วันเวลาปัจจุบัน 20 ส.ค. 2025, 13:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2025, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 8001

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

วันนี้ขอพูดถึงข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของพระพุทธองค์ ๒ เรื่อง

คือ เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธประสงค์ไปดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา
กับเรื่องเกี่ยวกับผลกรรมในอดีตของพระพุทธองค์

ขอว่าตามลำดับ (ถ้าไม่จบก็ขอต่อในตอนหน้า)

๑. เรื่องที่หนึ่ง เบื้องหลังพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร (คือตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน) ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี แล้วพระพุทธองค์ตรัสเรียกประชุมสงฆ์ ณ อุปัฏฐานศาลา (โรงธรรม) ตรัสสอนให้หมั่นเจริญธรรมที่จะทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้นาน อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๔ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘

ธรรมะเหล่านี้เนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง อยากทราบให้เปิดพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ดูก็แล้วกัน

รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลีทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

ชาวพุทธเรียกอาการทอดพระเนตรนี้ว่า นาคาวโลก (การเหลียวดูแบบพญาช้าง, การมองอย่างช้างเหลียวหลัง) ต่อมาชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นอนุสรณ์ขึ้นชื่อว่า พระพุทธรูปปางนาคาวโลก จากนั้นก็เสด็จไปยังภัณฑุคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลำดับ

จากโภคนครก็เสด็จต่อไปยังเมืองปาวา เสวยสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้วพระอาการประชวรกำเริบ ทรงข่มทุกขเวทนาไว้ เสด็จต่อไปยังเมืองกุสินารา อันเป็นสถานที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระอานนท์ซึ่งตามเสด็จพระพุทธองค์ตลอดทาง ได้กราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองใหญ่อื่นๆ เช่น เมืองราชคฤห์ เมืองโกสัมพี เมืองสาวัตถี

แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์มีพุทธประสงค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินาราเป็นการเฉพาะ

เมื่อกราบทูลถามเหตุผล เหตุผลที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ ฟังดูไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะมีเหตุผลอื่นลึกๆ อยู่ในคำตอบนั้นก็ได้

คือพระองค์ตรัสว่า ที่ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา เพราะเมืองกุสินาราในอดีตกาลยาวนานโพ้นเป็นเมืองใหญ่

อานนท์ เธออย่ากลัวอย่างนี้ว่ากุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองดอน เมืองกิ่ง

แต่ปางก่อนพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า มหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม

เมืองกุสินารานี้มีนามว่า กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ มีความยาวด้านบูรพาและประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทักษิณและอุดร ๗ โยชน์

กุสาวดีเป็นราชธานีที่มั่งคั่ง มีผู้คนแน่นหนา มีภักษาหาได้ง่าย

สรุปแล้วเหตุผลที่ทรงมุ่งมั่นจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารานี้ให้ได้เพราะเมืองนี้ในอดีตเป็นเมืองใหญ่เป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ

ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง ถ้าเอาความยิ่งใหญ่ในอดีตตัดสิน เมืองอื่นๆ ในอดีตก็คงจะใหญ่เหมือนกัน และบางเมืองยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันมายาวนาน เช่นเมืองพาราณสีก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ หรือถ้าเห็นว่าเมืองพาราณสีเป็นฐานที่มั่นของพราหมณ์ เมืองอย่างเมืองไพศาลีก็ยิ่งใหญ่มายาวนาน และเหมาะที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้


รูปภาพ
เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร
คือตัดสินพระทัยจะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแล้ว
รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี
มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลี
ทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี
ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2025, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 8001

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระยาสวัสสวดีมารทูลอาราธนาให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน
:b44: :b47: :b44:

ผมก็คิดเล่นๆ (อย่าซีเรียสนะครับ) ว่าพระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์อย่างอื่นที่มุ่งหน้าไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแน่นอน ที่ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองใหญ่ในอดีตก็เพื่อจะปลอบพระอานนท์ ที่อยากให้พระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ ไม่ควรปรินิพพานที่เมืองเล็กเช่นเมืองกุสินารา

พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าน้อยใจเลยว่าพระองค์ปรินิพพานในเมืองเล็ก ไม่สมพระเกียรติ กุสินาราถึงจะเล็กในปัจจุบัน ในอดีตก็เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน

เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นดังนี้

๑. เพื่อทรงสงเคราะห์พระประยุรญาติที่เมืองกุสินารา ในพุทธประวัติไม่บอกชัดดอกว่าเมืองกุสินาราเป็นพระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านแสดงความเห็นว่า พวกมัลลกษัตริย์น่าเป็นเผ่าศากยะหรือสืบมาจากเผ่าศากยะ เพราะมีระบบการปกครองและจารีตประเพณีเหมือนๆ กับพวกศากยะ

ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง ก็ไม่แปลกที่พระพุทธองค์จะ “ต้อง” เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองของพวกเขา เพื่อทรงสงเคราะห์พวกเขาในวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์

ในพุทธจริยา ๓ ประการนั้น จริยาทั้ง ๒ คือ โลกกัตถจริยา (ทำประโยชน์แก่ชาวโลก) พุทธัตถจริยา (ทำประโยชน์ในฐานะทรงเป็นพระพุทธเจ้า) พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมาสมบูรณ์แล้ว แต่ญาตัตถจริยา (ทรงสงเคราะห์ญาติ) ยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะเสด็จไปโปรดพระญาติเมืองกุสินารา

การเสด็จไปดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงเป็นการสงเคราะห์ประยุรญาติของพระพุทธองค์นั้นเอง พระญาติฝ่ายศากยวงศ์และโลกิยวงศ์ พระองค์ก็ทรงสงเคราะห์มาหมดแล้ว ยังเหลือแต่พระญาติที่เมืองกุสินารา ซึ่งจะต้องทรงสงเคราะห์เป็นครั้งสุดท้าย

เหล่ามัลลกษัตริย์จะได้มีโอกาสถวายพุทธบูชา ด้วยการจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และได้ทำบุญกิริยาอย่างอื่น เช่น ถวายทานแก่พระสงฆ์จำนวนมากที่หลั่งไหลมาในงานนี้

เมืองเล็กๆ แต่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระย่อมมีความสำคัญ และเป็นที่เกรงขามของเมืองใหญ่ๆ ไม่บันเบา

เพราะต่างก็รู้ว่า กุสินารา เป็นเมืองที่พระพุทธองค์ทรงเลือกแล้ว

๒. อีกเหตุผลหนึ่ง ถ้าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองใหญ่ เช่น เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี กษัตริย์เมืองใหญ่นั้นๆ จะต้องถือสิทธิ์เป็นเจ้าของพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์เพียงผู้เดียว เมืองอื่นที่เคารพนับถือพระพุทธองค์ หรือที่เป็นพระประยุรญาติของพระองค์คงไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบูชาแน่นอน

แต่เมื่อพระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็กโอกาสที่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะได้รับการแจกแบ่งไปยังเมืองต่างๆ เพื่อสักการบูชาย่อมมีความเป็นไปได้มาก และเป็นไปได้ง่าย

เพราะเมืองเล็กย่อมไม่สามารถขัดขืน หรือหวงพระบรมสารีริกธาตุไว้สำหรับตนแต่ฝ่ายเดียว


การเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงไม่เป็นเพียงเพื่อสงเคราะห์เหล่ามัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราเท่านั้น ยังได้สงเคราะห์เมืองใหญ่น้อยอื่นๆ อีกด้วย ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็ขอยืมพังเพยไทยมาพูดว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนั้นแล

ข้อสังเกตของผมฟังได้ไหมครับ ฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟัง ลืมๆ ไปเสีย ส่วนประเด็นที่สองเอาไว้พูดถึงคราวหน้าก็แล้วกัน


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8: ที่มา : หนังสือ บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต หน้า ๑๔-๑๗


:b50: :b49: รวมคำสอน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38913

:b50: :b49: ประวัติและผลงาน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44336

:b47: สถานที่ทรงกระทำนิมิตโอภาส ๑๖ ตำบลให้พระอานนท์ทราบ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=65950

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร