การที่จะเจริญก้าวหน้าขึ้นไปนี่
ถ้าจะให้เห็นชัดก็ต้องดูจากหน่วยย่อยเพราะความเจริญก้าวหน้าในปีหนึ่งๆ
นั้นก็มาจากแต่ละเดือน มาจากแต่ละวันรวมกันเข้า เพราะฉะนั้นคนที่จะเจริญจริงๆ
จึงต้องทำการสำรวจประจำวันว่า ในแต่ละวันนี้เราได้พัฒนาได้ผลเพิ่มพูนขึ้นหรือเปล่า
ถ้ามัวสำรวจช้าๆ รอเดือนหนึ่ง หรือปีหนึ่งนั้นไม่ทันหรอก
คนที่จะมีฐานะดีขึ้นตั้งตัวได้และเจริญรุ่งเรืองนี่เขาต้องสำรวจในแต่ละวัน
พระท่านจึงสอนเตือนไว้เป็นพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง จำไว้ได้ก็ดี
เอาไว้สำรวจตัวเอง ท่านบอกว่า
เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่า
ไม่มากก็น้อย ต้องให้ได้อะไรบ้าง
ถ้าจำอันนี้ได้และนำมาใช้ละก็เจริญงอกงามแน่เลย
เพราะแต่ละวันเราจะสำรวจตนเองว่า วันนี้เราได้อะไรไหม
ก่อนจะนอนก็สำรวจก่อน ทีนี้ถ้าสำรวจแล้วปรากฏว่าได้ ก็มีความพอใจ
แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นเครื่องเตือนสติว่า
พรุ่งนี้เราจะต้องพยายามทำให้ได้ผล ต้องแก้ตัว และต่อไปจะต้องให้รู้สึกว่าได้ทุกวัน
พอได้ทุกวันแล้ว ครบปีหนึ่งไม่รู้ว่าได้เท่าไร เดือนหนึ่งก็เยอะแล้ว
ปีหนึ่งยิ่งมากมาย เพราะฉะนั้น ให้สำรวจดูในแต่ละวัน ทางพระท่านบอกเป็นคาถาภาษาบาลีว่า
อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน
วา
จำเป็นคาถาไว้ก็ได้
คาถาอย่างนี้มีประโยชน์คาถาบางอย่างคนท่องไปไม่รู้เรื่อง
ท่องไปโดยไม่รู้ความหมายเลย แต่คาถาที่อาตมาให้คราวนี้ใช้ได้ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
เป็นคาถาที่ได้ผลชะงัดเลยทีเดียวและเราก็รู้ความหมาย มองเห็นประโยชน์แท้จริง
ทวนอีกทีว่า อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา เท่านี้แปลว่า
เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อย ต้องให้ได้อะไรบ้าง
เอาแค่นี้ละ แต่ละวัน แต่ละคืนนี่ให้สำรวจตัวเอง
ทีนี้ที่ว่า
"ได้" นี่ หลายคนก็มองไปในแง่ว่าได้เงิน อย่าไปคิดแค่นั้นชีวิตของเราไม่ได้แค่นั้น
แม้แต่อย่างง่ายๆ ที่พูดกันว่าชีวิตของเราอยากได้ความสุข
ถ้าเราได้เงินมากก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะหล่อเลี้ยงให้เรามีความสุข
แต่ไม่ใช่ว่าได้เงินแล้วจะมีความสุขแน่นอน เงินไม่ใช่หลักประกันของความสุขมันเป็นเพียงตัวเอื้อให้มีความสุข
แต่หลายคนได้เงินมามากก็ไม่มีความสุข ก็เห็นๆ รู้ๆ กันอยู่
ไม่ต้องยกตัวอย่าง
เพราะฉะนั้น
ได้เงินอย่างเดียวยังไม่พอต้องได้อย่างอื่นด้วย ถ้าได้เงินอย่างเดียวก็ได้แค่วัตถุได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมได้เพียงด้านร่างกาย
แต่ที่จะให้มีความสุขจริงนั้นได้ทางร่างกายอย่างเดียวไม่พอ
ต้องได้ทางด้านจิตใจด้วย ทางใจจะได้อย่างไร การได้ทางใจที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง
ก็คือ การที่รู้สึกว่าเราได้ทำชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์
งานนี่ละเป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นประโยชน์
งานเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
เรารู้แล้วนี่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ทั้งในการพัฒนาตน
และในการที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติ สังคม วันนี้เราได้งานแล้ว
ได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว พอรู้สึกอย่างนี้ก็ได้ผลทางจิตใจ
การที่เราทำอะไรต่างๆ
นี่เพื่ออะไร หาเงินหาทองเพื่ออะไร ก็เพื่อจะให้มีความสุข
เสร็จแล้วเราได้ความสุขจริงหรือเปล่า ลองสำรวจดูในแต่ละวัน
บางคนไม่เคยสำรวจเลยว่า เป้าหมายที่แท้ คือ ความสุขเราได้หรือเปล่า
แต่ไปมองแค่ว่าได้เงินหรือเปล่า ไม่ได้ดูต่อไปให้ถึงเป้าว่า
ได้เงินมาแล้วเรามีความสุขหรือเปล่า เสร็จแล้วหาเงินตลอดชีวิตแต่ไม่พบความสุขแท้สักทีก็ไม่ได้เรื่อง
ตกลงว่ามาสำรวจกันเลย
สำรวจตั้งแต่วันนี้นี่แหละ ทั้งด้านเงิน ด้านงาน ด้านการทำประโยชน์
และอะไรต่ออะไรแล้วแต่จะคิดได้ แต่ให้มาลงท้ายที่จิตใจว่าได้มีความสุข
มีความสงบ มีความเจริญขึ้นไหม ถ้าจิตใจมีการพัฒนาก็จะมีความสุขอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้
คือ มีความร่าเริงเบิกบานใจ มีความอิ่มใจ มีความผ่อนคลาย
สงบเย็นกายเย็นใจ มีความปลอดโปร่ง คล่องใจ และมีความสงบมั่นคงแน่วแน่ของจิตใจ
ถ้าดูจนถึงจุดนี้แล้วก็สบายใจได้
เรียกว่า ดูครบวงจรไม่ใช่ดูแค่เงินอย่างเดียว ติดอยู่ต้นวงจรได้วัตถุอย่างเดียวไม่พอ
การสำรวจรายได้แต่ละวันต้องสำรวจให้ครบวงจร ตั้งแต่ได้วัตถุที่หยาบไปจนถึงสาระในจิตใจที่เป็นนามธรรมละเอียดบริสุทธิ์ว่า
เราได้ความสุขความสงบของจิตใจ ความร่าเริงเบิกบานใจบ้างไหม
ต้องพยายามให้ได้ แต่ละวันก่อนจะนอนหลับอย่างน้อยมันเครียดมาทั้งวันแล้ว
มันเศร้าหมองขุ่นมัวมามาก เอาละก่อนจะนอนให้มันยิ้มกับตัวเองได้ก็ยังดี
ยิ้มในใจและทำให้ร่าเริง แม้แต่จะนอนก็ยังปรุงแต่งจิตใจของเราได้
เวลาจะนอนพอล้มตัวลงไป
ก็วางตัวให้สบายแล้วปล่อยมือปล่อยเท้า บอกกับตัวเองว่า
สบาย และทำใจให้รู้สึกสบายอย่างที่ว่านั้น ทำใจอย่างนี้ให้เป็นการนำตัวเอง
จิตใจของคนเรานี้มันทำตัวเองได้ พอเรานอนแล้วเราก็บอกตัวเองว่าสบายแล้วก็ทำใจให้สงบสบายจริงๆ
บางคนไม่เคยนึกไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ใจไม่มีเวลาพักเลย
ร่างกายก็เหมือนกันไม่ได้มีเวลาพัก แต่ถึงกายจะพักใจก็ไม่พักอีก
คิดวุ่นวายงุ่นง่านอย่างที่คนโบราณว่า กลางคืนเป็นควัน
กลางวันเป็นเปลว หมายความว่า ร้อนรุ่มตลอดเวลา
ฉะนั้น
จึงต้องมีวิธีการ อย่างน้อยพอพักผ่อนกายแล้วก็ให้ใจได้พักด้วย
บอกตัวเองว่าสบายแล้วก็ทำให้ใจผ่อนคลายโปร่งเบา ให้ร่าเริงเบิกบาน
ให้มีความสุข ถ้าเกิดนอนไม่หลับก็อย่าไปทุกข์มัน บางคนนอนไม่หลับแล้วยังไปซ้ำเติมตัวเองอีก
นอนไม่หลับอย่างเดียวก็แย่อยู่แล้วยังไปทุกข์กระวนกระวายเพราะความไม่หลับอีก
โอย ! ทำไมเราจึงไม่หลับสักที กลุ้มใจ กังวลใจ ก็นอนทรมานเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นพอถึงตอนเช้าก็หวิวๆ
โหวงเหวงจะเป็นลมเอา
ทีนี้
เอาใหม่ ถ้านอนไม่หลับ ก็ไม่เป็นไร ช่างมันมีเทคนิคที่จะแก้ไขตั้งหลายอย่าง
ลองอย่างพระท่านบอกว่าให้กำหนดลมหายใจ นับลมหายใจ หายใจเข้ายาวๆ
หายใจออกยาวๆ สัก ๕๐ ครั้ง บางคนนับไม่ทันครบหรอกหลับไปเมื่อไรไม่รู้
ก็ขอให้ลองนับลมหายใจดู
ทีนี้บางคนนับแล้วก็ไม่หลับ
มีเหมือนกัน ๕๐ ครั้งก็ไม่หลับ ๑๐๐ ครั้งก็ไม่หลับ ไม่ต้องเป็นห่วงจะบอกให้อีก
คาถาหนึ่งว่า หลับก็ช่าง ไม่หลับก็ช่าง ภาวนาเลย หายใจเข้า
หลับก็ช่าง หายใจออก
ไม่หลับก็ช่าง ทำใจให้สบาย มันไม่หลับทั้งคืนก็ช่างมันฉันไม่แคร์
พอทำอย่างนี้แล้วถึงเช้าก็ไม่เห็นเพลียเลย อาตมาเคยป่วยแล้วนอนไม่หลับ
ความเจ็บป่วยมันก่อกวน ก็ทำอย่างที่ว่านี้แหละ บอกในใจว่า
หลับก็ช่าง ไม่หลับก็ช่าง เหมือนจังหวะรถไฟ ก็ได้ผล ถึงจะไม่หลับก็ไม่ค่อยเพลีย
แต่คนที่ไม่หลับแล้วใจว้าวุ่นเป็นห่วงตัวเอง กังวลกับความไม่หลับนี่พอถึงเช้าก็เพลียแทบแย่เลย
ฉะนั้น
ไม่ต้องกลัวถึงมันจะไม่หลับก็ช่างมันเราได้พักใจของเราไปพอสมควรแล้ว
พักใจเถอะ ถึงกายไม่พักก็ให้ใจมันพัก หลับก็ช่างไม่หลับก็ช่าง
นี่ใจพักสบายเลย พอใจพักแล้วกายก็พลอยได้พักไปด้วยแม้ว่าจะไม่เต็มที่อย่างหลับ
ก็สบายไปไม่น้อยเลย นี่แหละเป็นวิธีการต่างๆ ตกลงว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วได้ทุกวัน
ชีวิตนี้ไม่สูญเสียเปล่าได้กำไรเรื่อยไป เพราะฉะนั้น เอาคาถาของพระพุทธเจ้าไปใช้
คาถานี้ชะงัดศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ท่านว่า
อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน
วา
เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง
สำหรับคนที่มีความเพียรขยันมากยิ่งกว่านี้
พระพุทธเจ้าทรงบอกคาถาไว้ให้สั้นกว่านี้อีก เมื่อกี้ยังยาวไป
คราวนี้คาถาก็สั้นเข้าไปเวลาก็สั้นลงอีก ท่านว่า ขโณ โว
มา อุปจฺจคา แปลว่า เวลาแต่ละขณะอย่าให้ล่วงไปเปล่า นี่สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม
ท่านให้เพียรพยายามขนาดนี้ แม้กระทั่งแต่ละขณะก็อย่าให้ผ่านไปเสีย
ถ้าแปลตามตัวอักษรก็ว่า เวลาแต่ขณะอย่าล่วงท่านเสีย อย่าล่วงนี่หมายความว่า
อย่าให้ข้ามตัวเราไปโดยเราไม่ได้ทำอะไร
นี่ก็เป็นคติต่างๆ
ซึ่งอาตมาคิดว่าจะเป็นผลดีเป็นประโยชน์ในการทำงานและในการดำเนินชีวิตของทุกๆ
ท่าน ทุกๆ คน ก็ขอนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นข้อคิดในทางธรรม
วันนี้อาตมาได้ใช้เวลาของที่ประชุมไปมากแล้ว
คิดว่าพอสมควรแก่เวลา ในโอกาสนี้อาตมา คณะพระสงฆ์ก็ขอตั้งใจดีต่อทุกท่านด้วย
ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร รตนตฺตยานุภาเวน
รตนตฺตยเตชสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัยพร้อมทั้งบุญกุศล
มีศรัทธาและเมตตาไมตรีธรรมที่เกิดขึ้นในจิตใจของทุกท่านนี้
จงเป็นปัจจัยอันมีกำลังอภิบาลรักษาให้ทุกท่านเจริญ ด้วยจตุรพิธพรชัยประสพสรรพสิริสวัสดิพิพัฒมงคล
เจริญงอกงามร่มเย็นเป็นสุขในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยทั่วกันทุกท่านตลอดกาลนาน เทอญ.
|