"ดูก่อนภราดร!"
พระอานนท์เล่าต่อไป "พระดำรัสตอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาค
เป็นเสมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าของบุตรีพราหมณ์
นางรู้สึกร้อนผ่าวไปหมดทั้งร่าง สำหรับสตรีสาวอะไรจะเป็นเรื่องเจ็บปวดยิ่งไปกว่าการเสนอตัวให้ชาย
แล้วถูกเขาเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี ดังนั้นนัยน์ตาซึ่งเคยหวานเยิ้มของนางจึงถูกเคี่ยวให้เหือดแห้งไปด้วยไฟโทสะ
ใบหน้าซึ่งเคยถูกชมว่างามเหมือนจันทร์เพ็ญนั้น บัดนี้ได้ถูกเมฆคือความโกรธเคลื่อนเข้ามาบดบังเสียแล้ว
นางผูกใจเจ็บในพระศาสดาสุดประมาณ
พระตถาคตเจ้าสังเกตเห็นกิริยาอาการของนางโดยตลอด
แต่หาสนพระทัยอันใดไม่ ทรงแสดงอนุปุพพิกถาพรรณนาถึงเรื่องทาน
ศีล ผลแห่งทาน ศีล โทษของกาม และอานิสงส์แห่งการหลีกเร้นออกจากกาม
ที่เรียกว่าเนกขัมมะ ฟอกอัธยาศัยแห่งพราหมณ์และพราหมณีจนทรงเห็นว่ามีจิตอ่อนควรแก่พระธรรมเทศนาชั้นสูงแล้ว
พระผู้มีพระภาคก็ทรงประกาศสามุกกังสิกา ธรรมเทศนาคือ
อริยสัจ ๔ ประหนึ่งช่างย้อมผู้ฉลาด ฟอกผ้าให้สะอาดแล้วนำมาย้อมสีที่ตนต้องการ
พระธรรมเทศนาจบลงด้วยการสำเร็จมรรคผลของพราหมณ์และพราหมณี
พระพุทธองค์เสด็จจากอาสนะทิ้งมาคันทิยคามไว้เบื้องหลังมุ่งสู่ชนบทอื่นเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ต่อไป
ความงามแห่งสตรีมักจะเป็นเหมือนดาบสองคม
คือให้ทั้งคุณและโทษแก่เธอ และมีสตรีน้อยคนนักที่จะจับแต่เพียงคมเดียว
เพราะฉะนั้นเธอจึงมักประสบทั้งความสุขและความเศร้า เพราะความงามเป็นมูลเหตุ
กฎข้อนี้พิสูจน์ได้ด้วยชีวิตของนางมาคันทิยคาม ซึ่งข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟังต่อไป
ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด
ในการที่จะแก้แค้นพระศาสดา เครื่องมือในการใช้ความพยายามของนางมีอย่างเดียวคือความงาม
เมื่อมีความพยายาม ความสำเร็จย่อมตามมาเสมอ และในความพยายามนั้น
ถ้าจังหวะดีก็จะทำให้สำเร็จเร็วขึ้น ดังนั้นต่อมาไม่ช้านัก
นางได้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนแห่งโกสัมพี โดยวิธีใดไม่แจ้ง
นับว่าได้เป็นใหญ่เป็นโตพอที่จะหาทางแก้แค้นพระศาสดาได้โดยสะดวก
ดังนั้นเมื่อนางทราบว่าพระตถาคตเจ้าเสด็จมาโกสัมพี นางจึงยินดียิ่งนัก
"คราวนี้แหละ พระสมณโคดมผู้จองหองจะได้เห็นฤทธิ์ของมาคันทิยา"
นางปรารภเรื่องนี้ด้วยความกระหยิ่มใจ จึงจ้างบริวารของนางบ้าง
ทาสและกรรมกรบ้าง ให้เที่ยวติดตามด่าพระศาสดาทุกมุมเมือง
ทุกหนทุกแห่งที่พระองค์ทรงเหยียบย่างไป
ดูก่อนภราดา!
ข้าพเจ้าตามเสด็จไปทุกหนทุกแห่งเหมือนกัน ถูกด่าแรงๆ
จิตใจของข้าพเจ้าก็กระวนกระวาย แต่พระตถาคตเจ้าทรงมีอาการแช่มชื่นอยู่เสมอ
สีพระพักตร์ยังคงสงบนิ่ง เช่นเดียวกับเวลาได้รับคำสรรเสริญ
จิตใจที่ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมคือ นินทาและสรรเสริญนั้นเป็นจิตที่ประเสริฐยิ่ง
พระองค์ตรัสไว้อย่างและพระองค์ก็ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
อาวุโส!
ตราบใดที่บุคคลยังพอใจด้วยคำสรรเสริญ เขาย่อมยังต้องหวั่นไหวเพราะถูกนินทา
ที่เป็นกฎที่แน่นอน พระตถาคตเจ้าทำพระมนัสให้เป็นเช่นแผ่นดินหนักแน่น
และไม่ยินดียินร้ายว่าใครจะไปโปรยปรายของหอมดอกไม้ลงไป
หรือใครจะทิ้งเศษขยะของปฏิกูลอย่างไรลงไป ข้าพเจ้าเองสุดที่จะทนได้
จึงกราบทูลพระองค์ว่า
"พระองค์ผู้เจริญ!
อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน"
"จะไปไหน
อานนท์" พระศาสดาตรัส มีแววแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและสีพระพักตร์
"ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า
สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี"
"ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก?"
"ก็ไปเมืองอื่นอีก
พระเจ้าข้า"
"ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก?"
"ไปต่อไป
พระเจ้าข้า"
"อย่าเลย
อานนท์! เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้น ถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า
เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้นเห็นจะไม่ได้
เรื่องเกิดขึ้นที่ใด ควรให้ระงับลง ณ ที่นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป
อานนท์! เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน
๗ วัน คือจะต้องระงับลงภายใน ๗ วันเท่านั้น"
แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า
"อานนท์! เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม
ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว
คอยแส่หาแต่โทษของคนอื่น เธอจงดูเถิด พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน
เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอย! ในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้
จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับการฝึกแล้วจัดเป็นสัตว์อาชาไนย
สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น
ดูก่อนอานนท์!
ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้
แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุดผู้มีความอดทน
มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้
คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิ เป็นต้น ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น
ในที่สุดทาสและกรรมกร
ที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง
เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบซึ่งไม่หวั่นไหวเลย
ความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลว อาวุโส!
พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า ภูเขาศิลาล้วนย่อมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง
๔ ฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวเพราะคำนินทาและสรรเสริญฉันนั้น
ในพระดำรัสของพระศาสดาตอนต้น
ท่านคงจำได้ว่าพระองค์ตรัสถึงม้าอัสดร ม้าสินธพ และสัตว์อาชาไนยรวมทั้งพญาช้างตระกูลมหานาค
ข้าพเจ้าขอไขความเรื่องนี้สักเล็กน้อย
ม้าอัสดรนั้น
คือสัตว์ผสมระหว่างม้าและลา คือแม่ม้า พ่อลา ลูกออกมาจึงได้ลักษณะที่ดีเยี่ยม
คือได้ลักษณะเร็วจากแม่และได้ลักษณะทนทานจากพ่อ ม้าเป็นสัตว์ที่มีฝีเท้าเร็วมาก
จนได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า "มโนมัย" หมายความว่า
"สำเร็จดังใจ" ส่วนลานั้นทนทานมากในการนำภาระหนัก
ปีนที่โกรกชันก็เก่ง เมื่อลักษณะทั้ง ๒ ประการมารวมกัน
คือทั้งเร็วและทน ก็เป็นคุณลักษณะที่ดีเยี่ยม
หันมามองดูมนุษย์เรา
ผู้ใดมีคุณลักษณะ ๒ อย่าง คือทั้งเร็วและทนทาน ผู้นั้นก็จัดได้ว่าประเสริฐ
คนบางคนมีสติปัญญาดี รู้อะไรได้เร็วแต่ไม่ทนทาน อ่อนแอ
เบื่อหน่ายงานง่าย จับจด ในที่สุดก็เอาดีไม่ค่อยได้
ส่วนบางคนทนทาน บึกบึน แต่ขาดสติปัญญา รู้อะไรได้ช้า
จึงทำให้เสียเวลามากเกินไปในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และคนในโลกส่วนมากก็มักจะได้ลักษณะเดียว
แต่ดูเหมือนพระศาสดาจะทรงสรรเสริญความเพียรพยายามมากอยู่
เมื่อได้พยายามแล้วไม่สำเร็จสมประสงค์ ใครเล่าจะลงโทษผู้นั้นได้
ม้าสินธพนั้นเป็นพันธุ์ม้า
ซึ่งเกิด ณ ลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นม้าพันธุ์ดีมาก แคว้นกัมโพชะถิ่นกำเนิดของท่านก็เป็นแคว้นที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องมีม้าพันธุ์ดีตามที่ท่านกล่าวแล้วแต่หนหลัง
ส่วนช้างตระกูลมหานาคก็เป็นช้างตระกูลดี
กล่าวถึงสัตว์อาชาไนย
หมายถึงสัตว์ที่ได้รับการฝึกฝนแล้วให้ควรแก่การงานประเภทนั้นๆ
โดยนัยนี้สัตว์ทุกประเภทสามารถเป็นอาชาไนย ถ้าได้รับการฝึกให้เหมาะแก่การใช้งาน
แต่บรรดาอาชาไนยด้วยกัน บุรุษอาชาไนยหรือคนอาชาไนยประเสริฐที่สุด
เพราะเหตุนี้พระตถาคตเจ้าจึงตรัสว่า บรรดามนุษย์ด้วยกัน
คนที่ฝึกตนแล้วประเสริฐที่สุด
คำว่าฝึกตนนั้น
หมายถึงฝึกจิตของตนให้ดีงามรับได้ ทนได้ แม้ในภาวะที่คนทั่วๆ
ไปรู้สึกว่าไม่น่าจะทนได้ การฝึกจิตก็เหมือนการฝึกยกน้ำหนัก
ต้องค่อยทำค่อยไปเมื่อได้ที่แล้วก็เป็นจิตที่ทนทาน และมีอภินิหารเป็นอัศจรรย์
นางมาคันทิยาเป็นมเหสีรองของพระเจ้าอุเทน
พระมเหสีใหญ่คือพระนางสามาวดี พุทธสาวิกาเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้ามาก
เมื่อพระนางมาคันทิยากลั่นแกล้งพระศาสดาไม่สมประสงค์
ก็หันมาริษยาหาโทษให้พระนางสามาวดี พระนางถูกกล่าวหาหลายเรื่องจนพระเจ้าอุเทนทรงเชื่อและจะประหารชีวิตพระนางสามาวดี
แต่พระองค์ทรงทราบข้อเท็จจริงภายหลัง จึงสั่งประหารชีวิตพระนางมาคันทิยาพร้อมทั้งบริวารและญาติด้วยวิธีเรียกได้ว่าทารุณอย่างยิ่ง
คือพระองค์ให้ขุดหลุมฝังพระนางมาคันทิยาและบริวารเพียงแค่คอ
แล้วให้ไถจนอวัยวะขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พระนางมาคันทิยาจบชีวิตลงด้วยเรื่องที่พระนางก่อขึ้นเอง
ดูก่อนภราดา!
การคิดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้บริสุทธิ์ ย่อมเป็นเหมือนการถ่มน้ำลายรดฟ้าหรือการปาธุลีทวนลม
ผู้กระทำย่อมได้รับโทษเอง
"ดูก่อนท่านแสวงมรรคาแห่งอมตะ!"
พระอานนท์กล่าวต่อไป "พระผู้มีพระภาคเจ้าสำราญพระอิริยาบถ
ณ โกสัมพีตามพระอัธยาศัย พอสมควรแล้วก็เสด็จจาริกไปสู่คามนิคมชนบทราชธานีน้อยใหญ่
เพื่อโปรดเวไนยสัตว์พอแนะนำได้ให้ดำรงอยู่ในกุศลบถจนกระทั่งหวนกลับไปประทับ
ณ กรุงสาวัตถี ราชธานีแห่งแคว้นโกศลอันเป็นดินแดนแถบเชิงเขาหิมาลัย
ความจริงพระพุทธองค์ประทับ ณ กรุงสาวัตถีเป็นเวลาหลายปีที่สุด
คือถึง ๒๕ พรรษา แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ประทับอยู่รวดเดียว
๒๕ พรรษา พระองค์เสด็จไปๆ มาๆ แต่เมื่อคิดรวมแล้วได้
๒๕ ปีพอดี คือประทับอยู่ ณ ปุพพารามของนางวิสาขา ๖ ปี
และประทับ ณ เชตวันอารามของท่านอนาถปิณฑิกะ ๑๙ ปี
อันว่าพระนครสาวัตถี
ราชธานีแห่งแคว้นโกศลนี้ ตั้งอยู่ทางเหนือแห่งแคว้นกาสี
มีอาณาเขตไปจนถึงหิมาลัยบรรพต มีแคว้นศากยะอยู่ทางทิศเหนือ
โกลิยะอยู่ทางทิศตะวันออก แคว้นโกศลซึ่งมีสาวัตถีเป็นราชธานีนี้
เป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่คู่แข่งกับแคว้นมคธ
โกศลมีเมืองสำคัญสามเมือง
คือวาวัตถี อโยธยา ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสรายุ เป็นเมืองสำคัญมาก่อนสมัยพระพุทธองค์
ต่อมาถูกรวมเข้ากับโกศล ส่วนอีกเมืองหนึ่งคือสาเกต อยู่ใกล้กับอโยธยา
เจริญขึ้นเวลาเดียวที่อโยธยาเสื่อมลง จึงคล้ายเป็นเมืองแทนอโยธยา
สาเกตมีความสำคัญสำหรับโกศลมาก เป็นเมืองบิดาแห่งนางวิสาขามหาอุบาสิกา
ซึ่งข้าพเจ้าจะขอไว้เล่าให้ท่านฟังในภายหลัง ระหว่างสาวัตถีถึงสาเกตมีรถด่วนเดินทางวันเดียวถึง
รถด่วนนั้นคือรถเทียมม้า ตั้งสถานีไว้ ๗ แห่ง พอถึงสถานีหนึ่งก็เปลี่ยนม้าครั้งหนึ่ง
ม้าชุดหนึ่งวิ่งเป็นระยะทางกว่ากึ่งโยชน์เล็กน้อย แปลว่าต้องเปลี่ยนม้าถึง
๗ ครั้ง เรื่องนี้เองที่พระปุณณะมันตานีบุตรอาจารย์ของข้าพเจ้า
เมื่อสนทนากับพระสารีบุตรถึงเรื่องวิสุทธิ ๗ อันจะนำบุคคลไปสู่พระนิพพาน
จึงเปรียบวิสุทธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผลัดจากสาวัตถีถึงสาเกต
ครั้งแรกที่พระตถาคตเจ้าเหยียบพระมงคลบาทลงสู่สาวัตถีนั้น
เป็นเพราะการอาราธนาของท่านอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี ซึ่งเวลานั้นยังมิได้มีเนมิตตกนามอันไพเราะอย่างนี้เลย
เรื่องเป็นดังนี้
สมัยหนึ่ง
เมื่อตรัสรู้แล้วไม่นาน พระตถาคตเจ้าประทับอยู่ ณ สีตวันใกล้กรุงราชคฤห์
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นอนาถปิณฑิกเศรษฐียังมิได้รู้จักพระพุทธเจ้า
ได้เดินทางไปกรุงราชคฤห์เพื่อเยี่ยมเยียมสหาย และเพื่อกิจการค้าด้วย
เมื่อไปถึงเศรษฐีผู้สหายต้อนรับพอสมควรแล้ว ก็ขอตัวไปส่งงานคนทั้งหลายให้ทำนั่นทำนี่จนไม่มีโอกาสได้สนทนากับอาคันตุกะ
อานถปิณฑิกะประหลาดใจจึงถามว่า
"สหาย!
ครั้งก่อนๆ เมื่อข้าพเจ้ามา ท่านกระวีกระวายต้อนรับอย่างดียิ่ง
สนทนาปราศรัยเป็นที่บันเทิงจิตตามฐานะมิตรอันเป็นที่รัก
ท่านละงานอื่นๆ ไว้สิ้น มาต้องรับข้าพเจ้า แต่คราวนี้ท่านละข้าพเจ้าแล้วสั่งงานยุ่งอยู่
ท่านมีงานอาวาหวิวาหมงคล หรือพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนาแห่งแคว้นมคธจะเสด็จมาเสวยที่บ้านของท่านในวันพรุ่งหรืออย่างไร?"
"สหาย!
เศรษฐีกรุงราชคฤห์ตอบ "อภัยข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะไม่สนใจใยดีในการมาของท่านก็หามิได้
ท่านก็คงทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าข้าพเจ้ามีความรักในท่านอย่างไร
แต่พรุ่งนี้ข้าพเจ้าอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จำนวนร้อย
เพื่อเสวยและฉันอาหารที่นี่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมัวสั่งงานยุ่งอยู่"
"สหาย!
ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าหรือ โอ! พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกหรือนี่!"
"ใช่
พระพุทธเจ้า พระโคดมพุทธะออกบวชจากศากยตระกูลมีข่าวแพร่สะพัดไปทุกหนทุกแห่งว่า
พระองค์เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ
คือมีความรู้ดีและความประพฤติดี เสด็จไปที่ไหนก็อำนวยโชคให้ที่นั่น
เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้รู้จักโลก
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นจากกิเลสนิทรา
รู้อริยสัจอย่างแจ่มแจ้ง และมีพระทัยเบิกบานด้วยพระมหากรุณาต่อมวลสัตว์
เป็นผู้หักราคะโทสะและโมหะ พร้อมทั้งบาปธรรมทั้งมวลแล้ว
เสด็จเที่ยวจาริกสั่งสอนเวไนยสัตว์แสดงธรรมอันไพเราะ
ทั้งเบื้องต้น ท่านกลาง และที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
เต็มบริบูรณ์ทั้งหัวข้อและความหมาย สหาย! ท่านไม่ทราบการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าดอกหรือ?"
"ดูก่อนภราดา!
คำว่า 'พุทโธ' นั้น เป็นคำที่ก่อความตื่นเต้นให้แก่อนาถปิณฑิกเศรษฐียิ่งนัก
อุปมาเหมือนคนที่เป็นโรคซึ่งทรมานมานานปี เมื่อทราบว่ามีหมอสามารถจะบำบัดโรคนั้นได้จะดีใจสักเพียงใด
ดังนั้นอนาถปิณฑิกะจึงกล่าวว่า
"สหาย!
ค่าอาหารสำหรับเลี้ยงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สำหรับพรุ่งนี้เป็นจำนวนเท่าใด
ข้าพเจ้าขอออกให้ทั้งหมด"
"อย่าเลย
สหาย!" เศรษฐีกรุงราชคฤห์ตอบ "อย่าว่าแต่ท่านจะจ่ายค่าอาหารเลย
แม้ท่านจะมอบสมบัติในกรุงราชคฤห์ทั้งหมดให้แก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็หายอมให้ท่านเป็นเจ้าภาพสำหรับเลี้ยงพระพุทธเจ้าไม่
กว่าข้าพเจ้าจะจองได้ก็เป็นเวลานานเหลือเกิน ข้าพเจ้าคอยโอกาสนี้มานานนักหนาแล้ว
สมบัติบรมจักรข้าพเจ้ายังปรารถนาน้อยกว่าการได้เลี้ยงพระพุทธเจ้า,
๗ วันนี้เป็นวันของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ใครเป็นอันขาด"
เมื่ออนาถปิณฑิกะวิงวอนว่า ขอออกค่าใช้จ่ายสักครึ่งหนึ่ง
เศรษฐีกรุงราชคฤห์ก็หายอมไม่
ดูก่อนภราดร!
พระบรมศาสดาของเราทั้งหลายนั้นทรงมีปุพเพกตปุญญตาอย่างล้นเหลือ
กุศลธรรมทั้งมวลที่พระองค์ทรงบำเพ็ญกระทำมาตลอดเวลาที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ
มารวมกันให้ผลในปัจฉิมภพของพระองค์นี้ ประดุจสายธารซึ่งยังเอ่ออยู่ในทำนบและบังเอิญทำนบพังทลายลง
อุททธาราก็ไหลหลากท่วมท้น ดังนั้นไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไป
ณ ที่ใด พระราชา เสนาบดี พ่อค้า ประชาชน จึงต้องการถวายปัจจัยแก่พระองค์จนถึงกับต้องแย่ง
ต้องจองกันล่วงหน้าเป็นเวลานานๆ
อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้อันกุศลธรรมแต่ปางบรรพ์ตักเตือนแล้ว
เมื่อได้ยินว่า "พุทโธ" เท่านั้นปีติก็ซาบซ่าไปทั่วสรรพางค์
ปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลานั้น
แต่บังเอิญเป็นเวลาค่ำ ประตูเมืองปิดเสียแล้ว จิตใจของเขาจึงกังวลถึงแต่เรื่องที่จะเฝ้าพระศาสดา
ไม่อาจหลับลงได้อย่างปกติ เขาลุกขึ้นถึง ๓ ครั้งด้วยสำคัญว่าสว่างแล้ว
แต่พอเดินออกไปภายนอกเรือน ความมืดยังปรากฏปกคลุมอยู่ทั่วไป
ครานั้นความสะดุ้งหวาดเสียว และความกลัวก็เกิดขึ้นแก่เขา
เขากลับมานอนรำพึงถึงพระศาสดาอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ
ในที่สุดเวลาก็มาถึง
ท้องฟ้าเริ่มสาง เสียงไก่ขันรับอรุณแว่วมาตามสายลม เศรษฐีเดินออกจากตัวเรือนมุ่งสู่ประตูเมือง
ประตูยังไม่เปิด อนาถปิณฑิกต้องขอร้องวิงวอนคนเฝ้าประตูเสียนานเขาจึงยอมเปิดให้
เมื่อออกจากประตูเมืองแล้ว ทางที่จะไปสู่ป่าสีตวันก็เป็นทางเปลี่ยว
การสันจรยังไม่มี การเดินทางจากเมืองเข้าไปในป่านั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนขลาด
เศรษฐีเกือบจะหมดความพยายาม มีหลายครั้งที่เขาจะถอยกลับเข้าสู่เมือง
แต่พอเขาหยุดยืนนั่นเอง เสียงก็ปรากฏขึ้นเหมือนหวาดแว่วมาจากอากาศว่า
เศรษฐี! ม้าตั้งร้อย โค แพะ แกะ เป็ด ไก่ อย่างละร้อยๆ
ถ้าท่านได้เพราะถอยกลับเพียงก้าวเดียว ก็จะไม่ประเสริฐเหมือนก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียว
จงก้าวต่อไปเถิด เศรษฐี! การก้าวไปข้างหน้าของท่าน จะเป็นประโยชน์แก่ท่านและแก่โลกมาก
เศรษฐีมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าสีตวัน
อันเป็นที่ประทับแห่งพระศาสดา เวลานั้นพระพุทธองค์ตื่นบรรทมแล้วทรงแผ่ข่ายพระญาณพิจารณาดูสัตว์โลกที่พระองค์ควรจะโปรด
เห็นอุปนิสัยของอนาถปิณฑิกเศรษฐีว่าเป็นผู้ควรแก่การบรรลุธรรม
จึงทรงจงกรมคือดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ ณ บริเวณที่ประทับ
เมื่อเศรษฐีเข้ามาใกล้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
"เข้ามาเถิด
สุทัตตะ! ตถาคตอยู่นี่"
ดูก่อนภราดา!
พระดำรัสตรัสเรียกเศรษฐีโดยชื่อว่า "สุทัตตะ"
โดยถูกต้องนั้น นำความปราโมชมาให้เศรษฐีอย่างเหลือล้น
เขาไม่เคยรู้จักพระศาสดา และพระศาสดาก็ไม่เคยทรงรู้จักเขา
แต่พระองค์สามารถเรียกชื่อเขาได้ เศรษฐีหรือจะไม่ปลื้มใจ
เขาซบหน้าลงแทบบาทมูลแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระศากมุนี!
เป็นโชคดีของข้าพระพุทธเจ้ายิ่งแล้วที่ได้มาพบพระองค์สมปรารถนา
ข้าพระองค์รอคอยจนพระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองเพื่อเสวยภัตตาหารไม่ไหว
จึงออกมาเฝ้าแต่เช้ามืด พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อคืนนี้
ราตรีช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ปรากฏแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหมือนหนึ่งเดือน
เป็นเวลานานเหลือเกินที่สัตว์โลกจะได้สดับคำว่า 'พุทโธ
พุทโธ'
"ดูก่อนสุทัตตะ!
ผู้ตื่นอยู่มิได้หลับย่อมรู้สึกว่าราตรีหนึ่งยาวนาน
ผู้ที่เดินทางจนเมื่อยล้าแล้วรู้สึกว่าโยชน์หนึ่งเป็นหนทางที่ยืดยาว
แต่สังสารวัฏคือการเวียนเกิดเวียนตายของสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรมยังยาวนานกว่านั้น
ดูก่อนสุทัตตะ! สังสารวัฏนี้หาเบื้องต้นเบื้องปลายได้โดยยาก
สัตว์ผู้พอใจในการเกิดย่อมเกิดบ่อยๆ และการเกิดบ่อยๆ
นั้น ตถาคตกล่าวว่าเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งที่ติดตามความเกิดมาก็คือความแก่ชรา
ความเจ็บปวด ทรมาน และตาย ความต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความแห้งใจ ความคร่ำครวญ
ความทุกข์กายทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ อุปมาเหมือนเห็ดซึ่งโผล่ขึ้นจากดินและนำดินติดขึ้นมาด้วย
หรืออุปมาเหมือนโคซึ่งเทียมเกวียนแล้วจะเดินไปไหนก็มีเกวียนติดตามไปทุกหนทุกแห่ง
สัตว์โลกเกิดมาก็นำทุกข์ประจำสังขารติดมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก
ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่
ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว
"ดูก่อนสุทัตตะ!
เมื่อรากยังมั่นคงแม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้ว มันก็สามารถขึ้นได้อีก
ฉันเดียวกับเมื่อบุคคลยังไม่ถอนตัณหานุสัยขึ้นเสียจากดวงจิต
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
"สุทัตตะเอย!
น้ำตาของสัตว์ผู้ต้องร้องไห้เพราะความทุกข์โทมนัสทับถม
ในขณะที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารนี้มีจำนวนมากเหลือคณา
สุดที่จะกล่าวได้ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ กระดูกที่เขาทอดทิ้งลงทับถมปฐพีดลเล่า
ถ้านำมากองรวมๆ กันมิได้กระจัดกระจายคงจะสูงเท่าภูเขา
บนพื้นแผ่นดินนี้ไม่มีช่องว่างเลย แม้แต่นิดเดียวที่สัตว์ไม่เคยตาย
ปฐพีนี้เกลื่อนกล่นไปด้วยกระดูกแห่งสัตว์ผู้ตายแล้วตายเล่า
เป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ทุกย่างก้าวของมนุษย์และสัตว์เหยียบย่ำไปบนกองกระดูก
เขานอนบนกองกระดูกนั่งบนกองกระดูก สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่บนกองกระดูกทั้งสิ้น
"ดูก่อนสุทัตตะ!
ไม่ว่าภพไหนๆ ล้วนแต่มีลักษณะเหมือนกองเพลิงทั้งสิ้น
สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในกองเพลิง คือทุกข์ เหมือนเต่าอันเขาโยนลงไปแล้วในกองไฟใหญ่ฉะนั้น".