เท่าที่ได้กล่าวมาในเรื่อง
ชีวิตนี้เพื่องาน และงานนี่เพื่อธรรม
ทั้งหมดนี้ก็เป็นนัยหนึ่งของความหมายแต่ถ้าจะวิเคราะห์อีกแบบหนึ่ง
ชื่อหัวข้อที่ตั้งไว้ก็ได้แยกชีวิตกับงานออกเป็นสองคำ
เมื่อกี้เราได้ดึงเอาชีวิตกับงานมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นในแง่ของความเป็นจริงก็เป็นคำพูดคนละคำ
ชีวิตก็เป็นอันหนึ่ง งานก็เป็นอันหนึ่ง เพียงแต่เรามาโยงให้เป็นเอกภาพ
ทีนี้
แง่ที่ชีวิตกับงานเป็นคนละคำ ยังเป็นคนละอย่างและยังมีความหมายที่ต่างกัน
ก็คือ งานนั้นมีลักษณะที่จะต้องทำกันเรื่อยไปไม่สิ้นสุด
ยังไม่มีความสมบูรณ์เสร็จสิ้นที่แท้จริง เพราะว่างานนั้นสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของกาลเทศะ
และของชุมชน สังคมมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นงานจะไม่มีความสมบูรณ์เสร็จสิ้น
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปตามสภาพแวดล้อมของสังคม แต่ชีวิตของคนมีความจบสิ้นในตัว
จะไม่ไปกับงานตลอดไป อันนี้ก็เป็นอีกแง่หนึ่ง
ตามที่พูดไปแล้วแม้ว่าชีวิตกับงานจะเป็นเอกภาพกันได้แล้ว
แต่ในแง่หนึ่งก็ยังมีความต่าง อย่างที่ว่า งานสำหรับสังคมนี้คงดำเนินต่อไป
แต่ชีวิตของคนมีการจบสิ้นได้ และจะต้องจบสิ้นไป แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้งานมีความสมบูรณ์เสร็จสิ้น
แต่ชีวิตของคนเราแต่ละชีวิตเราควรจะทำให้สมบูรณ์
และชีวิตของเราในโลกนี้เราก็สามารถทำให้สมบูรณ์ได้ด้วย
ทำอย่างไรจะให้สมบูรณ์
ในทางพระพุทธศาสนาได้แสดงหลักเกี่ยวกับจุดหมายของชีวิตได้
๓ ขั้นว่า ชีวิตที่เกิดขึ้นมานั้นแม้ว่ามันจะไม่มีจุดหมายของมันเอง
เราก็ควรทำให้มีจุดหมาย เราอาจจะตอบไม่ได้ว่า ชีวิตนี้เกิดมามีจุดหมายหรือไม่
เพราะเมื่อว่าตามหลักธรรมแล้ว ชีวิตนี้เกิดมาพร้อมด้วยอวิชชา
ชีวิตไม่ได้บอกเราว่ามันมีจุดหมายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราก็สามารถตั้งความมุ่งหมายให้แก่มันได้ด้วยการศึกษาและเข้าใจชีวิต
ก็มองเห็นว่าชีวิตนี้จะเป็นอยู่ดี จะต้องมีคุณภาพ จะต้องเข้าถึงสิ่งหรือสภาวะที่มีคุณค่าหรือเป็นประโยชน์แก่มันอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ ทางพระจึงได้แสดงไว้ว่า เมื่อเกิดมาแล้วชีวิตของเราควรเข้าถึงจุดหมายระดับต่างๆ
เพื่อให้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำให้แก่ชีวิตของเราเอง
ให้มันมีให้มันเป็นได้อย่างนั้น ประโยชน์หรือจุดหมายนี้
ท่านแบ่งเป็น ๓ ขั้น
จุดหมายที่หนึ่ง
เรียกว่า จุดหมายที่ตามองเห็น จุดหมายของชีวิตที่ตามองเห็น
โดยพื้นฐานที่สุด ถ้าพูดด้วยภาษาของคนปัจจุบัน ก็คือ การมีรายได้
มีทรัพย์สินเงินทอง มีปัจจัย ๔ พอพึ่งตัวเองได้ การเป็นที่ยอมรับ
และอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ เรื่องผลประโยชน์และความจำเป็นต่างๆ
ทางวัตถุและทางสังคมเหล่านี้ ชีวิตของเราจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัย
เราปฏิเสธไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การพึ่งตัวเองได้ในทางเศรษฐกิจและสังคม
เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องกระทำให้เกิดให้มี ทุกคนควรที่จะต้องพิจารณาตัวเองว่า
ในขั้นที่หนึ่ง เกี่ยวกับการมีทรัพย์ที่จะใช้สอย มีปัจจัยที่พออยู่ได้
การสัมพันธ์ในทางที่ดีกับผู้อื่นในสังคม เรื่องของความอยู่ดี
พึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ตามองเห็นนี้
เราทำได้แค่ไหนบรรลุผลไหม นี่คือขั้นที่หนึ่งที่ท่านให้ใช้เป็นหลักวัด
ต่อไปขั้นที่สอง
จุดหมายที่เลยจากตามองเห็น หรือประโยชน์ซึ่งเลยไกลออกไปข้างหน้า
เลยจากที่ตามองเห็น ก็คือด้านในหรือด้านจิตใจ หมายถึง
การพัฒนาชีวิตจิตใจ รวมทั้งการมีความสุขในการทำงาน การมองเห็นคุณค่าของงานในแง่ความหมายที่แท้จริงว่าเป็นประโยชน์
ต่อเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อสันติสุข ความประพฤติสุจริต พร้อมที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมได้ต่างๆ
สภาพเหล่านี้ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจและเอิบอิ่มภายในจิตใจ
เป็นความสุขที่ลึกซึ้ง นี่เป็นสิ่งที่เลยจากตามองเห็น
ซึ่งคนหลายคนแม้นจะมีประโยชน์ที่ตามองเห็นพรั่งพร้อมบริบูรณ์
แต่ไม่มีความสุขที่แท้จริงเลย เพราะพ้นจากที่ตามองเห็นไปแล้ว
จิตใจไม่พร้อม ไม่ได้พัฒนาเพียงพอ เพราะฉะนั้น ต้องมองว่าในส่วนที่มองไม่เห็น
คือ เลยไปกว่านนั้นยังมีอีกส่วนหนึ่ง แล้วส่วนนั้นเราได้แค่ไหนเพียงไร
สุดท้าย
จุดหมายที่พ้นเหนือโลก หรือจุดหมายแห่งการเข้าถึงอิสรภาพ
เรียกว่า ประโยชน์สูงสุด คือ ประโยชน์ในขั้นที่สองนั้น
แม้จะเลยจากที่ตามองเห็นประโยชน์ในขั้นที่สองนั้น แม้จะเลยจากที่ตามองเห็นไปแล้ว
ก็ยังเป็นเพียงเรื่องของนามธรรมในระดับของความดีต่างๆ
ซึ่งแม้จะสูง แม้จะประเสริฐก็ยังมีความยึดความติดอยู่ในความดีความงามต่างๆ
เหล่านั้น และยังอยู่ในข่ายของความทุกข์ ยังไม่พ้นเป็นอิสระแท้จริง
ส่วนจุดหมายขั้นสุดท้ายนี้ ก็คือการอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นขึ้นไป
คือความเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือว่า
ความเป็นอิสระโดยสมบูรณ์เป็นจุดหมายที่แท้จริงของชีวิต
ตอนนี้
แม้แต่งานที่ว่าสำคัญ เราก็ต้องอยู่เหนือมันเพราะถึงแม้ว่างานกับชีวิตของเราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่ตราบใดที่เรายังมีความติดในงานนั้นอยู่ ยังยึดถือเป็นตัวเรา
เป็นของเรา งานแม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามมีคุณค่าเป็นประโยชน์
แต่เราก็จะเกิดความทุกข์จากงานนั้นได้ จึงจะต้องมาถึงขั้นสุดท้ายอีกขั้นหนึ่งคือ
ความหลุดพ้นเป็นอิสระโดยสมบูรณ์อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง แม้แต่สิ่งที่เรียกว่างาน
ในขั้นนี้เราจะทำงานให้ดีที่สุด
โดยที่จิตใจไม่ติดค้างกังวลอยู่กับงาน ไม่ว่าในแง่ที่ตัวเราจะได้ผลอะไรจากงานนั้น
หรือในแง่ว่างานจะทำให้ตัวเราได้เป็นอย่างนั้นๆ หรือแม้แต่ในแง่ว่างานของเราจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ
การมองตามเหตุปัจจัยนั้นเป็นตัวต้นทางที่จะทำให้เรามาถึงขั้นนี้
ในเวลาที่ทำงานเราทำด้วยความตั้งใจอย่างดีที่สุด แต่มีท่าทีของจิตใจที่ว่ามองไปตามเหตุปัจจัย
ถ้างานนั้นมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นไป
ไม่ใช่เรื่องของตัวเราที่จะเข้าไปรับกระทบ เข้าไปอยาก
เข้าไปยึด หรือถือค้างไว้ เรามีหน้าที่แต่เพียงทำเหตุปัจจัยให้ดีที่สุดด้วยความรู้ที่ชัดเจนที่สุด
มีแต่ตัวรู้ คือ รู้ว่าที่ดีงาม ถูกต้องหรือเหมาะควรเป็นอย่างไร
รู้ว่าเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนั้นคืออะไร แล้วทำตามที่รู้คือ
ทำเหตุปัจจัยที่รู้ว่าจะเกิดผลเป็นการดีงามถูกต้องเหมาะหรือควรอย่างนั้น
เมื่อทำเหตุปัจจัยแล้ว
มันก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยนั้นแหละที่จะทำให้เกิดผลขึ้นมา
เราหมดหน้าที่แค่นั้นไม่ต้องมายุ่งในนอกเหตุปัจจัย ไม่ต้องไปอยากไปยึด
ตอนนี้ใจของเราก็เรียกว่าลอยพ้นออกมาได้ส่วนหนึ่ง เมื่อใดเราเข้าถึงความจริงโดยสมบูรณ์แล้ว
จิตใจของเราก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้ทำงานนั้นได้ผลสมบูรณ์
โดยพร้อมกันนั้นก็ไม่ทำให้ตัวเราตกไปอยู่ใต้ความกดทับ
หรือในการบีบคั้นของตัวงานนั้นด้วย แต่เราก็คงสุขสบายโปร่งใจอยู่ตามปกติของเรา
อันนี้เป็นประโยชน์สูงสุดในขั้นสุดท้ายถ้าสามารถทำได้อย่างนี้
ชีวิตก็จะมีความสมบูรณ์ในตัว
ดังได้กล่าวแล้วว่า
งานไม่ใช่เป็นตัวเรา และก็ไม่ใช่เป็นของเราจริง แต่งานนั้นเป็นกิจกรรมของชีวิตเป็นกิจกรรมของสังคม
เป็นสิ่งที่ชีวิตของเราเข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องแล้วก็ต้องผ่านกันไปในที่สุด
งานนั้นเราไม่สามารถทำให้สมบูรณ์แท้จริงเพราะมันขึ้นกับผลที่มีต่อสิ่งอื่น
ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อม กาลเทศะ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
คนอื่นจะต้องมารับช่วงทำกันต่อไป แต่ชีวิตของเราแต่ละคนนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สมบูรณ์ได้
และเราสามารถทำให้สมบูรณ์แท้จริงเพราะมันขึ้นกับผลที่มีต่อสิ่งอื่น
ขึ้นกับปัจจัยสิ่งแวดล้อม กาลเทศะ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
คนอื่นจะต้องมารับช่วงทำกันต่อไป แต่ชีวิตของเราแต่ละคนนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สมบูรณ์ได้
และเราสามารถทำให้สมบูรณ์ได้ แม้แต่ด้วยการปฏิบัติงานนี้แหละอย่างถูกต้อง
เมื่อเราปฏิบัติต่องานหรือทำงานอย่างถูกต้องมีท่าทีของจิตใจต่องานถูกต้องแล้ว
ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ในตัวในแต่ละขณะนั้นนั่นเอง
นี่คือ ประโยชน์ในระดับต่างๆ จนถึงขึ้นสูงสุดที่ทางธรรมสอนไว้
รวมความว่า
ภาระที่ชีวิต งาน และธรรม ประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
หรือเอกภาพที่กล่าวมานั้น เมื่อวิเคราะห์ลงไปแล้ว ยังแยกได้เป็น
๒ ระดับ
ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าในเวลาทำงาน ชีวิตจะเต็มอิ่มสมบูรณ์ในแต่ละขณะนั้นๆ
ทุกขณะ เพราะชีวิตจิตใจกลมกลืนเข้าไปในงานเป็นอันเดียวกัน
พร้อมทั้งมีความสุขพร้อมอยู่ด้วยในตัว แต่ลึกลงไปในจิตใจก็ยังมีความยึดติดถือมั่นอยู่ว่างานของเราๆ
พร้อมด้วยความอยาก ความหวังความหมายมั่น และหวาดหวั่นว่า
ขอให้เป็นอย่างนั้นเถิด มันจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่หนอ
เป็นต้น จึงยังแฝงเอาเชื้อแห่งความทุกข์ซ่อนไว้ลึกซึ้งภายใน
เป็นเอกภาพที่มีความแยกต่างหาก ซึ่งสิ่งที่ต่างหากกันเข้ามารวมกัน
มีตัวตนที่ไปรวมเข้ากับสิ่งอื่น หรือฝังกลืนเข้าไปในสิ่งนั้นในงานนั้น
ซึ่งเมื่อมีการรวมเข้าก็อาจมีการแยกออกได้อีก
ส่วนในอีกระดับหนึ่ง
ความประสานกลมกลืนของชีวิตจิตใจกับงานที่ทำ เป็นไปพร้อมด้วยความรู้เท่านตามความเป็นจริงในธรรมชาติของชีวิตและการงาน
เป็นต้น ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยไม่ต้องอยากยึดมั่นถือสำคัญมั่นหมายให้นอกเหนือ
หรือเกิดออกไปจากการกระทำตามเหตุผลด้วยความตั้งใจ และเพียรพยายามอย่างจริงจัง
เป็นภาวะอิสรภาพซึ่งเอกภาพเป็นเพียงสำนวนพูด เพราะแท้จริงแล้วไม่มีอะไรแยกต่างหากที่จะต้องมารวมเข้าด้วยกันเนื่องจากไม่มีตัวตน
ที่จะเข้าไปรวมหรือแยกออกมาเป็นเพียงความเป็นไป หรือดำเนินไปอย่างประสานกลมกลืนในความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลาย
ที่แท้ก็คือความโปร่งโล่ง เป็นอิสระ เรียกว่าภาวะปลอดทุกข์ไร้ปัญหา
เพราะไม่มีช่องให้ความคับข้องติดขัดบีบคั้นเกิดขึ้นเลย
ฉะนั้น
พึงเข้าใจว่า ภาวะที่ชีวิต งาน และธรรม ประสานกลมกลืนเข้าเป็นหนึ่งเดียว
ดังได้กล่าวมา ก่อนหน้านี้ซึ่งผู้ทำงานมีชีวิตเต็มสมบูรณ์เสร็จสิ้นไปในแต่ละขณะ
ที่เป็นปัจจุบันนั้น ว่าที่จริงแล้วเมื่อถึงขั้นสุดท้ายก็ตรงกันกับภาวะของการมีชีวิตที่เป็นอิสระอยู่พ้นเหนืองาน
ที่กล่าวถึงในที่นี้นั่นเอง เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น
หมายถึง ความสัมพันธ์ที่กลมกลืนเสร็จสิ้นผ่านไปในแต่ละขณะไม่ใช่เป็นการเข้าไปยึดติดผูกพันอยู่ด้วยกัน
ซึ่งแม้จะอยู่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นแยกต่างหาก จึงมารวมหรือยึดติดกัน
แต่ในภาวะที่เป็นเอกภาพอย่างสมบูรณ์แท้จริงผู้ที่ทำงาน
มีชีวิตเป็นงาน และมีงานเป็นชีวิตในขณะนั้นๆ เสร็จสิ้นไปโดยไม่มีตัวตนที่จะแยกออกมายึดติดในขณะนั้น
และไม่มีอะไรค้างใจเลยไปจากปัจจุบัน จึงเป็นอิสรภาพในท่ามกลางแห่งภาวะที่เรียกว่าเป็นเอกภาพนั้นทีเดียว
เป็นอันว่าชีวิตเพื่องาน งานนี้เพื่อธรรม
และลึกลงไปอีก ชีวิตนี้ก็เป็นงานและงานนี้ก็เป็นธรรม และชีวิตก็เป็นธรรมเองด้วย
จนกระทั่งในที่สุดชีวิตนี้ก็มาถึงขั้นสุดท้าย คือ เป็นชีวิตที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงาน
แต่ก็เป็นอิสระอยู่พ้นเหนือแม้แต่งาน ก็เป็นอันว่าถึงความจบสิ้นสมบูรณ์
ถ้าถึงขั้นนี้ก็เรียกว่าเป็นประโยชน์สูงสุดในประโยชน์สามขั้นที่เราจะต้องทำให้ได้
พระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า
คนเราเกิดมาควรเข้าถึงประโยชน์ให้ครบสามขั้น และประโยชน์ทั้งสามขั้นนี้แหละคือเครื่องมือ
หรือเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดผลของตนเองในการดำเนินชีวิต
ถ้าเราดำเนินชีวิตของเราไปแล้ว คอยเอาหลักประโยชน์ หรือจุดหมายสามขั้นนี้มาวัดตัวเองอยู่เสมอ
เราก็จะเห็นการพัฒนาตนเอง หรือเป็นการสร้างสมความดีก็ตาม
หลักประโยชน์สามขั้นนี้ สามารถนำมาใช้ได้เสมอไป ใช้ได้จนถึงขั้นสมบูรณ์เป็นอิสระ
จบการพัฒนาอยู่พ้นเหนือการที่จะเป็นทุกข์ แม้แต่เพราะความดี
วันนี้
อาตมาภาพได้มาพูดในโอกาสอันเป็นสิริมงคล ก็ต้องการให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าเป็นประโยชน์
ประโยชน์ก็คือจุดหมายดังที่กล่าวมานี้ ซึ่งมีถึง ๓ ขั้น
ก็ขอให้เราทั้งหลายมาช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสามขั้นนี้
ทั้งแก่ชีวิตของตนเอง ทั้งแก่ชีวิตของคนอื่น และแก่สังคมส่วนรวม
แล้วอันนี้แหละจะเป็นเครื่องแสดงถึงการที่ธรรมได้เกิดขึ้น
และงอกงามสมบูรณ์ในโลก
|