"วันครบรอบ
๗๑ ปี (เป็นวันเกิด)"
๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕
วันนี้เป็นวันสมมุติคล้ายวันเกิด
ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๘ เป็นปีที่มีอายุครบ
๗๑ ปี ก็มีเรื่องอยากจะพูดให้ผู้ปฏิบัติทราบ เพราะว่าการประชุมทำความสงบในวันนี้
ถ้าจะเอาชื่อของวัน เดือน ปี ออกเสียแล้ว ก็เป็นอันว่าวันหนึ่ง
คืนหนึ่งนี้เกิดพร้อมกัน เป็นการทำบุญวันเกิดร่วมกันไปเลย
เฉพาะว่าวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ มืดกับสว่างเพียงแต่ตั้งไว้เป็นหลักก็แล้วกัน
นอกจากนั้นไม่ต้องคำนวณอะไรอีก เพราะว่าเป็นของสมมุติเล่นๆ
ไม่ใช่เป็นจริง และจะขอเล่าเรื่องสมมุติให้ฟังบ้างเล็กน้อย
เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังก็มีอยู่ว่า
เมื่อมีอายุได้ ๖ ปี ฉันมีความกลัวคนท้องมาก เมื่อเห็นแม่ท้องแก่
แล้วก็ต้องทำงานหนักก็มีความสงสาร และเกิดความกลัวในเรื่องนี้เรื่อยมา
เพราะความกลัวนี่เองจึงทำให้ไม่ยอมดูและรู้เรื่องของคนคลอดลูก
มันกลัวจับจิตจับใจแม้แต่ได้ยินเสียงร้องครวญครางก็ไม่ได้
ต้องเอาผ้าปิดหูหรือหนีไปเสียไกลๆ พออายุวัยรุ่นก็เกิดความละอาย
จึงไม่ยอมสุงสิงกับใคร มักจะอยู่กับบ้านอ่านหนังสือธรรมะเป็นส่วนมาก
เมื่ออ่านหนังสือธรรมะแล้วก็ได้นำข้อความในหนังสือนั้นมาขบคิดด้วยตนเอง
เนื่องจากความกลัวประกอบกับความอายผสมกันนี่เอง จึงไม่กล้าไปถาม
ใครที่เขามีความรู้ในสมัยนั้นจนกระทั่งได้เข้าวัดรักษาศีลอุโบสถ
ในวันแรกก็อดข้าวเย็นได้ สำหรับวันธรรมดาก็ถือศีลเพียง
๗ ข้อ งดเว้นเรื่องนัจจคีฯ อุจจาสยนฯ แล้วก็มีการสำรวมระวังตัวเป็นพิเศษเรื่อยมา
เพราะการเข้าวัดนั้นมีแต่คนแก่ๆ ก็ต้องสำรวม ตา หู เพื่อไม่ให้มีการมองการฟังออกไปภายนอก
ยิ่งรักษาอุโบสถ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีข้อบังคับตัวเองได้ดีขึ้น
จนกระทั่งมีความเป็นอิสระขึ้นมาเรื่อยๆ แม้ว่าการเข้าอยู่ในวัด
เรื่องการเข้าวัดฟังธรรมะนี่ก็เป็นของสำคัญเหมือนกัน เพราะตามธรรมดาคนแก่ๆ
ก็มักจะเป็นแม่สื่อให้ไปรู้จักกับพระองค์นั้นองค์นี้ เราก็ปฏิเสธไม่ไปรู้จักทั้งนั้น
แม้แต่จะไปพูดไต่ถามเรื่องธรรมะก็ไม่เอาเป็นเด็ดขาดทีเดียว
ใครอย่ามาชวนเสียให้ยากเลย เราก็เลยเป็นอิสระแก่ตัวเองตลอดมา
โดยมากเราอ่านเอาตามตำราและค้นคว้าตามเหตุผลเอง ไม่ว่าบทสวดมนต์บทใดเมื่อสวดแล้วก็เอามาคิดมานึก
เอามาตรึกมาตรองเอามาปฏิบัติเรื่อยๆ ส่วนเรื่องที่จะไปหาเพศตรงกันข้าม
โดยการไปหาธรรมะนี่ไม่เอาเป็นเด็ดขาด มันเป็นอิสระมาตั้งแต่อยู่บ้านทีเดียว
เพราะฉะนั้นการที่รอดตัวมาได้ก็เพราะความกลัว เพราะความละอายสองอย่างนี่จึงเป็นครูเป็นอาจารย์เรื่อยมา
จะไปทางไหนไม่ได้มันจะไปตามอย่างเขาก็ไม่ได้เพราะความอาย
การแต่งเนื้อแต่งตัวก็อายไปหมดทีเดียว จะไปไหนก็อาย รู้สึกตัวว่าความกลัวกับความอายนี้มันช่างจับจิตจับใจเสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะกลัวต่อเพศตรงกันข้ามนี่กลัวมากที่สุด การที่รอดตัวมาได้ทั้งทางโลกทางธรรม
และที่เป็นอิสระมาได้นี้ ก็เพราะความกลัวกับความละอายคอยเตือนใจของตัวเองอยู่เรื่อยๆ
มา ไม่เข้าพวกกับใคร เพราะการเข้าพวกกับคนแม้ในขั้นที่มีธรรมะนี้ก็เป็นอันตรายอีกเหมือนกัน
จนกระทั่งว่ามาอยู่เขาสวนหลวงนี่
เมื่ออายุ ๔๔ ปี ก็ยิ่งเป็นอิสระเรื่อยมา คือว่าเป็นการอยู่อย่างมักน้อยสันโดษ
ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมด ไม่ว่าใครจะไปจะมาก็รู้สึกว่าเป็นอิสระแก่ตัวเอง
ไม่ตื่นเต้นไปกับเรื่องทั้งหลายแหล่ นับว่าเป็นอิสระขึ้นมาจากทางโลกและทางธรรม
จึงรู้สึกว่าชีวิตนี้รอดมาได้ไม่ตกไปเป็นทาสของอะไรทั้งนั้นก็เพราะว่าได้มีการอดทนต่อสู้
เพราะมีความละอาย พร้อมทั้งมีความกลัวมามากนี่เอง มันเลยทำให้เอาตัวรอดได้เรื่อยๆ
มา จนกระทั่งวันนี้ ที่ได้มาพูดปรารภให้ฟังก็เพื่อจะได้รู้สึกตัวบ้างว่า
การเกิดมานี้ควรมีความกลัวต่ออะไรกันบ้าง มีความละอายต่ออะไรกันบ้าง
จะได้รู้ว่าการที่จะเอาชีวิตหลุดรอดออกมานี่นะไม่ใช่ของง่ายเลย
แม้แต่การครองเรือน ถ้าไม่มีความละอาย หรือไม่มีความกลัวแล้ว
มันจะเอาตัวไม่รอดเลย ไม่ว่าวัยไหนรุ่นไหนทั้งหมด
เพราะฉะนั้น
การที่ได้มาศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะที่เป็นเครื่องบังคับตัวเองตลอดมา
ก็ไม่มีใครมานั่งเป็นอาจารย์สอน ต้องอาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้านำมาสอน
"โลกาธิปไตย" ทีนี้ "ธัมมาธิปไตย"
ก็ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าว่าเอาธรรมเป็นใหญ่ได้ ก็จะปฏิบัติถูกทาง
ถ้าหากว่าเอาตัวเป็นใหญ่ก็จะยิ่งแย่ เพราะว่าตัวกูนี่มันชูหัวใหญ่
ถ้าว่าเอาโลกเป็นใหญ่ หรือเอาคนอื่นมาเป็นใหญ่ มันก็อย่างเดียวกันอีก
ยิ่งจะตกหล่มจมอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างเดียวกัน ฉะนั้นต้องเอาธรรมนี้เป็นใหญ่
ยอมเป็นทาสพระธรรมจะลำบากยากเย็นทุกข์จนน้ำตานองหน้า ก็จะเอาพระธรรมนี้มาเป็นใหญ่
เอามาปกครองจิตใจอยู่ทุกวันทุกเวลานาที ต่อสู้กับกิเลสตัณหาอุปาทาน
หรือตัวกูชูหัวอะไรก็สุดแท้ มานะทิฏฐิอะไรทั้งนั้นที่มันเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา
เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี อย่าถือว่าตัวดีตัวถูกตัวเก่ง
ถ้าว่ามันใหญ่โตขึ้นมาเมื่อไรแล้ว ก็จะกวาดธรรมะทิ้งหมดเลย
ซึ่งมีตัวอย่างอยู่แล้ว แม้ว่าจะปฏิบัติมากี่ปีๆ ก็สุดแท้เถอะ
มันกวาดธรรมทิ้งหมด มันจะเอาตัวของมันเป็นใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น
ถ้าว่ามันเอาตัวเป็นใหญ่กว่าธรรมะแล้ว มันฉิบหายป่นปี้อยู่ในตัวเอง
ร้อนแล้วร้อนอีกจนน้ำตานองหน้า แต่ถ้าหากเอาธรรมะเป็นใหญ่แล้วมันจะเย็นอกเย็นใจ
แม้ใครจะมาด่าให้ก็สบายใจ เพราะว่าตัวตนนี้มันไม่ได้แผลงฤทธิ์ออกไป
ไม่ได้ไปยึดถือเอาไว้ มันก็เลยอยู่อย่างสงบได้ ไม่ต้องเที่ยววิ่งพล่านน้ำตาไหล
นี้เป็นเครื่องให้รู้อย่าได้มีความประมาทเลย ไม่ว่าตัวตนนี้จะเกิดมาจากไหน
ต้องระวังให้ดี
แล้วที่บอกว่า
"ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม" นี้ก็ต้องจำให้แม่นๆ
ถ้าว่าตัวกูชูหัวขึ้นมาแล้ว มันจะปฏิเสธธรรมะหมดทีเดียว
มันจะเอาตัวมันเป็นใหญ่ ต้องระวังให้มากๆ ความโลภ โกรธ
หลงนี่มันเป็นของร้ายกาจ ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย แม้ว่าคนอื่นจะมาชมว่าดีอย่างนั้นถูกอย่างนี้ก็ตามอย่าทำอวดดีชูหัวไป
ต้องดูไปอีก ดูไปนานๆ ที่ความรู้สึกของตัวกูชูหัวนี่จะลดอำนาจลงไปอย่างไรบ้าง?
เมื่อกระทบผัสสะมันจะแผลงฤทธิ์ออกมาอย่างไร? นี่ต้องดูให้ทั่วถึง
เพราะฉะนั้นอย่าไปตื่นเต้นเลยกับคำพูด มันพูดกันได้ ธรรมะขั้นไหนก็พูดกันได้
แต่ว่าการแสดงออกของความมีตัวตน หรือการมีทิฏฐิมานะจัดนี่มันตกนรก
เป็นสัตว์นรกอยู่ในตัวเองเสร็จ แล้วใครจะมาช่วยได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยคนอย่างนี้ไม่ได้
คนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าว่าใครเอาพระธรรมเป็นใหญ่แล้ว
พระธรรมนั่นแหละจะคุ้มครองไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว คุ้มครองจิตใจให้เป็นอิสระได้
เพราะฉะนั้นจะต้องสนใจให้มาก และอดทนต่อสู้ทุกอย่าง ให้มีความละอาย
ให้มีความกลัวให้มาก เพราะว่าความกลัวหรือความละอายนี้มันเท่ากับเป็นกัลยาณมิตร
หรือเป็นเพื่อนสนิทคอยเตือนอยู่ทีเดียว ถ้าจะทำอะไรผิดพลาดพลั้งเผลอไปในอะไรมันคอยเตือนให้รู้
ให้กลัวทุกข์โทษ และมีหิริโอตตัปปะ ให้มีความละอายหลายๆ
อย่างที่จะแสดงออกมาอย่างไร ถ้ามีหิริโอตตัปปะแล้วมันสงบไปได้
ไม่ว่าจะผิดในแง่ไหน ในอะไรทั้งหมด พอมันมีขึ้นมาแล้ว
มันห้ามได้มันคุ้มครองป้องกันได้หมด มันไม่ได้ลุอำนาจของกิเลสชนิดที่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกจนน้ำตานองหน้า
ล้วนแต่เป็นการถูกตบถูกตีทิ่มถูกแทงด้วยกิเลส คือมานะทิฏฐิ
ที่มันเป็นเชื้อโรคร้ายอยู่ภายในทั้งนั้น แล้วก็ต้องกลัวให้มาก
อย่าได้มีความประมาทเลย
การทำข้อปฏิบัติ
หรือว่าการศึกษาธรรมะมาก็ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น เพื่อจะอดทนต่อสู้ผัสสะเครื่องกระทบ
ถ้าว่าผัสสะชนิดไหนที่มันไม่ตรงเข้ามาหาตัวมันก็ฟังได้
แต่ถ้ามันตรงเข้ามาหาตัวแล้ว ถ้ามีเจ้าตัวกูชูหัวขึ้นมาแล้ว
ก็ระวังให้ดี ถ้าว่ากดหัวตัวกูลงไปได้มันก็โล่งอกโล่งใจ
แต่ถ้ากดมันไม่ได้ ปล่อยให้มันมีอำนาจขึ้นมา มันก็โกยธรรมะทิ้งหมด
แล้วมันก็วิ่งอ้าวไปเหมือนสุนัขขี้เรื้อน จึงมีแต่ความทุกข์อย่างน่าสมเพชเวทนาที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่ามันจะไปช่วยกันได้อย่างไร
ถ้าว่าตัวเองนี่ไม่เอาธรรมะเสียอย่างเดียวแล้ว ใครจะมาช่วยได้
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ตัวเองจะต้องช่วยตัวเองด้วยกันทุกคน
ต้องมีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาดับทุกข์ ดับโทษ ดับโลภ
ดับโกรธ ดับหลง และสารพัดที่จะต้องดับ ที่จะต้องอดทนต่อสู้อยู่ในตัวเองก็มากที่จะต้องมีการกระทบกระเทือนกันก็มาก
มีทั้งภายนอกภายในที่จะต้องรู้เท่าทันมัน
ทีนี้การศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะ
ที่ยังไม่ได้อ่านตัวจริงของเจ้าทิฏฐิมานะหรือเจ้าตัวกูนี่เองมันจึงได้มีการแผลงฤทธิ์เอาอย่างน่าละอาย
ละอายคนอื่นนั้นมันอย่างหนึ่ง แต่ละอายอยู่ในตัวของตัวเองว่า
เสียแรงศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะมาแล้วกลับมาพ่ายแพ้ต่อตัวกูตัวเดียวนี่เอง
พอมันใหญ่โตขึ้นมาแล้วจึงได้เตลิดเปิดเปิงไป เหมือนกับไฟที่ไหม้บ้านป่นปี้ไปอย่างนั้นแหละ
นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ให้ทุกคนมีความรู้สึก โดยอย่าได้มีความประมาทกันเลยในเรื่องนี้
ถ้าจะเป็นทาสพระธรรมแล้วจะต้องอดทนต่อสู้ทุกอย่างแม้จะเป็นคำด่าว่าสารพัดสารเพ
ก็ต้องน้อมเอาไว้กดหัวตัวกู ถ้าว่าเป็นทาสของพระธรรมต้องได้อย่างนี้
แล้วก็เรื่องที่จะทะนงตัวอวดดีอะไรอย่างนี้ ต้องลดปริมาณลงไปเรื่อยทีเดียว
ไม่ว่าทั้งผิดทั้งถูก แม้จะมีใครมาว่าผิดๆ ก็รู้ หรือจะมาสรรเสริญในแง่ถูกต้องอย่างไรก็ตาม
จะต้องวางเฉยได้ ไม่เห่อไม่ทะเยอทะยาน ไม่ยกหูชูหาง แล้วนั่นแหละจะเป็นการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อยู่ในตัว
โดยถูกต้องถ่องแท้ทีเดียวไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้ายังไม่เป็นอิสระแก่ตัวเองได้
มันก็เที่ยววิ่งหัวซุกหัวซุนไป ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
แต่ก็เป็นตัวอย่างที่จะให้เป็นพยานเพื่อเป็นเครื่องสอบเป็นเครื่องรู้ของตัวเองทั้งนั้น
เรื่องการศึกษาธรรมะไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดธรรมะตรวจต้นฉบับธรรมะ
หรือเขียนต้นฉบับธรรมะประเภทใดก็ตาม ถ้าว่าไม่ได้น้อมเอามาดูตัวเอง
มาสอบตัวเองแล้ว ทำไปตั้งมากมายก็ดับทุกข์ดับโทษไม่ได้
และก็ไม่ได้รับรสของธรรมะอีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นมันต้องตรวจสอบเข้ามาให้รู้ทุกข์โทษด้วยใจจริงว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีการเกิด เพราะว่ายังมีกิเลสด้วยกันทุกคน
แต่ว่าพอเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สึกกลัว ถ้าจะทำอะไรออกไปก็รู้สึกละอายแก่ใจของตัวเอง
และก็พยายามทำผิดให้น้อยลง แม้ว่าไม่ถึงขนาดจะไม่ทำผิดเลยก็ยังไม่ได้เหมือนกัน
เพราะว่าเราต่างก็มีโรคกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมันกระทบอะไรเข้าเล็กน้อยก็รู้สึกมีความทุกข์ทางจิตใจ
ทีนี้ลักษณะของความทุกข์คือการกระทบผัสสะนี่เอง ถ้ามันเกิดทุกข์ที่ไหนก็ให้ดับมันที่นั่น
ถ้าเรารู้อย่างนี้ได้เราก็จะดับทุกข์ได้ถูกจุดหมาย แต่ถ้าเราไม่รู้ยิ่งจะแผ่ซ่านไปใหญ่
แล้วก็จะคิดนึกปรุงแต่งมากมายออกไปยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อหนักขึ้น
ข้อสำคัญในเรื่องนี้ก็คือว่า
จะต้องมีสติตั้งมั่น คำว่ามี "สติตั้งมั่น"
ต้องสนใจให้มาก เพราะเป็นการอบรมสติโดยตรง ขณะนี้ยังไม่ต้องรู้อะไรมาก
เพียงแต่อบรมสติโดยตรง ให้ตั้งมั่น ดูทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์กายทุกข์ใจทุกข์อะไรก็สุดแท้
ดูอยู่อย่างเดียว มีสติตั้งมั่นรู้อยู่อย่างเดียว จึงจะเป็นการต้านทานความปรุง
ความคิด ความจำ ที่จะหลั่งไหลเป็นกระแสไป แล้วทีนี้พอว่ามีสติตั้งมั่น
รู้อยู่ ดูอยู่ จิตจะต้องฝึกซ้อมอยู่ในเรื่องนี้ให้มากๆ
เพราะว่าถ้าไม่มีหลักของสติให้เป็นเสาเขื่อนเอาไว้แล้ว
เป็นของยากในการจะทวนกระแสของความรู้สึกที่เป็นอำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทาน
แล้วจิตนี่มันจะไม่มีกำลัง เพราะมันถูกปรุงมากๆ เข้ามันก็หมดกำลังไปเลย
เพราะฉะนั้นต้องเอาเรื่องนี้ให้เป็นหลักเสาเขื่อนเอาไว้ให้ได้
ต้องมีสติตั้งมั่นทีเดียว ดูทุกข์ อย่าเอาสุข เพราะเรื่องที่อยากจะได้สุขนี่เอง
มันทำให้เสียกำลังใจไปทั้งหมด
ถ้าว่าเป็นการ
รู้อยู่ เห็นอยู่ ในสภาวะทุกข์ว่า เป็นทุกข์ของรูปของนามไม่ใช่เป็นทุกข์ของเรา
แต่ต้องดูกันอย่างจริงๆ อย่าดูเล่นๆ ไม่ได้ เพราะว่าความสอพลอของกิเลสตัณหาที่มันอยากจะได้ความสุขมันจะมาขัดขวาง
เพราะฉะนั้นต้องเอากับทุกข์ เพ่งทุกข์ ดูทุกข์ ให้ทุกข์แสบเผ็ดอย่างไร
ก็ดูมัน รู้มันอย่างเดียว จนกระทั่งรู้ว่าทุกข์ไม่ใช่เป็นตัวเรา
เป็นของของเรา มันเป็นความรู้สึกของรูปนาม แล้วพร้อมกันนั้นก็ต้องเห็นว่ารูป
คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อะไรนี่กำลังมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะหมด
ความรู้สึกที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่าเป็นนามธรรม
มันก็เป็นความรู้สึกเฉพาะของรูปกับนามรู้สึกกัน แล้วก็มีสติตั้งมั่นรู้อยู่
เห็นชัดอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จึงเป็นการเพิกถอนทำลายความยึดถือว่า
รูปหรือร่างกายนี้เป็นตัวเรา สุขทุกข์นี้ก็เป็นเราอีก
ที่เคยยึดถือมาอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเพ่งดูแล้วรู้ว่าไม่ใช่เรา
รูปก็เป็นสักแต่ว่าธาตุ นามก็เป็นสักแต่ความรู้สึกเท่านั้น
แล้วจิตนี้ก็มีสติตั้งมั่นอยู่อย่างเดียวแล้วจะเอาชนะความทุกข์ได้
ไม่ว่าทุกข์กายทุกข์ใจ นี่เป็นวิธีที่เราจะต้องอบรมสติให้เป็นหลักฐานมั่นคงเอาไว้ให้ได้
อย่าให้มันอ่อนแอไปตามอำนาจของเวทนา ทั้งเวทนากาย หรือเวทนาจิตก็ตาม
คือว่าไม่ใช่นั่งเอาความสุข ไม่ใช่ยืนเอาความสุข ไม่ใช่เดินเอาความสุข
จะต้องดูชนิดที่ว่ามันเป็นความทุกข์ เคลื่อนไหวไปทั้งรูปธาตุ
นามธาตุแล้วก็ดูมัน รู้มันอยู่อย่างนี้ เป็นแต่สักว่ารูปธาตุ
นามธาตุให้ปรากฏชัดแจ้งอยู่ภายในใจ ถ้ามีความรู้ได้อย่างนี้
ชัดใจอยู่แล้วจะดับทุกข์ได้ทันที มันจะหยุดไปหมดทีเดียว
มันเงียบไปหมด ความปรุงคิดที่จะมาปรุงแต่งจิตก็จะหยุดระงับไป
แต่ก็ต้องพยายามประคับประคอง เพราะว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้อีก
เช่นความจำหมายอะไรขึ้นมาในระยะใกล้ชิด ก็ต้องมีสติที่คอยประคับประคองรู้อยู่เห็นอยู่
แล้วจิตนี้จะเป็นอิสระได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว การทำกัมมัฏฐานบทไหนๆ
ก็สู้ไม่ค่อยไหวเพราะว่ามันอ่อนแอ โดยไม่ได้กำหนดสติให้จริงนั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะกำหนดลมหายใจ
ก็ต้องให้จริงให้ติดต่ออยู่ทีเดียว อย่ากำหนดหละหลวมไม่ได้
การกำหนดที่เป็นความตั้งมั่นในการมีสติติดต่อ ถ้าเป็นไปได้ในระยะยาวแล้วจิตนี้จะมีความสงบได้
มีหลักฐานมั่นคงได้ แต่ถ้าว่ายังไม่มีความสงบในระยะนานพอแล้ว
ถ้ามีการเปลี่ยนอะไรขึ้นมา เช่นกับเปลี่ยนอิริยาบถ มันจะคลายออกมารู้สึกต่อสุขทุกข์อะไรในขณะที่เปลี่ยน
หรือว่ามีเวทนาขึ้นมาแล้วจะมาลูบคลำกับเวทนาอีก เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ว่าเวทนาทั้งสุขทั้งทุกข์
หรือไม่สุขไม่ทุกข์นี้ ให้เป็นสักแต่ว่าความรู้สึก ต้องประคองไม่ให้ไปพอใจ
หรือไม่พอใจ ต่อเวทนา แล้วจิตจึงจะพ้นจากเวทนาได้ และไม่ถูกเวทนาหรือตัณหาเข้ามาย้อมมายั่วปรุงแต่ง
หรืออยากโน่นอยากนี่ การกำหนดจิตให้มีสติตั้งมั่น ต้องเป็นการฝึกจริงๆ
ถ้าเป็นการฝึกอ่อนแอแล้วไม่ได้เรื่อง จะมีแต่ความพ่ายแพ้ไป
เพราะการอบรมจิตนี้ ต้องทำจริง เพียรจริง แต่ไม่ใช่เอาความอยากเข้ามาจัดจนเกินไป
ถ้ามีความอยากมากแล้วมันขัดขวาง มันทำให้จิตนี้กำเริบ
ฉะนั้นจะต้องรู้ว่าตัณหานี่ มันมีลักษณะยั่วแหย่อย่างไร
ทำให้ดิ้นรนขึ้นมาในลักษณะอย่างไร? แล้วจะต้องมีการรู้จักบังคับมันได้อย่างไร?
วิธีที่จะอบรมจิตหรืออบรมสติ ก็ให้อบรมสติเป็นพื้นไปทีเดียว
และจะต้องทำให้มากอยู่ในเรื่องนี้ ให้ตั้งมั่นให้ได้ ให้เป็นหลักฐานมั่นคงขึ้นมาให้ได้
จึงจะมีโอกาสเพ่งพิจารณาได้ เมื่อมีการเพ่งพิจารณาจนรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาแล้ว
มันก็ปล่อยวางไป ยกเลิกเพิกทิ้งไปได้ทีเดียว จะโล่งอกโล่งใจเพราะความไม่เกี่ยวเกาะยึดถือนั่นเอง
เรื่องอบรมจิตนี้ต้องพยายามให้มาก อย่าให้มันอ่อนแอไป
ให้มันเป็นอิสระรู้จักตัวของมันเองว่า มันจะต้องมีการปล่อยวางให้ได้ไม่ให้ไปพัวพันกับอารมณ์ทั้งดีทั้งชั่ว
ต้องยกเลิกทิ้งไปให้หมด แล้วความรู้สึกด้วยสติปัญญาแท้ๆ
มันปลดเปลื้องเรื่องราวต่างๆ ที่ทำความวุ่นวายสลายตัวไปได้หมด
แล้วจิตนี่ก็จะไม่เร่าร้อน มีแต่ความสงบ มีความเย็นได้
เพราะเหตุนี้จึงต้องพยายามที่จะต้องอบรมสติให้มาก แล้วก็มีปัญญาที่เป็นเครื่องพิจารณา
ให้รู้เห็นความจริงเพื่อทำการปล่อยวางให้ได้ จะได้เป็นการดับทุกข์ดับโทษของตัวเอง
มันต้องให้รู้เองเห็นเองอย่างนี้จึงจะได้ อย่าเที่ยวแส่ไปเลย
แล้วจะไปเอาความรู้กับใครที่ไหน
ฉะนั้นความรู้ที่เป็นการอ่านการฟัง
มันก็เท่ากับเป็นแผนที่อยู่แล้ว แต่ตัวจริงนี้มันต้องมากำหนด
ต้องมารู้ ต้องมาพิจารณา มันถึงจะปล่อยวางได้ เรื่องจริงมีอยู่อย่างนี้
มันถึงต้องใช้สติปัญญาของตัวเองเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะตรวจโรคกิเลสไม่ว่าขั้นไหนทั้งหมด
ถ้าว่ามัวหลับหูหลับตาอยู่ละก็ต่อให้ปฏิบัติไปจนตาย มันก็ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเองขึ้นมาได้
แล้วก็เที่ยวส่ายแส่ไปตามเรื่องตามราว มันก็ไม่พ้นทุกข์ของตัว
แล้วก็จะไปโทษใคร? ฉะนั้นเรื่องสำคัญของชีวิตนั้นอยู่ที่นี่
อยู่ที่การอ่านตัวจริง ที่มีอยู่ในจิต ในใจทั้งหมดนี่
มันไม่ต้องเที่ยววิ่งหัวซุกหัวซุนไปทางไหนไปรู้อะไรที่ไหน
ถ้ามันไม่รู้จักตัวของมันเองแล้ว ก็จะตกหล่มจมเหวอยู่นี่เอง
ให้เรียนมากรู้มากเท่าไรๆ ก็ช่วยไม่ได้ ยังช่วยดับทุกข์ดับกิเลสไม่ได้เลย
ยิ่งรู้มากเสียอีกมันจะยิ่งทะนงตัวอวดเก่ง ถ้าว่ารู้น้อยๆ
ก็ค่อยยังชั่ว แม้จะถูกกระทบกระทั่งบ้าง หรือถูกตักเตือนก็ไม่ค่อยจะแผลงฤทธิ์
แต่ว่าคนรู้มากๆ นี่มันอวดเก่ง มันยิ่งอวดเก่งมากมันก็ทิ้งธรรมะหมด
ต้องระวังให้ดี อย่ามีความประมาทเลยในเรื่องนี้ เพราะว่าตัวทิฏฐิมานะนี่มันร้ายกาจเหลือเกิน
แต่เรื่องตัวตนนี้ก็ยังมีอยู่ด้วยกันทุกคน จึงต้องคอยควบคุมไว้ให้มันอยู่อย่าเที่ยวเอะอะเพ่นพ่านไป
มันต้องยอมเสียบ้าง ใครจะว่าถูกผิดดีชั่วก็ยอมเซ็นใบยอมเสีย
เป็นการลดทิฏฐิมานะลงไป ถ้าไม่ยอมเซ็นใบยอมแพ้หรือยอมรับผิดแล้วมันก็ร้อนแล้วร้อนอีก
ควรสอบได้ทุกคนถ้ามันไม่ยอมแล้ว ความย้อมใจด้วยกิเลสหรือตัวตนอะไรสารพัดที่มันจะเข้ามาย้อม
แต่พอย้อมแล้ว มันคลายออกจนรู้สึกว่า ใจนี้มันว่างมันสงบ
เพราะมันคลายออกไปได้ ไม่ใช่เป็นตัวเราของเรา การยกหูชูหางก็คลายออกเรื่อยไปทีเดียวไม่ตื่นเต้น
แม้ว่าใครจะมาชมว่าดีว่าถูกมันก็ไม่ตื่นเต้นไม่เห่อ หรือว่าใครจะติเตียนมันก็ฟังได้
ไม่มีการยกหูชูหางแต่ประการใด ถ้าทำลายมันได้ ดับมันได้
แนวทางที่จะไปสู่โลกุตตรสุญญตา คือความว่างจากตัวตนมันก็เป็นไปได้เรื่อยๆ
ข้อปฏิบัติอย่างนี้ ก็จะหนีพระนิพพานไม่พ้น
เพราะฉะนั้นสำหรับวันนี้
เราเกิดมาไม่เสียเที่ยวไม่เสียที ที่ได้มาปรึกษาหารือกันในเรื่องทุกข์เรื่องกิเลส
แล้วเราก็มีวิธีดับทุกข์ดับกิเลสได้ตามสติปัญญาของเราทุกคนจึงเป็นผลกำไรที่น่าพอใจอยู่แล้ว
ฉะนั้นขอให้ผู้ปฏิบัติ จงมีความพยายามพากเพียรให้เต็มสติกำลังทีเดียว
ในการที่จะดับทุกข์ ดับโทษนานัปการที่มีอยู่ในสันดานนั้นให้มันจางคลายออกไป
เพราะได้รับแสงสว่างของธรรมะที่ปรากฏให้รู้ให้เห็นเอง
โดยความเป็นของ "ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน"
ซึ่งเป็นการอ่านให้ชัดภายในโดยมีสติเป็นเครื่องกั้น มีปัญญาเป็นเครื่องปล่อยวาง
แล้วก็จิตใจนี้จะมีความสะอาด จะมีความสงบได้ทุกๆ ขณะทีเดียว.
|