ที่นี้มองต่อไปอีก
งานยังมีคุณค่าหรือมีประโยชน์อะไรอีก คนเรานี้ ในชีวิตก็ต้องการความเจริญก้าวหน้าซึ่งหมายถึงการที่จะต้องพัฒนาตัวเอง
ให้มีสติปัญญา มีความเก่งกล้าสามารถหรือมีความชินิชำนาญในเรื่องต่างๆ
ที่จะให้ทำอะไรๆ ได้ดีขึ้นมีความสำเร็จมากขึ้น ความเก่งกล้าสามารถและความชำนิชำนาญของคนนั้น
มีจุดแสดงออกที่สำคัญก็คือที่งานของเขานั่นเอง ถ้าเราต้องการเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถหรือเป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น
เราจะต้องมีการพัฒนาตัวเอง ส่วนสำคัญของชีวิตที่ทำให้คนพัฒนาตนเองได้ก็คืองาน
การทำงานเป็นการพัฒนาตนเอง
เป็นการฝึกตนเองในทุกด้าน ถ้าเราอยากจะเป็นคนเจริญก้าวหน้าเป็นคนมีคุณภาพ
เราต้องพัฒนาตนเอง จะพัฒนาที่ไหน ก็มาพัฒนาตนเองที่การทำงานนี่แหละ
ใช้งานนี้เป็นเครื่องพัฒนาตนเอง การทำงานให้เป็นการพัฒนาตนเองที่สำคัญมาก
ความสามารถส่วนใหญ่ในชีวิตของเรานี้เกิดจากการทำงาน
แต่ต้องตั้งใจทำ ทำให้ถูกต้องและพยายามทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
คอยสังเกต คอยดู คอยศึกษา คอยสอบถาม คอยหาความรู้อยู่เสมอ
ก็จะเป็นการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถขึ้นมา
การพัฒนาตนเองให้มีความเก่งกล้าสามารถในการงานนี้
นอกจากจะเกิดผลภายนอก เช่น อาจจะได้ผลตอบแทนหรือได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนระดับงานแล้ว
ก็มีผลที่แน่นอนภายในตัวเอง ไม่ว่าภายนอกเราจะได้รับผลตอบแทนหรือไม่ก็ตาม
แต่ในตัวเราๆ รู้ ก็คือ การที่เรามีความชำนิชำนาญมากขึ้น
ทำอะไรได้ดีขึ้น เขาจะมีผลตอบแทนให้หรือจะไม่มีก็แล้วแต่
แต่เรารู้สึกในตัวเองของเรา เราทำไปแล้วเราก็สบายใจ อิ่มใจของเรา
ถ้ารู้สึกว่าเวลาทำอะไรแล้ว เราทำได้ดีขึ้น นี่คือการพัฒนาตนเอง
ขอให้เรามีความภูมิใจสบายใจในตัวได้ทันทีเลย ไม่ต้องรอให้คนอื่นเขามาให้ผลตอบแทน
ฉะนั้น
จึงเป็นการได้สองชั้น คือ ได้จากตัวเองกับได้จากคนอื่น
หรือว่าตอนที่หนึ่ง เราให้แก่ตัวเราเอง ตอนที่สอง คนอื่นให้เรา
ตอนที่หนึ่ง ตัวเรานี้ได้แน่นอนก่อน บางคนไปมองแง่ว่า
เขายังไม่ได้ให้ผลตอบแทนเรา เรายังไม่ได้รับรางวัล ถ้าไปรอหวังผลแบบนั้นละก็อาจจะทำให้ผิดหวัง
อันนั้นเป็นส่วนของคนอื่น เขาจะให้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ส่วนที่เราได้แน่นอน ก็คือ การพัฒนาตัวเอง และอันนี้แหละเป็นการได้ที่แท้จริง
เป็นการได้ที่เข้าถึงเนื้อถึงตัวของเราจริงๆ เป็นการได้ของตัวชีวิตแท้ๆ
และเป็นของเราจริงๆ ใครแย่งชิงหรือฉกฉวยเอาไปไม่ได้ ไม่เหมือนผลตอบแทนที่เป็นของนอกตัว
เราพัฒนาความสามารถขึ้นมา เราเห็นประจักษ์ชัดได้ด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น เราได้ตลอดเวลาจากการทำงาน เมื่อถือว่าการทำงานเป็นการพัฒนาตน
นอกจากพัฒนาความชำนิชำนาญ
หรือความเก่งกล้าสามารถแล้ว นิสัยที่ดี คุณธรรม ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
และการเป็นอยู่ในสังคมก็จะพัฒนาไปด้วย ถ้าเรารู้จักทำ
นิสัยของเราก็จะดีขึ้น คุณสมบัติต่างๆ ก็จะพัฒนาขึ้น เช่น
ความเป็นคนมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทน ความรู้จักสังเกต
ความมีปัญญา ความรู้เข้าใจ และรู้จักพิจารณาเหตุผลในการแก้ปัญหา
จะได้รับการฝึกฝนพร้อมเสร็จไปในตัวเลย เป็นการฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เรื่อยตลอดเวลา
นี่คือลักษณะของชีวิตที่ดีงาม
ซึ่งต้องมีการพัฒนา ต้องมีการก้าวหน้า และก็งานนี่แหละถ้าเราปฏิบัติให้ถูกต้อง
จะเป็นเครื่องพัฒนาชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงควรมองว่างานเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณภาพ
มีการพัฒนาให้ดีขึ้น แล้วเราก็จะมีความสุขกับการทำงานเพราะมองเห็นว่า
เมื่อเราทำงาน ตัวเราก็พัฒนา
นอกจากนี้ก็คือบรรยากาศ
ถ้าทำงานให้เป็นการพัฒนาตน ก็จะได้บรรยากาศที่ดีในการทำงาน
คือ พัฒนาความมีไมตรีจิตมิตรภาพ ความยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกันในหมู่ผู้ร่วมงาน
ที่ว่ามานี้ ก็จะต้องไม่มองข้ามสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือ
พวกสวัสดิภาพและสวัสดิการต่างๆ กล่าวคือ สภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสม
ซึ่งเอื้ออำนวยให้มีความสะดวกสบายตามสมควร สภาพอย่างนี้ทางพระท่านเรียกว่าเป็นสัปปายะ
สัปปายะ ก็คือ บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สถานที่อยู่ ปัจจัยต่างๆ
ซึ่งเกื้อกูลต่อการที่จะดำรงชีวิตและทำการงานให้เราสบายกายสบายใจ
ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล อันนี้ก็เป็นเรื่องขององค์ประกอบแวดล้อม
ซึ่งจะส่งผลช่วยสนับสนุนให้ทำงานด้วยความสบายใจ และมีความรักความพอใจในงานเกิดขึ้นได้ง่าย
แต่ข้อสำคัญก็อย่างที่บอกในตอนต้นแล้ว
คือ ต้องตั้งท่าทีให้ถูกต้องต่องาน อย่าไปมองงานเป็นเรื่องที่ต้องทุกข์ต้องทน
ต้องมองงานเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์ แล้วก็เกิดความรักความพอใจในงาน
พอมีความรักความพอใจอย่างนี้แล้ว เราก็ทำงานด้วยความสุข
ตั้งใจทำ
พอมีความรักงานแล้วผลดีก็ตามมาเป็นกระบวน
คือ พอรักงานแล้วก็อยากทำงาน พออยากทำงานแล้ว งานเดินหน้าไปหน่อย
เราก็รู้สึกว่ามันได้ผลแล้ว พอได้ผลเราก็เกิดความอิ่มใจผลงานที่เกิดขึ้นแต่ละตอนๆ
ทำให้เกิดความอิ่มใจและทำให้เกิดความสุข
การเกิดมีความอิ่มใจที่ทางพระท่านเรียกว่า
ปีติ นั้น เป็นกระบวนการของจิตใจที่จะทำให้คนเรามีสุขภาพจิตที่ดี
คนที่ทำงานอย่างนี้จะไม่ค่อยมีความเครียด ถ้าคนไม่มีปีติ
ไม่มีความอิ่มใจจากงาน แม้ว่างานจะเดินหน้าไป แต่เมื่อยังไม่ได้ผลตอบแทนก็ไม่ได้ความรู้สึกนี้
เพราะใจมัวไปหวังข้างหน้า มองว่าโน่นเลิกงานแล้วจะได้ไปเที่ยวสนุกสนาน
ใจไปอยู่ที่โน่น หรือไปมองที่ผลตอบแทน ใจมันไม่อยู่กับงาน
เมื่อใจไม่อยู่กับงาน ก็หาความสุขจากงานไม่ได้ กลายเป็นต้องทุกข์ในการทำงาน
ใจก็ไม่สบาย อันนี้แหละที่เรียกว่าตั้งท่าทีไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น จะต้องทำใจให้มีความสุขสนุกกับงานไปเลย อย่างที่ว่า
พอใจรักงานแล้ว งานก้าวไปนิด เราก็อิ่มใจเมื่อได้เห็นงานก้าวไปทีละหน่อยๆ
ก็มีความสบายใจอิ่มใจเรื่อยไปตลอดทุกขั้นตอน เป็นอันว่านอกจากจะมีความรักงาน
ทำงานด้วยใจสบาย มีความสุขเป็นพื้นอยู่แล้ว พอเห็นผลงานก็ยิ่งมีความสุขมีปีติมากยิ่งขึ้น
|