"ไม้สดที่ชุ่มอยู่ด้วยยางคืออะไร
?"
๒๕ เมษายน ๒๕๑๖
วันนี้เป็นวัดเปิดโอกาสให้มีการปรารถข้อปฏิบัติ
เพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีการปฏิบัติมาเป็นลำดับ แต่ว่าเรื่องกิเลสนี้
มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการระมัดระวังให้มาก เพราะว่ามันเกิดง่าย
จึงต้องมีการพินิจพิจารณาดูว่า ทำไมกิเลสถึงได้เกิดง่ายนัก
มันเป็นอย่างไร มันไปแอบอยู่ที่ไหน จึงได้มีการโผล่ออกมาเผาลนจิตใจ
ให้ชอบบ้างไม่ชอบบ้างเพราะเหตุอะไร เราทุกคนก็มีความประสงค์จะดับทุกข์ดับกิเลสให้ได้ผลดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ
แต่ว่าจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าหาเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแต่มีความรู้บ้างไม่รู้บ้าง
แล้วก็ไม่ได้พินิจพิจารณาว่า เหตุผลมันเป็นอย่างไร เหตุที่มีเป็นอย่างไร
เหตุที่ก่อเรื่องเลวร้ายขึ้นมาเป็นเพราะอะไร จะต้องค้นคว้า
ไม่ใช่ว่าดีก็ดีไป ว่าร้ายก็ร้ายไป แล้วจะไปดับทุกข์ดับกิเลสให้ถูกต้องได้อย่างไร
เรื่องทุกข์หรือเรื่องกิเลสเป็นเรื่องประจำสันดานมาด้วยกันทุกคน
เป็นของรู้ยากละยาก ถ้าไม่ได้ค้นคว้าหาเหตุผลแล้วจะยิ่งหลงงมงายไป
เพราะกิเลสมันเผาจิตใจให้ร้อนรน แต่เราก็ยังเห็นเป็นของดีของถูกสำหรับตัวเองอยู่
แล้วยังเข้ากับกิเลสและคบเอากิเลสมาเป็นมิตร ซึ่งเป็นผลร้ายอยู่ในตัวเอง
ก็ลองคิดกันดู เพราะฝ่ายที่มีการได้อะไรสมประสงค์อย่างนี้ไม่เห็นโทษ
แต่เห็นดิบเห็นดีไปกับมัน ถ้าสิ่งไหนไม่สมประสงค์เป็นการเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา
จึงจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ แต่ว่าส่วนที่ได้อะไรสมใจอยาก
มันสะสมอมเชื้อเข้าไว้มากมายเท่าไร มันรู้ยากละยาก เพราะว่าเราต้องการจะได้สมประสงค์อยู่ทุกอย่าง
ในเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย และธรรมารมณ์ ล้วนแต่ต้องการดีๆ
ถ้าสิ่งไหนที่มันไม่ดีก็ไม่ชอบใจ แล้วอย่างนี้จะปฏิบัติให้ถูกทางของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
เพราะว่ามันยังเลือกที่รักผลักที่ชังอยู่ ไม่ได้พิจารณาให้เห็นโทษทั้งสองอย่าง
ทั้งความดีใจมันก็เป็นทุกข์ และความเสียใจก็เป็นทุกข์
หรือว่าความพอใจก็เป็นทุกข์ ความไม่พอใจก็เป็นทุกข์ หรือว่าโสมนัสก็เป็นทุกข์
โทมนัสก็เป็นทุกข์เท่ากัน แต่เราส่วนมากไม่รู้เรื่อง มันชอบเรื่องหนึ่งแล้วก็ผลักใสอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะว่ามีความต้องการมากในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย
ซึ่งเป็นความเอร็ดอร่อยของตัวเอง แล้วอย่างนี้ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของพระยามาร
ไม่ว่าจะได้มาซึ่งปัจจัยสี่ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
หยูกยาแก้ไข้ ทั้งสี่อย่างนี้ล้วนแต่มีความต้องการดีๆ
ทั้งนั้น มันตรงข้ามกับเรื่องของพระ ที่ว่าปัจจัยสี่นี้ไม่น่าเข้าไปหลงใหลพระท่านไม่หลงจะเอาดี
ส่วนพวกเรานี้หลงดี ติดดีเมาดีกันอยู่ มันเมาแประอยู่นี่จะทำอย่างไรดี
ไม่ว่าอะไรจะเอาดีทั้งนั้น ติดดีกันแย่อยู่แล้วจะรู้สึกตัวกันบ้างหรือเปล่า
สู้เหน็ดเหนื่อยหมดเปลืองวันเวลาไปมากมาย แต่ไม่เห็นทุกข์โทษที่เกิดขึ้นแก่จิตใจของตัวเองทุกขณะก็ว่าได้
ก็ยังเป็นทาสตัณหาเต็มที่ แล้วมันจะรอดพ้นบ่วงมารไปได้อย่างไร
มันก็ติดเหยื่อติดบ่วงของมาร แล้วก็หลงเสน่ห์มาร เพราะไม่ได้พิจารณา
จึงไม่มีความเบื่อหน่าย กลับอยากจะได้หนักเข้าไปอีก หรือว่ามีการเสียสละก็เสียสละชนิดที่หล่อเลี้ยงตัวตน
หรือหล่อเลี้ยงกิเลสตัณหาไว้นั่นเอง
ถ้ากระทำความเพียรเพื่อละ
มันก็คุ้มกับเวลาที่เสียไป ทีนี้เพียรละมันนิดเดียว เพียรจะเอาอะไรต่ออะไรนี่มันมากมายนักหนา
จนไม่รู้สึกตัว วันเวลาของชีวิตมันจะเน่าเข้าโลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้
แล้วจะไปหมายพึ่งอะไร ข้อนี้ต้องถามตัวเองให้บ่อยๆ ว่า
ที่มีลมหายใจอยู่นี่จะเอาอะไร เอาไปถึงไหน ถ้าไม่ถามตัวเองให้บ่อยๆ
แล้วมันจะเพลิน แล้วก็ใช้วันเวลาของชีวิต ไปในเรื่องนุงถุงยุ่งยากหนักเข้า
เพราะต้องการเพื่อตัวแหละมาก ที่จะสละเป็นกลางนี่มันยาก
เพราะว่ามันคอยยุแหย่อยู่เรื่อย ตัณหามันอยากเอา อยากเป็น
อยากเต้น อยากรำอยู่ มันอยากจะอยู่ในวัฏฏสงสารมากกว่าอยากจะหลุดพ้นไปสู่นิพพาน
เพราะว่ามันยังเสียดายอยู่ ว่าในโลกหรือในวัฏฏสงสารนี้มีสิ่งที่ล่อหูล่อตา
ในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย อยู่รอบข้างไป แล้วมันก็หลับตาไม่ลงเพราะว่าหลงเหยื่อล่อนี่เอง
พระท่านมองเห็นสิ่งทั้งปวง
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ส่วนคนโง่เพลิดเพลินไปกับรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย แล้วก็หลงรักใคร่พัวพันอยู่ในรูปเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างมืดมิดปิดบังอยู่ในตัวเอง แล้วบาปที่เผาลนจิตใจให้เร่าร้อนอยู่เท่าไรก็ไม่รู้เรื่องราว
อยากได้แต่บุญวุ่นวายไป เพราะทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราของเรา
ทั้งที่ทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็อยากจะสนุกสนานไปกับความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว
แล้วก็มีแต่การตามใจตัว เพราะไม่ได้พินิจพิจารณาหาเหตุผล
อายุนี้หรือมันก็ผ่านมามากแล้ว แต่ยังหลงเพลิดเพลินเพราะเป็นทาสตัณหา
ส่วนพระท่านให้ละตัณหาให้อยู่อย่างสงบ ถ้าใครไม่เคยพิจารณาตัวเองให้รู้สึกแล้ว
มันจะหลงไปจนตาย ตายแล้วเกิดมา มันก็หลงไปอีก เพราะยังไม่เห็นความดับสนิทจากทุกข์ทั้งปวง
ยังมองไม่เห็นความว่างจากตัวตน มันเห็นแต่ว่ามีตัวตนอยู่เรื่อย
จึงถูกกิเลสตัณหาอุปทานหลอกให้เอาอะไรวุ่นวายไป เป็นการทนทุกข์อยู่เพราะความโง่ที่มีอยู่ในด้านจิตใจ
ซึ่งมีราคะ โทสะ โมหะ เผาลนอยู่ และความเกิด แก่ เจ็บ
ตาย นี้ก็เป็นทุกข์อยู่ในตัว ตลอดชีวิตนี้มันก็อยู่ในเกลียวหมุน
ทุกข์แล้วทุกข์อีก ประเดี๋ยวหัวเราะ ประเดี๋ยวร้องไห้
ประเดี๋ยวเป็นคนใจดี ประเดี๋ยวเป็นคนใจร้าย เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาดูให้รอบคอบแล้ว
ไม่น่าหลงใหลเพลิดเพลินเลย ไม่ว่าจะทำอะไรต้องเสียสละออกไปแล้วนั่นแหละหนทางของชีวิตจะไม่วนเวียนอยู่ในเหยื่อของโลก
เพราะว่าได้พิจารณาเห็นความตายอยู่เนืองนิตย์ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไร้สาระ
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ทำไปตาที่จะทำได้ และเป็นการทำเพื่อสละทิ้งไป
ไม่ใช่เป็นตัวเราของเรา ความตระหนี่ถี่เหนียวอะไรก็ยกเลิกไปหมด
ไม่ไปเอาดิบเอาดีทางวัตถุ เพราะวัตถุนี้เป็นเหยื่อของมารซึ่งหลอกลวงให้คนหลงที่อยากจะได้เหยื่อต่างๆ
นานา เหมือนที่เขาทำกันชุลมุนอยู่ทั้งโลก เพราะเป็นทาสตัณหาเต็มที่
การที่ออกมาจากบ้านเรือนแล้ว
แต่ยังมาติดเหยื่ออยู่ในเหยื่อล่อของมารอีกนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเปรียบเทียบว่า
ข้อที่หนึ่ง
ไม้สดที่ชุ่มอยู่ด้วยยาง แล้วก็แช่อยู่ในน้ำ
คือ ใจยังระคนด้วยกิเลสกาม อันทำความพอใจ ความเยื่อใย
ความเมาหมก ความกระหาย ความรุ่มร้อนอยู่ในวัตถุกาม ความหิวกระหายในวัตถุกาม
หรือในกิเลสกามนี้จะมีหนทางดับมันได้อย่างไร หรือว่าความยินดี
ความเยื่อใยแต่ละข้อๆ นี้ล้วนแต่เป็นโรคในจิตในใจทั้งนั้น
แต่ว่าสัตว์ทั้งหลายไม่มีสติปัญญาจะรู้สึกตัว จึงต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอบแล้วสอบอีก
ตรวจแล้วตรวจอีก ให้มันหลายๆ ชั้น จึงจะรู้ว่าจิตใจนี้ยังชุ่มแช่อยู่ในวัตถุกาม
และในกิเลสกามอยู่อย่างไร แม้จะทำความเพียรก็ไม่เกิดความรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้
ข้อที่สอง
ไม้สดแม้จะไกลน้ำแล้ว แต่ว่ายังชุ่มอยู่ด้วยยาง
เมื่อบุรุษต้องการไฟเอามาสีไฟก็ไม่สมประสงค์ เพราะการชุ่มอยู่ด้วยยาง
คือกามกิเลสที่ยังละมันไม่ได้ เราเคยอ่านจิตใจให้รู้ในลักษณะนี้บ้างหรือเปล่า
ความยินดี ความเยื่อใย ในวัตถุกามและกิเลสกาม มันยังฝังแน่นอยู่หรือเปล่า
ท่านกล่าวว่าสมณพราหมณ์หมู่ใดที่ใจยังชุ่มอยู่ด้วยยาง
คือกิเลสกาม แม้ว่าจะทำความเพียรสักเท่าไรๆ ก็ไม่อาจจะเกิดไฟ
คือไม่อาจจะเกิดปัญญารู้ยิ่งเห็นจริงขึ้นมาได้
ข้อที่สาม
ไม้นี้แห้งสนิทแล้ว และก็อยู่ไกลน้ำ เมื่อเอามาสีไฟ
มันจึงจะเกิดไฟ นี่น่าคิดดู ในฐานะที่เราออกจากบ้านจากเรือนแล้ว
ได้ทำให้ยางคือกามกิเลสนี้เหือดแห้งไปหรือไม่ ถ้ายังไม่เหือดแห้งไป
ก็จะไม่เกิดปัญญาอันยิ่งขึ้นมาได้ เพราะยังเอร็ดอร่อยในกาม
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ และถูกสับเหมือนกับเขียงสับเนื้อ
หรือเหมือนสุนัขแทะกระดูก ซึ่งกว่าจะได้กินเนื้อที่ติดกระดูกไปสักนิดต้องลงทุนเหน็ดเหนื่อย
แล้วก็ได้เนื้อที่ติดกระดูกไปนิดหน่อยเท่านั้น หรือเปรียบเหมือนผลไม้
ถ้าดูด้วยสายตาของคนโง่ ก็จะเห็นเป็นของสวยงาม แต่ครั้นแล้วมันก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยไปอีก
ไม่เป็นของคงที่ หรือว่าเป็นเหมือนความฝัน ที่เมื่อยังหลงอยู่ก็ฝันเป็นตัวกูของกูจริงๆ
จังๆ ไป พอตื่นขึ้นมาก็ดับหายไปหมด และอีกอย่างก็เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า
ถ้าใครจุดเข้าแล้ว มันจะลามมาไหม้มือ
การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกับกิเลสกาม
หรือวัตถุกาม นั่นแหละมันอยู่ในกองไฟทั้งนั้น จึงหลงทำทุจริตด้วยกาย
ด้วยวาจา ด้วยจิตใจ ทำทุกข์ทำโทษ ทำเวรทำกรรมใส่ตัวเอง
จึงต้องพิจารณาให้ละเอียด จะได้เบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไป
แล้วจิตใจนี้จะได้ว่างและสงบเย็นไม่เร่าร้อน เพราะว่าเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องซักฟอกจิตใจให้มีความสะอาด
สว่างสงบจากทุกข์ทั้งปวง. |