มีด้วยหรือ ? ที่พ่อแม่จะสอนลูกให้ขี้เกียจ
? ตอบว่า มี และมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย
บางทีท่านที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหละ ถ้าท่านมีลูก
ท่านก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยสอน หรือกำลังสอนลูกให้ขี้เกียจอยู่
! ลองพิจารณาดูทีรึ ว่าจะเป็นความจริงไหม ?
สมมุติว่า
ลูกเรากำลังอยู่ในวัยเรียน อายุตั้งแต่ 3 หรือ 8 ขวบขึ้นไป
ในวัยนี้เราสามารถที่จะให้ลูกช่วยเราทำงานบ้านได้ตั้งหลายอย่าง
แต่พ่อแม่ส่วนมากก็มักจะไม่ให้ทำ ไม่ใช้ให้ทำ หรือไม่บังคับให้ทำ
เช่น
-
ลูกควรตื่นนอนเวลา 05.00 น. หรือ 06.00 น. พ่อแม่รู้ว่า
ถ้าลูกตื่นในช่วงนี้แล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน ล้างหน้า
แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าวเสร็จล้างถ้วยชามเสร็จก็จะได้เวลาไปโรงเรียนพอดีๆ
แต่พ่อแม่บางคนหาได้ปลุกลูกในช่วงนี้ไม่
ไปปลุกเอาหลัง 06.00 น. หรือ 07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่จะออกจากบ้านไปโรงเรียนแล้ว
เลยต้องรีบทำอะไรๆ อย่างรีบด่วนไปหมด ขาดๆ ตกๆ ต้องเอะอะโวยวายลั่นบ้าน
ให้เสียสุขภาพจิตของตนเองและลูก เพราะมีเวลาน้อย
ตามปกติ
ธรรมชาติย่อมสร้างความสมดุลแล้ว ไม่ว่าในการกิน การนอน
การสืบพันธ์ หรือการออกกำลังกาย ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องก็ย่อมจะไม่เกิดปัญหา
ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาว
-
งานกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยชาม รดน้ำต้นไม้ ดายหญ้า
ทำความสะอาดบริเวณบ้าน เก็บกวาดเศษขยะต่างๆ ล้วนแต่ลูกในวัยนี้ช่วยได้
ทำแทนได้เกือบทั้งหมด แต่พ่อแม่ส่วนมากก็ไม่ใช้ให้ทำ
-
ถ้ามีรถส่วนตัว งานเช็ดรถ ล้างรถ ทำความสะอาดรถ ลูกในวัยนี้ก็ทำได้สบายมาก
เป็นการช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกายที่ดี ดีกว่าไปเล่นกีฬา
และได้ประสบการณ์ด้วย คือ ช่วยให้ลูกทำงานคล่อง ทำงานเป็นและทำงานได้เรียบร้อย
แต่พ่อแม่บางคนก็ไม่ใช้ให้ทำ
-
ลูกเล่นของเล่นต่างๆ แล้วทิ้งไว้เกลื่อนบ้าน แล้วพ่อแม่หรือคนใช้เก็บให้
แทนที่จะให้ลูกช่วยตัวเอง ก็กลับให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น
เป็นการสร้างนิสัยมักง่าย ความเห็นแก่ตัวสะสมขึ้นเรื่อยๆ
-
พ่อแม่มีงานบ้านเต็มมือจนหาเวลาว่างไม่ได้ แต่ปล่อยให้ลูกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน
หรืออยู่ในบ้านก็ไม่ให้ช่วยแบ่งเบาภาระ ปล่อยให้นั่งๆ
นอนๆ ดูทีวี หรือวีดิโอ หรือเล่นอะไรไปตามประสา
สิ่งเหล่านี้
แสดงว่าพ่อแม่สอนให้ลูกขี้เกียจหรือไม่ ?
ถ้ามองดูอย่างผิวเผิน
พ่อแม่อาจนึกภูมิใจว่าตนเองรักลูก เมตตาลูก จึงไม่อยากเห็นลูกลำบากหรือเหนื่อย
แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็นพ่อแม่ชนิดนี้บรมโง่เขลามาก
เพราะนอกจากพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกขี้เกียจแล้ว ยังเป็นการสะสมความเห็นแก่ตัวให้แก่ลูกอีกด้วย
แสดงให้เห็นว่าทั้งพ่อแม่และลูกก็โง่พอๆ กัน
แต่สำหรับพ่อแม่นั้นดูจะโง่มากกว่าลูกเสียอีก
เพราะการที่พ่อแม่ได้สร้างตัวมาจนบัดนี้ ก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากความเกียจคร้าน
แต่สร้างขึ้นมาได้ด้วยความขยัน แต่กลับไปปล่อยหรือยอมให้ลูกขี้เกียจ
นี่ถ้าไม่เป็นเพราะบาปมันมาบังใจพ่อแม่แล้วมันจะเกิดจากอะไร
? ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ไม่มีใครร่ำรวยขึ้นมาได้จากความเกียจคร้าน
แต่พ่อแม่ก็กำลังสร้างลูกให้เกียจคร้านอยู่ แล้วอนาคตของลูกจะเป็นอย่างไร
จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่จะอยู่เลี้ยงลูกจนตลอดชีวิตของลูก
?
ลูกเราถึงจะมีความรู้ดี
มีปริญญายาวเป็นหางว่าว มีความสามารถสูง แต่ถ้ามันขี้เกียจหรือเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเสียอย่างเดียวแล้ว
เขาจะเอาตัวก็ไม่รอด ! อย่าได้ไปคิดหวังว่า เขาจะเป็นที่พึ่งให้แก่พ่อแม่เลย
ว่ามาถึงตรงนี้แล้ว
พ่อแม่บางคนอาจเถียงว่า ก็ฉันไม่ได้สอนให้เขาขี้เกียจนี่นา
เขาขี้เกียจเอง ฉันเบื่อที่จะเคี่ยวเข็ญ ก็เลยต้องปล่อยเขาไป
จะมาโทษฉันได้อย่างไร ? จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่อยากจะเห็นลูก
ขี้เกียจ ?
การที่เราไม่ใช้
ไม่บังคับ และไม่ทำโทษลูก นั่นแหละคือ การสอนให้ลูกขี้เกียจละ
เพราะเด็กเขาไม่รู้หรอกว่า ผลแห่งความเกียจคร้านมันจะเป็นอย่างไร
? แต่พ่อแม่นั้นย่อมจะรู้ดี จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้ลูกขี้เกียจ
การอ้างแต่เพียงว่า ลูกมันไม่เอาหรือไม่ทำเอง หาได้เป็นข้ออ้างที่พ้นตัวไม่
ก็เราเป็นพ่อแม่เขา ถ้าเราบังคับลูกหรือเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้แล้วเราจะเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้อย่างไร
?
ขนาดลูกเราตัวเล็กๆ
เรายังบังคับหรือสอนเขาไม่ได้ แล้วท่านแน่ใจหรือว่า
เมื่อเขาโตแล้วเราจะสอนเขาได้ ? อย่าหวังเสียให้ยากเลย
ไม้อ่อนย่อมดัดง่ายกว่าไม้แก่ฉันใด ? การไม่ดัดนิสัยขี้เกียจของลูกในยามเล็ก
โดยหวังจะให้เขาไปขยันเอาเมื่อโตนั้น ก็ย่อมจะยากเย็น
ฉันนั้น !
มาดูตัวอย่างภาพฟ้องให้เห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม
เลี้ยงลูกให้ขี้เกียจ หรือเลี้ยงลูกให้เป็นขโมย นั่นคือ
พ่อแม่ต้องป้อนข้าวลูกหรือให้ลูกกินข้าวไปในรถ ขณะที่พาลูกไปส่งโรงเรียน
ที่ลูกตื่นกินข้าวไม่ทันเพราะอะไร ?
มีนิทานจีนชวนคิดเรื่องหนึ่ง
เจ้าหน้าที่กำลังนำนักโทษคนหนึ่งจะไปประหาร แม่ได้เดินตามนักโทษไปพลางก็ร้องไห้ไปพลาง
นักโทษไม่ได้เสียใจหรือร้องไห้ แต่ได้เรียกให้แม่มาหา
พอแม่เข้ามาใกล้เอียงหูมาจะฟังลูกพูด พอได้จังหวะ ลูกก็กัดใบหูของแม่เข้าเต็มแรง
แม่ทั้งเจ็บทั้งตกใจ ร้องเสียงหลง เลือดไหลเป็นทาง
ลูกนักโทษตะโกนใส่แม่ด้วยความแค้นว่า
เป็นเพราะแม่คนเดียวเชียว ที่ทำให้ฉันจะต้องถูกประหาร
ฉันได้ลักเล็กขโมยน้อยเรื่อยมาแต่เด็กแม่ก็ไม่เคยห้าม
จึงทำให้ฉันเสียนิสัย เลยต้องกลายเป็นนักโทษ ถ้าแม่สั่งสอนหรือห้ามปรามฉันเสียแต่เล็กๆ
ไฉนฉันจะต้องมาถูกประหารด้วยเล่า ?
แม่ก็ได้แต่เดินก้มหน้าเสียใจ
ว่าตนเลี้ยงลูกผิดไปแล้ว จากข้อคิดนี้ ถ้าพ่อแม่เห็นลูกได้อะไรติดมือมาจากโรงเรียน
หรือที่ไหนก็ตาม ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจที่ลูกบอกว่าเก็บได้
หรือเพื่อนให้เสมอไป ลูกอาจจะไปลักของใครมาก็ได้ มันอาจจะเป็นทุกขลาภในภายหน้า
ถ้าพ่อแม่ไม่สอบสวนให้ถ่องแท้เสียก่อน ควรสอนลูกให้ตระหนักไว้ว่า
เมื่อเก็บของได้ในโรงเรียนก็ควรเอาไปให้ครูทุกครั้งไป
ไม่ควรจะถือเอามาเป็นส่วนตัว เพราะอาจจะถูกหาว่าเป็นขโมยก็ได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง
ที่แสดงถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม มีภาพลักษณ์ทางลบเกี่ยวกับแม่และลูก
ประทับใจผู้เขียนอยู่ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่ยังทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ควบคุมถุงไปรษณียภัณฑ์อยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง
กทม.
ในวันนั้นมีอาจารย์หญิงรุ่นอายุเลขตัวหน้าเกิน
4 กว่าๆ ไปมากแล้ว ได้มาส่งลูกสาวไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อาจารย์หญิงของ รร.เตรียมอุดมศึกษา เป็นผู้สนใจธรรมะและรู้จักผู้เขียนที่กุฏิของหลวงตาแพรเยื่อไม้
ผู้เขียนจึงตามขึ้นไปคุยด้วยบนรถไฟขบวนเชียงใหม่
อากาศวันนั้นค่อนข้าง อบอ้าว และไปรถไฟชั้นสามด้วยทั้งแม่และลูกต่างก็เหงื่อไหลเต็มใบหน้า
พอนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วแม่ก็เอาพัดเล็กๆ ที่ติดตัวมาพัดให้ลูกอย่างเร็ว
โดยที่ไม่พัดให้ตัวแม่เองเลยส่วนลูกก็ทำเฉยปล่อยให้แม่พัดให้
ผู้เขียนเห็นแล้วก็สลดใจ เพราะคิดไม่ถึง ที่จริงลูกน่าจะพัดให้แม่มากกว่า
นี่แสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม
คิดเดาเอาเองว่า ถ้าอยู่ที่บ้านแม่คงจะทำอะไรให้ลูกสาวหมด
แม้แต่กางเกงในก็คงซักให้ด้วย และก็คงจะยังไม่ได้ทำให้อยู่อย่างเดียวคือไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นกระมัง
! และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ผู้เขียนก็ไม่ติดต่อกับอาจารย์คนนั้นอีกเลยจนบัดนี้
เพราะผู้ที่ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอย่างถูกวิธีแล้ว
เขาย่อมจะไม่เลี้ยงลูกให้เป็น ลูกบังเกิดเกล้า เช่นนี้อย่างแน่นอน
การเลี้ยงลูกให้ถูกต้องจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย
แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็พ่อแม่นั่นแหละ จะต้องเป็นพ่อแม่ที่ทั้งเข้มและทั้งแข็งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
แน่นอน,
พ่อแม่บางคนเป็นคนใจอ่อน พอเห็นลูกเศร้าซึมหรือน้ำตาออกก็ใจแป้ว
ไม่อาจจะบังคับหรือทำโทษลูกได้ ก็เลยยอมไม่ให้ลูกทำอะไรๆ
ไปหมดทุกอย่าง บางคนลูกโตจนเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็ยังซักเสื้อผ้าไม่เป็น
เพราะแม่ทำให้หมด ที่ยังไม่ได้ทำให้ก็เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือยังไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นแหละ
!
ลูกโง่ๆ บางคนอาจนึกภูมิใจ ที่ตนมีพ่อแม่ที่ตามใจไปหมดทุกอย่าง
(โตแล้วไปโรงเรียนก็ยังต้องรับส่งกันอยู่) ไม่ว่ากิจในบ้านหรือนอกบ้าน
ลูกไม่ต้องรับผิดชอบอะไรด้วยเลย วันเสาร์อาทิตย์หยุดเรียนก็นั่งเล่นนอนเล่น
หรือเที่ยวไปตามสบาย พ่อแม่มีเงินให้ใช้ไม่ข้องขัด
ลูกทั้งหลายโปรดรับรู้ไว้เถิดว่า
เธอไม่ใช่คนมีบุญหรอก มันเป็นบาปของเธอต่างหากที่ต้องมาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ชนิดนี้
เพราะการที่เธอไม่ทำอะไร โตขึ้นก็จะทำอะไรไม่เป็น และคนที่
ไม่ทำงานออกแรงร่างกายก็ย่อมจะอ่อนแอ มักจะเจ็บออดๆ
แอดๆ ถูกแดดถูกฝนนิดหน่อยก็เป็นหวัดง่ายเพราะร่างกายไม่แข็งแรง
บางคนอาจแย้งว่า
จะปลุกลูกแต่ดึกได้อย่างไร ? ก็ลูกมันเพิ่งจะนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะทีวีเพิ่งปิด
ถ้าปล่อยให้ลูกนอนตอนทีวีปิด ปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้อาจารย์ทีวีเขาแก้ให้สิ
! พ่อแม่บางคนก็เหี๊ยบกับลูกมากจนเกินไป ใช้ให้ลูกทำงานที่เสี่ยงต่ออันตรายมาก
และหนักเกินไปจนลูกไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อย่างนี้มันก็ตึงเกินไป
ทางที่ถูกนั้นควรจะพบกันครึ่งทาง
คือ ไม่ควรจะหย่อนยานจนลูกขี้เกียจ และก็ไม่ควรจะตึงจัดจนลูกเครียด
อยู่ในระหว่างกลางๆ หรือมัชฌิมานั่นแหละเป็นดีที่สุด
พึงเลี้ยงมารดาและบิดาด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบธรรม
ธมฺเมน มาตาปิตโร ภเรยฺย
ธรรมิกสูตร
25/365