรมที่เรียกว่าเป็นคนมีสติก่อนทำ
ก่อนพูด ก่อนคิด ถ้ายังขืนปล่อยสติอยู่อย่างนี้แล้ว ความรู้สึกภายในจิตในใจมันยังมืดตื๋ออยู่
อย่าทำอวดดีไปเลย
ฉะนั้นการทำอะไรด้วยความมีสติรอบคอบ
จึงไม่ค่อยจะมีติดต่อได้ ประเดี๋ยวมันก็เผลอไปเพลินไป
ข้อปฏิบัติที่จะอ่านตัวเองอยู่ทุกอิริยาบถ ที่มันยังเผลอเพลินไปกับอะไรเป็นเครื่องรู้ได้ว่านี่มันยังเป็นคนหลงไม่ใช่คนรู้
หรือเป็นคนมีสติที่สมบูรณ์เลย ต้องเป็นการซักฟอกของตัวเองอยู่เรื่อยไป
อย่านึกว่าหลงแล้วก็แล้วไป เพลินแล้วก็แล้วไป ต้องเป็นความรู้สึกตัวใหม่ขึ้นมาทันที
พอรู้ว่าหลงก็หยุดทีเดียว ถ้ามันไม่รู้ว่าหลงก็หลงเรื่อยไป
เพราะว่าหลงเรื่อยนี่มันจะยิ่งคลั่งใหญ่ ถ้ารู้ว่าหลงในขณะไหนก็หยุด
พอรู้ว่าหลงก็หยุดขณะนั้น มันจึงแก้กันได้ตรงนี้เอง อย่าให้มันหลงเพลินไปกับรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่มาประจัญหน้าอยู่ ฝึกสติให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
พอเผลอไปก็รู้ขึ้นมาใหม่ให้มันรู้สึกตัวได้ว่า ความเผลอความเพลินมันน้อยลงไป
ไม่ถึงขนาดที่จะไม่เผลอเลย แต่ให้ความเผลอเพลินน้อยลงที่สุดในการใช้กายวาจาใจ
ขณะที่ประกอบกิจการงานอะไรอยู่ก็ตาม แต่ข้อสำคัญอย่าให้มันเพ้อเจ้อไปมากนัก
ให้มันหยุดระงับดับลงไป แล้วหลักสติจะได้ติดต่อมากขึ้น
จะได้เป็นเครื่องรู้สึกตัวด้วยกันทุกคน ถ้าเผลอไผลอะไรไปก็จะได้รู้ว่า
นี่มันหลงมันบ้า มันจะได้หยุด มิฉะนั้นแล้วจะหลงไปใหญ่
จะคลั่งไปใหญ่ สติปัญญาจะต้องเป็นเครื่องบังคับตัวเองอยู่ทุกครั้งทุกคราวทุกขณะทั้งหมด
เพราะไม่มีใครจะมาตักเตือนให้ได้รายละเอียด เท่ากับสติปัญญาที่มีอยู่อย่างละเอียดภายในตัวเอง
จึงต้องมีสติปัญญาเป็นกัลยาณมิตรเอาไว้ให้มากๆ จะได้ขับไล่ไสส่งกิเลสตัณหาอุปาทานให้หมดอำนาจไปทุกที
ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วมันจะแย่ ประเดี๋ยวก็รู้ถูก ประเดี๋ยวก็รู้ผิด
ประเดี๋ยวก็ปล่อยวางได้ ประเดี๋ยวก็ไปยึดถือขึ้นมาอีก
มันเล่นตลกหลอกตัวเองอยู่หลายชั้นเหมือนกัน เมื่อยิ่งดูยิ่งพิจารณาแล้วเราจะจับได้ว่าความหลงยึดถือนี่มันช่างละเอียดเหลือเกิน
แล้วมันซับซ้อนหลอกหลอนอยู่ในอารมณ์ ถ้าเราไม่ได้พิจารณาให้รู้ชัดแจ้งแล้ว
มันหลงเรื่อย มันหลงอารมณ์เรื่อยไป หลงจำหลงคิดเรื่องอดีตอนาคตอะไรก็หลายๆ
อย่างที่ไม่สงบได้มันก็เรื่องหลงทั้งนั้น คอยสังเกตดูว่า
ถ้ามีสติรู้อยู่ทุกอิริยาบถติดต่ออยู่ได้มาก ก็รู้สึกว่าความหลงนั้นมันน้อยลง
แล้วพิจารณาให้เห็นจริงเห็นแจ้งประจักษ์ในความไม่มีอะไร
เพราะมันเกิดๆ ดับๆ ถ้าไม่ยึดถือแล้วมันไม่มีอะไรเลย แต่นี่มันยังหลงยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา
ดีชั่ว ตัวตน สุข ทุกข์ เหล่านี้มันก็มีอยู่จึงควรอ่านมันให้ทั่วถึง
แล้วมันจะกำจัดความหลงให้ลดน้อยลงไปได้ คือมีสติเป็นเครื่องรู้อยู่ตลอดเวลา
ให้มีความรู้ประจำใจเอาไว้
เหมือนกับเรามีเพื่อนเป็นเครื่องเตือนอยู่ข้างใน
ให้รู้ว่าเมื่อมันเผลอไปยึดถืออะไรขึ้นมา ก็บอกว่านี่มันไม่มีหรอกนะ
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาเลย อย่าเพลิดเพลินไปเอาอะไรต่ออะไรเลย
มันเงาหลอกเงาลวง มันเกิดๆ ดับๆ เท่านั้นเอง อย่ามาเล่นกับของลวงทุกลมหายใจเข้าออกนี่เลย
ต้องดูมันเฉพาะเหน้า เฉพาะใจ จึงจะรู้ มันจะได้หยุดเพ้อหยุดเพลินกับสิ่งภายนอก
ที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียงนี่มันก็เพลินไปทั้งนั้น โดยไม่รู้สึกตัวในเรื่องนี้
เพราะมันไม่ได้หยุดดู หยุดรู้ ให้ประจักษ์ชัดที่มีสติอยู่เฉพาะหน้าทีเดียวถ้าเป็นการรู้เรื่องก็อ่านได้ในขณะปัจจุบันทุกขณะไปหมด
ว่ามันไม่มีอะไรดีชั่ว ตัวตนนี่ก็ให้มันหยุดไป หรือให้มันว่างไปเองโดยที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ดูให้เห็นความว่างไม่มีอะไร
ถ้ามันไปยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาเมื่อไร ก็จะได้รู้ว่านี่มันหลง
ตัวหลงมาแล้ว ยึดถือขึ้นมาแล้วมันจะได้รู้สึกตัวขึ้นมาได้
มิฉะนั้นแล้วหลงเรื่อยไป คิดเรื่อยนึกเรื่อยไป ตกลงมันก็อยู่ในป่าหลง
หลงอยู่ในป่ากิเลสตัณหาอุปาทานทั้งนั้นเลย
ฉะนั้นการที่จะอ่านเข้าด้านในมันจึงเป็นของสำคัญมาก
ที่จะให้เกิดสติปัญญามีความรู้พิเศษขึ้นมาภายในตัวของตัวเองได้
โดยวิธีมองทะลุเข้าไป จับความเป็นมายาของอารมณ์ หรือความรู้สึกนึกคิดอะไรที่มันเกิดๆ
ดับๆ อยู่แล้วก็เอาใจใส่กำหนดรู้อยู่ แม้รูปนามจะเกิดดับไปตามธรรมชาติของมัน
แต่ว่าจิตนี่ให้มันรู้อยู่เห็นอยู่แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เอาให้มันได้เรื่องได้ราวเพราะความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวของตัวเอง
มันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ข้างในควรจะเพิ่งพินิจพิจารณาให้รู้จริง
มันจะได้ไม่หลงฝันเพ้อฝันเพลินไปตามอารมณ์ทั้งหลาย สติมันจะยืนหลักได้
จิตนี่มันจะได้ไม่มีตัณหาเข้ามาปรุงจิต ถ้าเราไม่มีสติเป็นการกำหนดระงับดับมันแล้ว
มันมีทุกข์มีโทษขึ้นภายในจิตทั้งนั้น แล้วไม่รู้จะแก้หรือจะดับมันอย่างไร
ในขณะที่มันดิ้นรน เช่นมีความทุกข์ขึ้นมาจัดๆ มันดิ้น
มันต้องการความสุขขึ้นมา อย่างนี้จะต้องมีการกำหนดรู้
แม้ทุกข์นั้นจะมีรุนแรงสักเท่าไรก็ต้องทดลอง กำหนดดูและปล่อยมันให้ได้ว่ามันเป็นทุกข์ของรูปนาม
ไม่ใช่เป็นทุกข์ของเรา ต้องหัดกับทุกข์เอาไว้ให้มากๆ อย่าไปเอาความสุขเลย
เพราะถ้าหลงไหลกับความสุขนี่แล้วมันจะแย่ ตัณหามันจะปรุงมากเข้าอีก
เพราะมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง ต้องพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงหรือความเปลี่ยนแปลงของรูปนามให้ชัดใจไว้ให้ได้
ตัณหามันก็จะหมดฤทธิ์ไป มันจะไม่เข้ามาปรุงแต่งจิตได้
ในขณะที่เรารู้อยู่ เห็นประจักษ์ชัดอยู่ ในลักษณะที่เห็นทุกข์ของสภาวะ
ไม่ใช่เป็นทุกข์ของเรา แยกมันออก ถ้าไม่หมั่นแยกจิตออกจากทุกข์แล้ว
ทุกขณะไปหมดมันหลง มันหลงยึดมั่นถือมั่นไปกับทุกข์ทั้งนั้น
หรือว่าเวทนานี้มันมีรสชาติที่จะให้หลงไหลเพลิดเพลินเมื่อทุกข์เวทนาเกิดขึ้นก็ผลักไส
ฉะนั้นมันจึงหลงอยู่ โดยที่ไม่รู้เรื่อง เห็นว่าเป็นของนิดๆ
หน่อยๆ บ้างแล้วก็เพลินไปเสีย จึงต้องพินิจพิจารณาให้รู้แยบคาย
เป็นเครื่องปล่อยวางเสียให้ได้ ในขณะที่ยังมีโอกาสอย่าไปรอให้มันเจ็บมันตายที่จะต้องพบข้างหน้า
เตรียมเครื่องมืออย่างนี้เอาไว้เสียก่อน เพราะเมื่อเรือนไฟไหม้แล้ว
จะไปขุดบ่อหาน้ำมันจะไม่ทัน ไฟมันจะไหม้หมด จึงต้องเตรียมเอาไว้ในขณะที่ยังมีโอกาสดีๆ
นี่ ยังมีกำลังอยู่ เตรียมรู้ตัวให้ทั่วถึงเสีย อย่าหลงอย่าเพลินไปนะ
อารมณ์ทั้งหลายในโลกดีชั่วสารพัดอย่าง มันของหลอกๆ ทั้งนั้น
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นของจริงจังเลย ถ้าไม่หลงกับพวกนี้แล้ว
จิตนี่มันจะว่างจะสงบมากทีเดียว ที่มันเสียความเป็นปรกติวุ่นวายไป
ก็เพราะมันไปหลงอารมณ์นี่เอง เป็นความจำดีจำชั่ว เรื่องดีเรื่องชั่วก็แล้วแต่
ไม่ว่าเรื่องคนเรื่องของ มันคอยมาปรุง มาหลอกมาล่อให้หลงยึดมั่นถือมั่น
แล้วมันก็พูดเพ้อเจ้อไป
ฉะนั้นการที่จะสงบรู้ตัวเองเป็นเครื่องมองเข้าข้างใน
จึงไม่ค่อยได้แยบคายเพราะว่ามันถูกปรุงแต่งให้หลงไปกับอารมณ์ข้างนอก
นี่มันต้องหยุดดูหยุดรู้อยู่ในตัวเองทุกอิริยาบถ มันจะต้องเผชิญหน้าอยู่กับทุกข์ทุกๆ
ขณะ ถ้ายังอ่านความทุกข์นี่ยังไม่ออก สุขหลอกสุขลวงนั่นแหละมันจะหลอกอยู่เรื่อยไป
ถ้ามีสติปัญญาละเอียดมากจึงจะมองเห็นละเอียด แล้วทุกข์โทษของความเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา มันก็ละเอียดเข้า รู้เห็นละเอียดเข้า แล้วจิตจะมีความหน่ายคลายออก
ที่เคยกอดรัดยึดถือมาเท่าไรๆ มันคลายออก ส่วนอารมณ์ข้างนอกที่เคยเพ่งเล็ง
มันก็จืดจางไปหมด แม้จะคิดเรื่องนั้นจะพูดเรื่องนี้ก็หยุด
มันขี้เกียจจะพูดเพ้อ เพราะถ้ายังพูดเพ้ออยู่ ก็แสดงว่ายังเป็นคนหลง
พอพูดอะไรออกมาก็รู้ว่ายังเป็นคนหลง คนบ้า ทีนี้มันหยุด
เมื่อจะพูดอะไรก็พูดด้วยการมีสติ นี่มันก็เป็นเครื่องหมายของคนปฏิบัติที่ปฏิบัติมากๆ
แล้วมันก็มีปฏิกิริยาที่แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ให้เป็นเครื่องรู้ได้ว่า
การพูดด้วยการมีสติหรือไม่มีสติ ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งหมด
ทำด้วยการมีสติหรือทำด้วยการไม่มีสติ ก็เป็นเครื่องสืบทราบได้ทั้งตัวเองและคนอื่นเขาก็สืบทราบได้เหมือนกัน
แต่ข้อสำคัญมันต้องสืบทราบได้เอง ถ้าเป็นการแสดงออกของกิริยามารยาทของตัวเองแล้ว
จะต้องมีความรังเกียจตัวเองให้มากๆ คือไม่ต้องไปทำเพื่อใครหรือเพื่ออะไรที่ไหนเลย
เพื่อความพ้นทุกข์หรือเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสอยู่ภายในตัวเองทั้งนั้น
การสอบสวนเข้าด้านใน
ให้มันมีสติแก่กล้าขึ้นทุกวันทุกเวลาของชีวิตทีเดียว นั่นแหละมันจึงจะเดินถูกทาง
มิฉะนั้นแล้วมันก็รวนเรอยู่ หรือมันยังเที่ยวไขว่คว้าอะไรต่ออะไรวุ่นวายไป
วันเวลาของชีวิตก็ยังมืด มันไม่สว่าง ต้องรู้เรื่องของตัวเองว่า
การอยู่นี่อยู่ด้วยความมีสติรู้จักโลกทั่วถึงแล้วหรือยัง
หรือมันยังติดอยู่ในวงล้อมของกิเลสตัณหาอุปาทานอยู่ ในขั้นไหนในสิ่งอะไร
มันจะได้เป็นเครื่องสอบสวนตัวเองให้ถูกต้อง แล้วจะได้มีแต่เรื่องปล่อยวาง
เรื่องปล่อยวางนี่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าภายนอกภายในที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร
ถ้าไปเอาจริงเอาจังไม่ว่ากับอะไรล้วนแต่เพิ่งเชื้อเพิ่มทุกข์ทั้งนั้น
ฉะนั้นเรื่องปล่อยวางจึงต้องมีควบคู่อยู่เรื่อย
ไม่ว่าภายนอกภายใน ที่มันไปยึดมั่นถือมั่นเข้ากับอะไร
มันจะต้องหยุดพิจารณาปล่อยวางให้ได้ แล้วจิตใจจึงจะมีความว่างความสงบได้ตามสมควร
ถ้าอย่างนี้แล้วการมีลมหายใจอยู่ทุกวันก็อยู่แบบของพระคือตามรอยของพระได้
ถ้าไม่อบรมอย่างนี้แล้ว มันจะมีแต่เรื่องวุ่นวายส่ายแส่
เมื่อสงบก็สงบเอาสบาย ไม่ได้รู้จริงเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันก็หลงอยู่ในตัวเอง จึงต้องแก้ความหลงของตัวเองเสียให้ได้ว่า
อย่ามาหลงตัวเองอยู่เลย ถ้ายังแก้ตัวเองในเรื่องนี้ไม่ได้
การปฏิบัติก็ไม่พ้นไปจากสังสารวัฏ มันยังหมุนเวียนอยู่ในวงกลมที่ซ้ำซากอยู่ทั้งนั้น
แล้วความรู้สึกของใจจริง ที่มันจะรู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไป
ก็ให้มันอิสระเสียให้ได้ ถ้ารู้สึกว่าความพัวพันอะไรทั้งหมดนี้
มันจืดจางว่างเปล่าคลายออกไปหมดแล้ว จิตมีความเป็นอิสระได้มากขึ้น
อย่างนี้ก็เป็นการรู้ได้ว่า ข้อปฏิบัติมันมีการก้าวหน้า
ชนิดที่จะต้องสืบทราบในตัวของตัวเองในเรื่องนี้ ถ้ามันคลายออกมันไม่ยึดมั่นถือมั่น
จนกระทั่งมันปล่อยวางไม่มีตัวเรา ไม่มีของของเราจริงไม่ว่าขณะไหนทั้งหมด
ก็จะรู้ได้ว่านี่เป็นการเกินตามรอยของพระอริยเจ้าที่มันว่างออกไปจากตัวตน
ย้ำเรื่องนี้เอาไว้ให้มากๆ ถ้ามันยังยึดมั่นเป็นตัวเราของเรา
ยังเพ้อเจ้ออะไรอยู่ นั่นแหละมันยังอยู่ในวงล้อมของกิเลส
แล้วมันยังเป็นคนหลงอยู่หลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ การที่จะแก้ตัวเองให้หลุดรอดออกไปจากทุกข์จากโทษทั้งภายในภายนอก
จึงต้องมีการเพ่งพิจารณาให้รู้ทั่วถึงให้ได้ จนกระทั่งมันรู้สึกด้วยใจจริง
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไร ที่ให้น่าเอาน่ายึดถือทั้งหมด
มันต้องทิ้งเสียก่อน เพราะว่าสุดท้ายมันก็ต้องทิ้งไปเหมือนกัน
แต่ต้องทิ้งมันเสียก่อน ก่อนเจ็บก่อนตายทั้งหมด ต้องพิจารณาดูให้มันทั่วถึงเสีย
แล้วจะได้ไม่หลงยึดมั่นหรือจะได้ไม่มีการพัวพัน มันว่างออกไปได้แล้วก็พิจารณาให้เป็นการกระจ่างแจ้งอยู่ในตัวเองทุกขณะทีเดียว
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นตัวเราเป็นของของเราเลย
ที่ทำนี่ก็ทำไปอย่างนั้นเอง ทำไปเพื่อให้เป็นประโยชน์
ถ้าไม่ได้ทำให้เป็นประโยชน์อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไร
หยุดเสีย เลิกเสียก็ได้
แต่ที่ทำที่พูดนี้ก็เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเท่านั้นเอง
แม้ว่าจะทำกิจการงานก็ต้องช่วย หรือทำกันไปตามหน้าที่แต่ให้ความรู้สึกภายในจิตในใจ
มันไม่ยึดมั่นถือมั่นเอาจริงเอาจัง ไม่เป็นเจ้าของอะไรทั้งหมด
ให้จิตมันหลุดรอดออกมาเป็นอิสระเสียให้ได้อย่างเดียว แล้วไม่มีเรื่องอะไรมากมายเลย
ที่มีเรื่องมากก็เพราะมันหลง มันหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรมันก็ยึดถือว่ามี มันหลอกลวงอยู่ต่อหน้าต่อตาภายในตัวของตัวเองทั้งนั้น
ถ้าไม่พิจารณาแยกแยะออกไป ให้รู้ให้เห็นด้วยสติปัญญาจริงๆ
แล้ว มันจะหลงป้วนเปี้ยนเวียนวนอยู่นี่เอง ประเดี๋ยวไปยึดถือนั่นดีนี่ชั่ว
นั่นถูกนี่ผิดสารพัดอย่าง จะต้องสอบสวนเข้ามาหาตัวเองว่า
มันจะโง่ไปถึงไหน ถ้าสอบให้บ่อยๆ แล้วนั่นแหละมันจะหายโง่ได้
แต่อย่าไปนึกว่าตัวนี่ฉลาดนะ นั่นแหละมันจะยิ่งโง่ใหญ่
ฉะนั้นการสอบเข้ามาหาตัวโง่ตัวหลงภายในตัวของตัวเองได้แล้ว
มันจะเป็นตัวรู้ มันรู้มันก็สักแต่ว่ารู้เท่านั้น เรื่องการสอบเข้ามาหาตัวเอง
ให้มันตรงจิตตรงใจตรงกับความจริงแล้ว มันเท่ากับเปิดลูกนัยตาขึ้นก็มองเห็น
ที่มันเคยมืดมิดปิดบังมาแต่ก่อนที่มันเคยคลำมา งมมามากๆ
นั้น ทีนี้มันมารู้ขึ้นแล้วว่าไม่มีอะไรทั้งหมดที่น่ายึดมั่นถือมั่นเลย
ทั้งๆ ที่ทุกลมหายใจเข้าออกนี้ มันก็ไม่ได้อยู่เอาอะไรเอาเรื่องอะไรเป็นความรู้สึกได้ภายในจิตใจของตัวเอง
ที่มันผ่านๆ มาแล้ว แล้วมันก็ดับไปๆ หมด แล้วชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ก็อยู่ในความว่างความสงบนั่นอง แต่ถ้าไปยึดถืออะไรขึ้นมา
มันก็วุ่นวายยุ่งยากในขณะที่ไปยึดถือมันเข้า ฉะนั้นเรื่องปล่อยวางนี่มันทำให้เปิดหนทางกว้างเข้าคือว่าโล่งไม่มีการคับอกคับใจ
หรือต้องจัดทำอะไรกันมากมายเลย มันเปิดโล่งอยู่ที่ตรงมันปล่อยวางออกไปทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีอะไรเป็นตัวเราเป็นของเราทั้งหมด ทำไป ทิ้งไป ปล่อยไป
วางไป ใจมันก็ว่างเรื่อยไป
เพราะมันไม่ได้ทำเอาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
มันแบบนี้ ถ้าทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแล้วมันจะร้อนแล้วร้อนอีก
ทุกข์แล้วทุกข์อีก มันตรงไปตรงมาอยู่อย่างนี้ ก็สืบทราบได้กันทุกคน
การทำอะไรให้มันเป็นธรรมะหรือไม่ได้เอามาเป็นเจ้าของแล้ว
นี่เป็นการสร้างบารมีแบบของพระโดยตรงแล้วก็ทำได้ ไม่ต้องไปบังคับมันก็ทำได้เอง
แต่ถ้าทำด้วยการยึดมั่นถือมั่นมีตัวมีตนแล้ว มันจะต้องฝืนทำ
ทั้งที่การทำนี้มันก็ไม่ต้องฝืน แต่ตัวตนมันเข้ามาขวางหน้าอยู่
ถ้าทำด้วยความรู้สึกว่า ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของขึ้นมาแล้ว
การทำด้วยความเป็นอิสระภายในตัวของตัวเอง มันจะเผชิญหน้าอยู่กับมรรคผลนิพพาน
ไม่ต้องไปมีความปรารถนาอะไรข้างหน้าข้างโน้น แต่นี่มันเผชิญหน้าอยู่แล้ว
ฉะนั้นขอให้ผู้ปฏิบัติจงพยายามมอง มองให้เห็นประจักษ์ชัดว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างมันดับไปสิ้นไปหมดไปแล้ว เผชิญหน้าอยู่กับความว่างความสงบให้ได้ทุกขณะเถิด. |