นับถอยหลังจากเวลาที่พระอานนท์รับเป็นพุทธอุปฐากไปเป็นเวลา
๕๕ ปี ในพระราชวังอันโอ่อ่าของกษัตริย์ศากยราช มีการประดับประดาประทีปโคมไฟเป็นระย้าสว่างไสวไปทั่วเขตพระราชวัง
พระเจ้าสุทโธทนะอนุชาแห่งสมเด็จพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์
มีพระพักตร์แจ่มใสตลอดเวลา ทรงทักคนนั้นคนนี้ด้วยความเบิกบานพระทัย
พระประยูรญาติและเสนาข้าราชบริพาร มีความปรีดาปราโมชอย่างยิ่งที่มีพระราชกุมารพระองค์หนึ่งอุบัติขึ้นในโลก
เขาพร้อมใจกันถวายพระนามราชกุมารว่า "อานันทะ"
เพราะนิมิตรที่นำความปรีดาปราโมชและบันเทิงสุขมาให้
เจ้าชายอานันทะอุบัติขึ้นวันเดียวกับพระราชกุมารสิทธัตถะก้าวลงสู่โลกนั่นแล
พระราชกุมารทั้งสองจึงเป็นสหชาติกันมาสู่โลกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
นับว่าเป็นคู่บารมีกันโดยแท้
เจ้าชายอานันทะ
ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดเท่าที่พระราชกุมารในราชสกุลจะพึงได้รับ
พระองค์เติบโตขึ้นภายใต้ความชื่นชมโสมนัสแห่งพระราชบิดาและพระประยูรญาติ
เจ้าชายเป็นผู้ถ่อมตน สุภาพอ่อนโยนแลว่าง่ายมาแต่เล็กแต่น้อย
พระฉวีผุดผ่อง พระวรกายงามสง่าสมสกุลกษัตริย์ ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีจากสำนักอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้ในแคว้นสักกะ
จนกระทั่งพระชนมายุสมควรที่จะมีคู่ครอง แต่หามีปรากฏว่าพระองค์ทรงชอบพอสตรีคนใดเป็นพิเศษไม่
ข่าวการเสด็จออกบรรพชาของเจ้าชายสิทธัตถะมกุฎราชกุมาร
แห่งกบิลพัสดุ์นคร ก่อความสะเทือนพระทัยและพิศวงงงงวยแก่เจ้าชายอานันทะยิ่งนัก
พระองค์ทรงดำริอยู่เสมอว่า เจ้าพี่คงมองเห็นทางปลอดโปร่งอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่
จึงสละรัชสมบัติออกบรรพชา
จนกระทั่ง
๖ ปี ภายหลังจากพระสิทธัตถกุมารออกแสวงหาโมกขธรรมแล้ว
มีข่าวแพร่สะพัดจากนครราชคฤห์เข้าสู่นครหลวงแห่งแคว้นสักกะว่า
บัดนี้พระมหามุนีโคตมะศากยบุตร ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
เทศนาสั่งสอนปวงชนชาวมคธอยู่ เจ้าชายอานันทะทรงกำหนดพระทัยไว้ว่า
เมื่อใดพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่นครกบิลพัสดุ์ พระองค์จักขอบวชในสำนักของพระพุทธองค์
วันหนึ่ง
ณ สัณฐาคารแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ศากยราชทั้งหลายประชุมกัน
มีพระราชกุมารหลายพระองค์เข้าประชุมด้วย พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งบัดนี้เป็นพุทธบิดาเป็นประธาน
พระองค์ตรัสปรารภว่า
"ท่านทั้งหลาย
บัดนี้ท่านคงได้ทราบข่าวการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแล้ว
พระองค์มิใช่ใครอื่น คือสิทธัตถกุมารบุตรแห่งเรานั่นเอง
ทราบว่ากำลังประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ราชธานีแห่งพระเจ้าพิมพิสาร
ข้าพเจ้าขอปรึกษาท่านทั้งหลายว่า เราควรจะส่งคนของเราไปทูลเสด็จมาเมืองเรา
หรือควรจะคอยจนกว่าพระองค์เสด็จมาเอง ผู้ใดมีความเห็นอย่างไรขอให้แสดงความคิดเห็นได้"
มีราชกุมารองค์หนึ่ง
ชูพระหัตถ์ขึ้น เมื่อได้รับอนุญาตให้พูดได้แล้วพระองค์จึงแสดงความคิดเห็นว่า
"ข้าแต่ศากยราชทั้งหลาย!
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าเราไม่ควรทูลเชิญเสด็จ ข้าพเจ้ามีเหตุผลว่า
เมื่อตอนเสด็จออกบวช พระสิทธัตถะก็มิได้ทูลใครแม้แต่สมเด็จพระราชบิดาเอง
อีกประการหนึ่ง กบิลพัสดุ์เป็นนครของพระองค์ เรื่องอะไรเราจะต้องเชิญเจ้าของบ้านให้เข้าบ้าน
เมื่อพระสิทธัตถะโอ้อวดว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะไม่กลับบ้านของตัวเองก็แล้วไป
เมื่อพระองค์ไม่คิดถึงพระชนก หรือพระประยูรญาติทั้งหลาย
เราจะคิดถึงพระองค์ทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าต้องถึงกับทูลเชิญเสด็จก็เป็นเรื่องมากเกินไป"
ราชกุมารตรัสจบแล้วก็นั่งลง
ทันใดนั้น
พระราชกุมารอีกองค์หนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า "ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินและศากยวงศ์ทั้งหลาย!
ข้อที่เจ้าชายเทวทัตกล่าวมานั้นไม่ชอบด้วยเหตุผล ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย
เจ้าชายสิทธัตถะแม้จะเป็นยุพราช มีพระชนมายุยังเยาว์ก็จริง
แต่พระองค์บัดนี้เป็นนักพรต และมิใช่นักพรตธรรมดา ยังเป็นถึงพระพุทธเจ้าอีกด้วย
แม้แต่นักพรตธรรมดา เราผู้ถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ยังต้องให้เกียรติถวายความเคารพ
เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุไฉนเราจะให้เกียรติแก่พระสิทธัตถะ
ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าและพระญาติของเราไม่ได้ เป็นตำแหน่งที่สูงส่งมาก
พระมหาจักรพรรดิยังต้องถวายพระเกียรติ ทำไมคนขนาดเราจะถวายพระเกียรติไม่ได้
ข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะส่งทูตไปเชิญเสด็จพระองค์เข้าสู่กบิลพัสดุ์"
พระราชกุมารนั่นลง
"การที่เจ้าชายอานันทะเสนอมานั้น"
เจ้าชายเทวทัตค้าน "โดยอ้างตำแหน่งพระพุทธเจ้าขึ้นเป็นที่ตั้ง
ก็ความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ใครๆ ก็อาจเป็นได้ ถ้ากล้าโกหกชาวโลกว่าตัวเป็น
พูดเอาเอง ใคร ๆ ก็พูดได้"
"เทวทัต!"
เจ้าศากยะสูงอายุผู้หนึ่งลุกขึ้นพูด "ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะลวงโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้า
อย่างที่เธอเข้าใจ เราก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเชิญเสด็จยิ่งขึ้น
เพื่อจะได้รู้ให้แน่นอนว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือพระพุทธเจ้าปลอม"
สัณฐาคารเงียบกริบ ไม่มีใครพูดขึ้นอีกเลย พระเจ้าสุทโธทนะจึงตรัสขึ้นว่า
"ท่านทั้งหลาย!
ถ้าเราเถียงกันแบบนี้สักกี่วันก็ไม่อาจตกลงกันได้ ต่างคนต่างก็มีเหตุผลน่าฟังด้วยกันทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าอยากจะให้เรื่องจบลงโดยการฟังเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอถามที่ประชุมว่า
ผู้ใดเห็นว่าสมควรเชิญเสด็จลูกของเรามาสู่เมือง ขอให้ยกพระหัตถ์ขึ้น"
จบพระสุรเสียงของพระเจ้าสุทโธทนะ
มีพระหัตถ์ของศากยวงศ์ยกขึ้นสลอนมากมาย แต่ไม่ได้นับ
เพราะเห็นว่ายังเหลืออยู่เป็นส่วนน้อยเหลือเกิน
"คราวนี้
ท่านผู้ใดเห็นว่าไม่สมควรจะเชิญเสด็จ ขอให้ยกพระหัตถ์ขึ้น"
ปรากฏว่ามีสองพระหัตถ์เท่านั้น คือเจ้าชายเทวทัตและพระสหายคู่พระทัย
เป็นอันว่ามีสองพระหัตถ์เท่านั้น คือเจ้าชายเทวทัตและพระสหายคู่พระทัย
เป็นอันว่าเสียงในที่ประชุมเรียกร้องให้ทูลเสด็จพระผู้มีพระภาคเข้าสู่กบิลพัสดุ์
เจ้าชายอานนท์พอพระทัยเหลือเกิน ทูลอาสาไปรับเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง
แต่พระเจ้าสุทโธทนะทรงห้ามเสีย เจ้าชายเทวทัตคั่งแค้นพระทัยยิ่งนัก
ตั้งแต่เป็นพระราชกุมารน้อยๆ ด้วยกันมาไม่เคยมีชัยชนะเจ้าชายสิทธัตถะเลย
เวลานั้น
พระผู้มีพระภาคเสด็จจากอุรุเวลาเสนานิคม ตำบลที่ตรัสรู้ไปสู่อิสิปตนมฤคทายะเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์
แล้วโปรดพระยสะและชฏิลสามพี่น้องพร้อมด้วยบริวาร แล้วเสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์
เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารตามปฏิญาณที่ทรงให้ไว้ เมื่อเสด็จผ่านมาทางราชคฤห์สมัยเมื่อแสวงหาโมกขธรรม
ได้รับวัดเวฬุวันสวนไม้ไผ่ เป็นอารามสงฆ์แห่งแรกในพระพุทธศาสนาแล้ว
ข่าวกระฉ่อนทั่วไปทั้งพระนครราชคฤห์และเมืองใกล้เคียง
ทรงได้อัครสาวกซ้ายขวา คือพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเป็นกำลังสำคัญ
ในเวลาเย็นชาวนครราชคฤห์มีมือถือดอกไม้ธูปเทียนและน้ำปานะ
มีน้ำอ้อยเป็นต้น ไปสู่อารามเวฬุวันเพื่อฟังพระธรรมเทศนา
และถวายน้ำปานะแก่พระภิกษุสงฆ์
พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งทูตมาทูลเชิญพระผู้มีพระภาค
เพื่อเสด็จกลับพระนคร แต่ปรากฏว่าทูต ๙ คณะแรกไปถึงแล้ว
ได้ฟังพระธรรมเทศนาเลื่อมใสศรัทธาขอบรรพชาอุปสมบท และมิได้ทูลเสด็จพระพุทธองค์
ต่อมาถึงทูตคณะที่ ๑๐ ซึ่งมีกาฬุทายีมหาอำมาตย์เป็นหัวหน้าไปถึงวัดเวฬุวัน
ขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค แล้วจึงทูลอาราธนาพระพุทธองค์ตามพระดำรัสของพระพุทธบิดา
พระผู้มีพระภาค
มีพระอรหันตขีณาสพจำนวนประมาณสองหมื่นเป็นบริวาร เสด็จจากกรุงราชคฤห์สู่นครกบิลพัสดุ์วันละโยชน์ๆ
รวม ๖๐ วัน ในระหว่างทางได้ประทานพระธรรมเทศนาโปรดประชาชนให้ดำรงอยู่ในคุณวิเศษต่างๆ
ตามอุปนิสัย จนกระทั่งถึงนครกบิลพัสดุ์
พระพุทธบิดาเตรียมรับเสด็จพระพุทธองค์
โดยสร้างวัดนิโครธารามถวายเป็นพุทธนิวาส การเสด็จมาของพระพุทธองค์ครั้งนี้
เป็นที่ชื่อชมโสมนัสของพระประยูรญาติยิ่งนัก เพราะเป็นเวลา
๗ ปีแล้วที่พระองค์จากไป โดยพระญาติมิได้เห็นเลยแม้แต่เงาของพระองค์
วันรุ่งขึ้น
พระผู้มีพระภาคเสด็จออกบิณฑบาตผ่านมาทางปราสาทของพระบิดา
พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นแล้วรีบเสด็จลงไป จับชายจีวรของพระองค์
แล้วกล่าวว่า
"สิทธัตถะ
ทำไมเจ้าจึงทำอย่างนี้ ตระกูลของเจ้าเป็นคนขอทานหรือ
ศากยวงศ์ไม่เคยทำเลย เจ้าทำให้วงศ์ของพ่อเสีย บ้านของเจ้าก็มี
ทำไมจึงไม่ไปรับอาหารที่บ้าน เที่ยวเดินขอทานชาวบ้านอยู่
พ่อจะเอาหน้าไปไว้ไหน พ่อเป็นจอมคนในแผ่นดิน เป็นกษัตริย์
ลูกมาทำตนเป็นขอทาน"
"มหาบพิตร!"
เสียงนุ่มนวลกังวานจากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาค "บัดนี้อาตมภาพมิใช่ศากยวงศ์แล้ว
อาตมภาพเป็นอริยวงศ์ เป็นพุทธวงศ์ พระพุทธเจ้าในอดีตทุกๆ
พระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ทั้งนั้น อาตมภาพทำเพื่อรักษาวงศ์ของอาตมภาพ
มิให้สูญหาย สำหรับบ้านอาตมภาพก็ไม่มี อาตมภาพเป็นอนาคาริกมุนี
- ผู้ไม่มีเรือน"
"ช่างเถิดสิทธัตถะ
เจ้าจะเป็นวงศ์อะไร จะมีเรือน หรือไม่มีเรือนพ่อไม่เข้าใจ
แต่เจ้าเป็นลูกของพ่อ เจ้าจากไป ๗ ปีเศษ พ่อคิดถึงเจ้าสุดประมาณ
พิมพาหรือก็คร่ำครวญถึงแต่เจ้า ราหุลเล่ามีบิดาเหมือนไม่มีเวลานี้เจ้าจะต้องไปบ้าน
ไปพบลูก พบชายาและพระญาติที่แก่เฒ่า"
ว่าแล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็นำเสด็จพระพุทธองค์ไปสู่พระราชวัง
ถวายขาทนียโภชนียาหารอันประณีตสมควรแก่กษัตริย์ พระผู้มีพระภาคแสดงพระธรรมเทศนาโปรดให้พระบิดาเป็นพระสกทาคามี
และพระนางมหาปชาบดีโคตมีพระน้านางเป็นพระโสดาบัน แล้วเสด็จกลับสู่นิโครธาราม.