"การปล่อยวางตัวตน"
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๕
วันนี้เป็นวันปรารภข้อปฏิบัติ
เพราะการศึกษาธรรมะที่เป็นเนื้อแท้ภายในตัวเองนี้ย่อมมีคุณมีประโยชน์มากมาย
ถ้าหากมีความสนใจพิจารณาให้รู้ข้อเท็จจริงภายในตัวเองแล้วการดับทุกข์ดับโทษในชีวิตประจำวัน
ก็จะเป็นไปอย่างถูกต้องยิ่งขึ้น เพราะตามธรรมดาแล้วไม่ใคร่จะมีใครสนใจ
ที่จะศึกษาธรรมะให้รู้สึกภายในกันเลย จึงทำให้จิตใจไม่ได้รับความรู้ที่เป็นเรื่องของสติปัญญาจริงๆ
แม้ว่าจะเป็นการจำได้หรือคิดได้บ้างแต่แล้วมันก็ท่องเที่ยวไปตามอารมณ์
เพราะเป็นความคุ้นเคยมาอย่างนั้น ทีนี้จะต้องศึกษาเข้ามาหาตัวเอง
มันจึงเป็นเรื่องเฉพาะคนๆ เดียว ถ้าคนไหนมีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้สึกตัวได้
การศึกษาธรรมะก็จะไม่ออกไปนอกลู่นอกทาง เพราะว่ามันรู้สึกเห็นทุกข์เห็นโทษ
ของการเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ภายนอก
ทีนี้จะต้องมาหยุดดูหยุดรู้ตัวเองให้มากที่สุด
มากกว่าที่จะปล่อยให้จิตออกไปรับรู้อารมณ์ภายนอก และจะต้องหยุดเสียที
หยุดบังคับจิตใจอย่าให้มันออกไปหาเรื่อง จำเรื่องคิดภายนอก
นั่นแหละข้อปฏิบัติจึงจะมีการก้าวหน้าภายในตัวเองได้ และการที่จะปล่อยให้จิตใจท่องเที่ยวไปตามอารมณ์นั้น
เดี๋ยวนี้มันเห็นทุกข์เห็นโทษมีการเอือมระอามากขึ้นทุกที
และยิ่งได้เห็นเพื่อร่วมทุกข์ทั้งหลาย ที่ยังตกระกำลำบากอยู่ในด้านโลกๆ
หรือว่ายังมีความต้องการอะไรกันอย่างชุลมุนวุ่นว่ายไปทั้งโลกแล้ว
ความรู้สึกภายในจิตใจมันนึกสงสารว่า ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับแสงสว่างของธรรมะเลย
ไม่ว่าจะเป็นบุคคลชั้นสูงหรือชั้นต่ำ ก็ล้วนแต่มีการท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในทุกข์ในโทษทั้งนั้น
ฉะนั้นเราจึงต้องมีความพากเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นของตัวเอง
และมีจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายด้วย
ตามแต่สติกำลังของเราที่จะช่วยเหลือได้ จึงต้องเป็นไปตามทำนองนี้ตลอดไป
เพราะว่าเรื่องทุกข์ในโลกนี้มีมากมายเหลือประมาณ เช่น
อามิสคือเหยื่อของโลกมันมีรสชาติ ที่ทำให้สัตว์มัวเมาลุ่มหลง
ส่วนผู้ที่มีสติปัญญามองเห็นเหยื่อโลกทุกๆ ชนิดแล้ว มันเบื่อหน่ายไม่น่าไปหลงเพลิดเพลินยินดีกับอะไรทั้งนั้น
จึงทำให้มีการสลัดทิ้งออกไปได้ ส่วนคนโง่เขลาก็เที่ยววุ่นวายยึดถืออยู่
มันก็เป็นทุกข์ไป แต่ว่าไม่รู้สึกตัวเท่านั้นเอง ถ้ามีการพิจารณาให้รู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้แล้วในชีวิตนี้ไม่น่าเอาอะไรเลย
แม้เครื่องอาศัยเช่นจตุปัจจัยสี่ คือจีวรบิณฑบาต ที่อยู่อาศัย
หรือยารักษาโรคเหล่านี้ ควรมีพอประมาณ ไม่ต้องการอะไรมาก
เพราะถ้าต้องการมากแล้ว นั่นแหละมันมีความทุกข์เพิ่มขึ้นมา
ก็จะทำให้จิตใจไม่ว่างไม่สงบเพราะว่ามันอยากจะเอาอยู่เรื่อย
แม้จะเห็นทุกข์บ้างก็นิดๆ หน่อยๆ แต่ส่วนมากยังตกอยู่ในกองทุกข์เพราะมีความต้องการอะไรชุลมุนวุ่นวาย
มันจึงเห็นโทษยาก
โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติที่มีสติปัญญา
พิจารณาเห็นทุกข์จึงเบื่อหน่ายออกไปได้ และเรื่องเบื่อหน่ายนี้
ก็ไม่ใช่ของที่จะรู้สึกด้วยใจจริงได้ง่ายๆ นัก เพราะว่าเหยื่อที่ถูกปากคอหรือว่ามีรสชวนให้อยากได้แล้ว
สันดานของสัตว์ที่ยังมีอวิชชาโมหะหรือตัณหา มันก็ต้องมีความยินดีอยากได้อยู่เรื่อย
ยอมเอาชีวิตเข้าไปแลกกับวัตถุต่างๆ ได้ทั่วไป เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร
แล้วก็ไม่รู้เรื่อง เพราะมันจะเอาแต่เรื่องวัตถุเป็นใหญ่
แม้ว่าจะได้มามากน้อยเท่าไรมันก็ชั่วอาศัยไปไม่กี่สิบปี
ก็ต้องทอดทิ้งไปหมด ส่วนวัตถุธาตุนี้มันก็มีอยู่ในโลก
สำหรับให้ทำให้ใช้ ไปตามความต้องการของตัณหา ครั้นแล้วก็ไม่ได้อะไร
ได้แต่ทุกข์ทั้งนั้น ที่สุดก็ต้องทิ้งไว้เป็นวัตถุของโลกต่อๆ
กันไป และก็ทำอย่างนี้เรื่อยมา เป็นการเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ทั้งหมดผลที่สุดก็ไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไรเลย
ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้ามีเอาไว้ให้ปฏิบัติ
เพื่อจะดับทุกข์ดับโทษ หรือว่าให้พ้นทุกข์พ้นโทษโดยลำดับไปก็ตาม
แต่ส่วนมากไม่รู้หรือไม่ต้องการที่จะรู้ ก็เลยเอร็ดอร่อยอยู่กับยาพิษหรืออามิสในโลกมากมาย
แล้วก็ยังให้เป็นมรดกตกทอดกันไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าเป็นห่วงปากห่วงท้อง
ห่วงแค่เนื้อหนังนี้ช่างเป็นห่วงกันนัก ฉะนั้นจึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับวัตถุเรื่อยไปแต่เฉพาะในสายตาของพุทธบริษัทแล้ว
มันมองทะลุได้ แล้วก็รู้สึกว่าสัตว์ที่โง่ๆ ต้องตกหล่นจมไฟจมน้ำตายอยู่นับไม่ถ้วน
และสัตว์โง่ๆ นี่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ก็คือตัวเองนี่แหละ
มันตกน้ำจมไฟมามากแล้ว พอมารู้เรื่องเข้าหยุดวิ่งไม่เอาอะไร
หรือถ้ายังหลงอยู่อีกก็จะต้องวิ่งต่อไป แต่ก็ชักจะรู้แล้วว่า
การวิ่งวนเวียนอยู่ในโลกนี่มันทุกข์เต็มที ต่อไปนี้จะหาทางออก
ทางหยุดเสียบ้าง จะได้หายใจได้ มิฉะนั้นแล้วมันวนเวียนวุ่นวาย
นี่จะต้องการกันไปถึงไหนก็ไม่รู้ แล้วมันก็ตายไปตามๆ กัน
ขณะที่มีลมหายใจนี้ไม่ใคร่จะยอมหยุดได้ง่ายๆ เลย จะเอาเป็นตัวเราของเราอยู่ร่ำไป
มันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก เพิ่มเข้ามามากมายก็ยังไม่ยอมหยุด
แล้วก็ฉุดกันไปอีก เพราะว่าหลงๆ ด้วยกัน มันว่าดีว่าถูกไปตามๆ
กันเป็นคนใจดี ใจดีเพราะความหลง แล้วใจดีอย่างนี้นี่ซิมันรู้ยากเห็นยาก
ทีนี้เพื่อนก็เข้ามาชักจูงอีกว่า ทำดีแล้วทำถูกแล้ว อดทนทำต่อไปเถอะ
มันคอยหลอกคอยลวงอยู่รอบข้างไปหมด ฉะนั้นต้องคอยระวังให้ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีชีวิตเป็นอิสระแท้ๆ
แล้ว อย่าได้เชื่อฟังพวกหลงๆ นี่เลยเป็นอันขาด ไม่ว่าบุคคลชั้นไหนถ้าพูดออกมาด้วยความหลงแล้วก็อย่าทีเดียว
อย่าไปเชื่อเลย ให้หยุดให้นิ่งเสีย ให้มันวิเศษเท่าไรก็ต้องทิ้ง
เพราะมีแต่เพียงแค่อาศัยก็พอแล้ว ไม่กี่วันมันก็ต้องเน่าเข้าโลงหมด
เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติธรรม
มันได้ความเป็นอิสระภายในจิตใจสูงขึ้นมาแล้วมันก็คายเหยื่อทิ้งไปเรื่อยๆ
แม้ว่าจะต้องอาศัยเหยื่อนี้บ้าง ก็อาศัยเพื่อจะทำประโยชน์ตามสมควร
แต่ในที่สุดแล้วต้องทิ้งต้องปล่อยวางหมด ไม่เอาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
จะทำอะไรก็ไม่ทำเป็นเจ้าของ ทำทิ้ง ทำปล่อย ทำวาง จากตัวเราของเราเรื่อยไป
ถ้าอย่างนี้ได้ ทุกข์มันก็น้อยลง ถ้าไปยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์
มันเป็นโรคร้ายอยู่ในสันดานอย่างนี้ ฉะนั้นคนที่เห็นทุกข์เห็นโทษมันเป็นของยาก
เพราะตัณหามันคอยบังคับ คอยควบขับให้วิ่งไปเอาอะไรต่ออะไรสับสนอลหม่าน
โดยที่ต้องยื้อแย่งแข่งขันกันไปในเรื่องวัตถุทั้งนั้น
ฉะนั้นธรรมะนี้ก็เลยถูกทอดทิ้ง พากันวิ่งหาแต่วัตถุ แล้วก็ทอดทิ้งธรรมะเสียหมด
มันก็เลยอดโซเป็นเปรตชนิดที่คอหอยแห้งไม่ได้กินน้ำแม้อยู่ใกล้สระน้ำก็ไม่ได้กินน้ำ
ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ธรรมะก็ไม่ได้ดื่มรสของธรรมะด้วยใจจริง
ฉะนั้นจึงยิ่งกว่าเปรตที่อดน้ำตั้งกี่กัปป์กี่กัลป์หรือเปล่า
แล้วก็คิดดูซิว่าความหลงไหลนี้ มันไม่ใช่เป็นเรื่องร้อยเรือนพันเรือนหมื่นเรือนแสน
แต่มันนับไม่ถ้วน ต่างคนต่างหลง แล้วก็จูงกันไป ชวนกันไป
จึงทำให้สังสารวัฏในโลกนี้หมุนเป็นไฟจัดขึ้นทุกที แล้วโลภโกรธหลงนี่ก็จัดขึ้นทุกที
ไหม้จิตใจป่นปี้กันทุกวี่ทุกวัน ทั้งนี้จะไม่น่าศึกษาไม่น่าปฏิบัติกันอย่างไรได้
เรื่องธรรมะจึงเป็นเครื่องดับไฟดับทุกข์
แต่คนโง่ๆ ไม่เอาธรรมะเป็นเครื่องดับ มันก็กลับยิ่งทุกข์มากขึ้นทุกที
ส่วนผู้ที่ฉลาดต้องสนใจธรรมะให้มากๆ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะวันคืนของชีวิตนี้มันก็ล่วงไปหมดไป เหมือนกับต้นไม้ใกล้ฝั่งที่มันจะพังลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้
แล้วทุกอายุทุกวัยก็เหมือนกันไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร
ถ้าไม่รีบพยายามปฏิบัติ ให้มีหลักของสติปัญญา เพื่อเป็นเครื่องดับทุกข์ดับโทษ
หรือเป็นเครื่องทำจิตใจให้เป็นอิสระขึ้นมาได้แล้วก็ไม่มีทางอื่นที่จะดับทุกข์ได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความพากเพียรพยายาม ให้เต็มสติกำลังทุกวันทุกเวลาที่เหลืออยู่
แต่ก็ไม่ได้เหลือไว้เอาอะไร ที่เหลืออยู่นี่เพื่อจะได้แก้ตัว
เพราะตัวเองเคยโง่ดักดานมามากๆ นั่นแหละ มันจะได้แก้เสียใหม่จะได้มีความเฉลียวฉลาดขึ้นมา
จะได้ดับทุกข์ดับโทษดับกิเลสภายในตัวเองให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
มันต้องชำระชะล้างจิตใจให้สะอาดจากความสกปรกโสมมเสีย และต้องมีความสนใจที่จะขัดเกลาบรรเทาทุกข์ของตัวเองด้วยใจจริงว่า
ต่อไปนี้จะต้องมีการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์แท้จริงของตัวเอง
ทั้งจะไม่ยอมปล่อยให้วันเวลาล่วงไปกับความโง่เขลางมงาย
แล้วก็เที่ยววุ่นวายไป มันจะต้องยอมหยุดเสียที โดยไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
เพราะว่าต่างก็มาคนเดียว ไปคนเดียวด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้มาเป็นอะไรกันจริงๆ
จังๆ เลย ที่มีความเป็นอยู่นี่ ก็ชั่วเฉพาะเวลาที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น
แล้วก็เพียงแต่สมมุติกันไปว่าเป็นพวกพ้องพี่น้องลูกหลานกันเท่านั้นเอง
แต่พอหมดลมหายใจแล้ว ก็โน่นแหละต้องไปนอนอยู่ที่ป่าช้าคนเดียว
แล้วก็มีญาติพี่น้องที่ไหน? คิดดูซิว่าการอยู่ทุกวันนี้อยู่ทำไม
อยู่เพื่ออะไร แล้วมีวันหนึ่งวันใดก็ต้องทิ้งหมด ไม่มีอะไรเป็นตัวเราเป็นของของเราเลย
ก่อนที่จะเจ็บจะตายต้องทิ้งมันเสียก่อน ต้องพิจารณาปล่อยวางเสียก่อน
มิฉะนั้นแล้วมันจะว้าเหว่เหหัน ถ้าเวลาเจ็บเวลาตายใกล้เข้ามาแล้ว
มันก็ไม่มีกำลังใจที่จะไปพิจารณาปล่อยวางได้ จึงต้องอบรมบ่มสติปัญญา
ให้แก่กล้าขึ้นมาให้ได้ เพราะวันเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่นี้
ก็เพื่อจะอบรมให้มีธรรมะไว้ในใจให้มาก ให้มีความเป็นอิสระให้มากขึ้น
โดยไม่ต้องเป็นกังวลห่วงใยกับอะไรทั้งหมด โดยเฉพาะที่อยู่ด้วยกันทุกวันนี้
ก็เพื่อจะทำประโยชน์ให้แก่กันและกันเท่านั้นเองไม่ได้เป็นการเอาจริงเอาจังกับอะไรนัก
เพราะต้องพิจารณาเห็นจริง ถ้าไม่เห็นจริงแล้วมันยาก เหมือนกับคนที่เจ็บหนักมักกลัวตาย
เพราะยังห่วงหน้าห่วงหลังหลายๆ อย่าง ฉะนั้นจะต้องปฏิบัติเพื่อตัดรอนถอนอุปาทาน
ไม่ให้ยึดถือเป็นตัวเราของเรา เป็นการซักฟอกเรื่องนี้ให้จางคลายออกให้หมด
และไม่ต้องไปเกี่ยวกับอะไร แต่ถ้าตัวการมันยังอยู่ คือตัวกูหรือตัวเรานี้
ถ้ามันยังชูตระหง่านอยู่ละก็นั่นแหละตัวหาเรื่องเก่ง จะต้องจัดการกับตัวกูหรือตัวเราให้หมดพยศร้ายเสีย
จนกระทั่งมันว่างไป เมื่อตัวตนมันผอมเล็กลงไปแล้ว ของของเรานี่ก็เลยลดปริมาณลงได้
มันไม่มีของเราจริงจังที่ไหนอีกเลย
เมื่อพิจารณาซักฟอกอยู่ในตัวของตัวเอง
ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ภายในแล้ว นั่นแหละจึงจะทำลายกิเลสตัณหาที่มันคอยปรุงจิตให้ท่องเที่ยวไปในทุกข์ในโลก
ทีนี้ ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา เป็นเครื่องรู้
เป็นเครื่องละแล้ว มันเป็นของยาก เพราะว่ามันคอยยุแหย่ให้แส่ส่าย
ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมสงบได้ แล้วมันก็บอกว่ารู้แล้ว เป็นการโกหกซึ่งหน้าเสียด้วย
แล้วที่รู้ๆ นี่มันรู้ผิดทั้งนั้นเชื่อไม่ได้ ถ้ารู้ได้ต้องหยุดได้
สงบได้ ก็นี่มันรู้แบบไหนถึงได้วุ่นวายนัก มันเที่ยวมองออกเก่ง
ยังเที่ยวยึดนั่นถือนี่ไปทั้งนั้น แล้วจะรู้ได้อย่างไร
ส่วนคนอื่นเขาโกหกก็ยังรู้ง่าย ทีนี้ตัวเองมันโกหกตัวเองอยู่เท่าไร
มันหลอกลวงตัวเองอยู่เท่าไร มันหลอกว่ารู้แล้ว ตัวกูก็เลยชูหัวใหญ่
ถ้าไปหลงเชื่อตัวนี้แล้ว สำคัญที่สุด รู้ตัวยากที่สุด
เพราะว่าตัวนี้มันตัวมีพิษ มันจะพาให้ท่องเที่ยวต่อไปอีก
เพราะมันรู้ผิดแต่ไม่รู้ตัว นึกว่ารู้ถูกมันจึงได้รู้ยากนัก
เพราะเหตุนี้จึงต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสอบกับตัวเอง
มันจึงจะรู้สึกได้ มันจะรู้ว่าอ้อตัวกูมันเคยชูหัวอวดหยิ่งว่ารู้
ที่แท้มันก็โง่หลงอยู่นั่นเอง ถึงจะปล่อยจะวางอะไรบ้าง
ก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย แต่ว่าส่วนใหญ่นี่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่เพราะฉะนั้นจะต้องจับศัตรูงูพิษคือตัวกูนี้
เอามาฆ่าเสียอย่าไปเลี้ยงเอาไว้ ถ้าฆ่าศัตรูงูพิษคือตัวทิฏฐิมานะภายในนี้ได้
นั่นแหละมันถึงจะมีการก้าวหน้าไปได้ ถ้าไม่กำจัดตัวนี้แล้ว
ตัวนี้แหละมันจะพาวิ่งพาวุ่นพาอวดดีอวดหยิ่งสารพัด แล้วลูกน้องของมันก็มากมาย
เพราะพวกหลงๆ ด้วยกันมีอยู่มาก ฉะนั้นต้องระวังให้ดี เพราะอารมณ์ทั้งหลายล้วนแต่เป็นของหลอกลวงทั้งนั้น
จะไปยึดถือดีชั่วอะไรไม่ได้ ต้องกวาดทิ้งปล่อยวางไป เหมือนกับความฝันที่อยู่ชั่วขณะเดียว
แล้วมันก็ดับ เปลี่ยนเรื่องราวที่เรียกว่าไม่เที่ยง หรือว่ามายาทั้งหมด
มองความจำความคิด หรือว่าความรู้สึกที่เป็นความสุขทุกข์อะไรมันเป็นมายาทั้งนั้น
จะไปเอาจริงเอาจังกับมันไม่ได้เลย แต่ว่าในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้ก็ต้องทำไปตามสมควร
แต่อย่าไปหลงมันอีกไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าหลงในตัวเองนี่มันยิ่งร้าย
หลงข้างนอกมันก็เรื่องข้างนอก ทีนี้หลงอยู่ในตัวรู้เองนี่ซิมันหลงมาก
หรือว่าอาจจะหลงยึดถือภายนอกต่อไปอีกก็ได้เพราะตัวหลงนี่มันตัวสำคัญ
และจะต้องรอบรู้อย่างไรมันจึงจะจับได้ว่า เพราะความรู้ชนิดที่มันหลอกว่าตัวรู้ๆ
นี้ มันเป็นความรู้ผิด ถ้าไม่ตรวจจับเพ่งกลับเข้ามาดับมันหรือมารู้มันแล้ว
มันพาวิ่งวุ่นใหญ่ทีเดียว แล้วก็ไม่ยอมหยุด มันก็วิ่งอยู่ในวงกลมของสังสารวัฏนั่นเอง
ทั้งนี้ก็ลองพิจารณากันดูซิว่า ในสังสารวัฏนี่มันมีดีอย่างไร
มันมีสุขที่ตรงไหน ลองพิจารณาทบทวนดู มิฉะนั้นแล้วมันยังติดอกติดใจนัก
เมื่อพิจารณาให้ได้รายละเอียดอย่างนี้ได้ นั่นแหละการปฏิบัติจึงจะตรงแน่วไปสู่จุดหมายปลายทาง
คือการที่จะออกไปจากเกลียวหมุนนี้อย่างเดียว โดยจะต้องให้พ้นไปจากเกลียวหมุน
คือวัฏสงสารให้ได้ จึงต้องพิจารณาในเรื่องนี้ให้ซ้ำซากอยู่เสมอๆ
และให้มองเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ประจักษ์ชัดอยู่ทั้งภายในภายนอก
จึงจะเป็นการดับกิเลสตัณหาอุปาทานได้เรื่อยไป โดยไม่ให้มันก่อรูปก่อเรื่องขึ้นมาเผาลนจิตใจ
ให้เศร้าหมองขุ่นมัวต่อไป ฉะนั้นจะต้องมีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้
เป็นเครื่องละอยู่รอบด้าน ข้อปฏิบัติจึงจะไม่ถอยหลังมีแต่จะก้าวหน้าเรื่อยไป
ถ้าก้าวหน้าไปไม่ได้ก็ล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะมันทนไม่ไหว
แต่ถึงอย่างไรๆ ก็ต้องหัดปล่อยวางและต้องสลัดทิ้งไปให้ได้
แม้จะทุกข์กายทุกข์ใจจนน้ำตานองหน้าก็ตาม มันจะต้องปล่อยวาง
มันไม่เอาเพราะมันเข็ดมันกลัวเสียแล้ว ถ้าไม่มีความรู้สึกด้วยสติปัญญาอย่างนี้มันก็ยังนอนใจ
คือยังมีความประมาทเพลิดเพลิน แม้จะเป็นเครื่องรู้อะไรของตัวเองในบางสิ่งบางอย่าง
แต่มันก็ยังถูกหลอกลวงโดยอารมณ์อยู่นั่นเอง ฉะนั้นจะต้องเพียรเพ่งพิจารณาอยู่เนืองนิจว่า
จิตใจนี่มันเปลี่ยนแปลงไปกับอะไร เป็นฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายกุศล
ถ้าฝ่ายกุศลแล้วมันต้องรู้ ถ้ามันตกไปฝ่ายอกุศลแล้ว นั่นแหละมันอยู่ในทุกข์โทษทั้งนั้น
เพราะว่าทุกข์โทษที่จะมาท่วมทับจิตใจนี่ก็มาจากความไม่รู้
แล้วก็มีการยึดถือขึ้นมาทำให้พัวพันชนิดที่จะหาทางปล่อยวางไม่ได้
เพราะมันเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเสียอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณาให้รู้ลักษณะของจิต
ที่มันยังมีความพัวพันอยู่กับรูปนามอย่างไร ที่มันยังไม่ได้เพียรเพ่งพิจารณาให้เห็นจริง
แล้วจะต้องมีความรู้สึกได้ว่า เพราะยังไม่ได้มีการเพ่งพิจารณานี่เอง
มันจึงทำให้พัวพันยึดถืออยู่ซ้ำๆ ซากๆ ฉะนั้นจะต้องเพียรเพ่งให้เห็นแจ้งให้จงได้ในความที่ว่างจากตัวตน
ว่างจากตัวตน ทุกๆ ขณะไปทีเดียว แล้วนั่นแหละมันถึงจะเป็นการหยุดได้สงบได้ว่างได้
ตามปรากฏการณ์ของธรรมชาติภายใน ซึ่งเป็นความว่างความสงบแท้จริง
ทุกๆ ขณะทีเดียว. |