ความจริงชีวิตก็เริ่มด้วยการเกิด
การเกิดเป็นการเริ่มต้นของชีวิต ผู้ที่เห็นความสำคัญของชีวิตก็ย่อมเห็นว่าการเกิดเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะถ้าไม่มีการเกิด ชีวิตก็เริ่มต้นและเจริญต่อมาไม่ได้
วันเกิดนั้นในแง่หนึ่งจึงถือว่าเป็นวันของชีวิตและเป็นวันที่เตือนใจเราว่า
การเกิด คือ การที่เราได้ชีวิตมา เมื่อเราได้ชีวิตมาแล้วเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไรดี
วันเกิดอย่างน้อยก็เตือนเราอย่างนี้ เตือนว่าเมื่อเราได้ชีวิตมาแล้วด้วยการเกิดนี้และเมื่อเราเป็นอยู่นี้
เราจะใช้ชีวิตกันอย่างไรดี
ในเรื่องการใช้ชีวิตนี้คนก็มีความคิดเห็นกันต่างๆ
หลายคนก็หลายทัศนะ แต่พูดกว้างๆ ก็อาจจะมีสัก ๕ - ๖ อย่าง
แบบที่หนึ่ง
หลายคนบอกว่า เออ... เราเกิดมาทั้งทีชาตินี้ไม่ยืดยาวนักอยู่กันชีวิตหนึ่ง
ในเวลาที่ยังแข็งแรงหาความสุขได้ก็รีบหาความสนุกสนานใช้ชีวิตสำเริงสำราญกันให้เต็มที่
เพราะไม่ช้าไม่นานก็จะตาย ชีวิตก็จะหมดไป นี้คือ ทัศนะของคนพวกหนึ่งซึ่งมีมาแต่โบราณในสมัยพุทธการก็มี
ถึงกับจัดเป็นลัทธิเลยทีเดียวเรียกว่า ลัทธิจารวาก ซึ่งจัดเป็นพวกวัตถุนิยมอย่างหนึ่ง
บางคนมีทัศนะต่างออกไปอีก
เขาบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตนี้จึงเป็นเพียงการคอยรับผลของกรรมที่ทำมาในปางก่อน
ทัศนะแบบนี้แทบจะตรงข้ามกับทัศนะแรก ทัศนะแรกให้หาความสนุกสนานกันเต็มที่
แต่ทัศนะที่สองมองไปในแง่การใช้หนี้กรรม เลยค่อนข้างจะสลดหดหู่หน่อย
แต่จะเป็นการมองที่ถูกหรือผิดตอนนี้จะยังไม่วิจารณ์
ทัศนะแบบที่สาม
ถือหลักแบบพระพุทธศาสนาตามคติอย่างหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นคำอุปมาท่านบอกว่า
เปรียบเหมือนช่างร้อยดอกไม้หรือเรียกง่ายๆ ว่า นายมาลาการผู้ฉลาด
เก็บเอาดอกไม้สีสรรวรรณะต่างๆ จากกองดอกไม้กองหนึ่งมาร้อยเป็นพวงมาลามาลัยบ้าง
จัดแจกันบ้าง จัดเป็นพานบ้าง ทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ ที่สวยงามอย่างหลากหลายได้ฉันใด
คนเราเกิดมาแล้วชาติหนึ่งก็ควรใช้ชีวิตนี้ทำความดีให้มากฉันนั้น
อันนี้เป็นคติที่มองดูชีวิตของคนเรานี้
ว่าเป็นที่ประชุมของส่วนประกอบต่างๆ มากมาย ซึ่งทางพระเรียกว่าขันธ์ห้า
และขันธ์ห้าก็ยังแยกย่อยออกไปอีกมากมาย รวมแล้วโดยสาระสำคัญ
ก็คือ ส่วนประกอบต่างๆ มากมายทั้งด้านวัตถุและทางจิตใจมารวมกันเข้าเป็นชีวิตของเรา
สิ่งเหล่านี้ก็คล้ายๆ กับกองดอกไม้ คือ ยังไม่ดีไม่สวยงาม
ไม่ปรากฏคุณค่าอะไรออกมา มันกองอยู่ตั้งอยู่อย่างนั้น
จะมองเป็นกองขยะก็ได้ จะมองเป็นกองดอกไม้ที่มีคุณค่าอยู่ในตัวก็ได้
แต่ยังไม่สำเร็จประโยชน์ชัดเจนอะไรออกมามันก็กองอยู่อย่างนั้น
ทีนี้เราเอาชีวิตของเราที่ตั้งอยู่อย่างนี้
ที่เป็นกลางๆ ไม่ชัดเจนว่าจะมีคุณค่าอย่างไรนี้ เอามาทำความดี
ถ้าเราเอาชีวิตนี้มาใช้ทำความดีก็ทำได้มากมาย หรือในทางตรงข้ามจะทำความชั่วก็ทำได้มากมายเช่นเดียวกัน
เพราะมนุษย์มีศักยภาพมาก แต่ในทางธรรมถ้าเอาชีวิตนี้มาทำความดีก็จะทำความดีได้มากมาย
เราจะเห็นว่า คนที่มีความมุ่งหมายในชีวิตแน่นอนแน่วแน่ในการทำความดี
สามารถใช้ชีวิตชาติหนึ่งที่มองเห็นเป็นร่างกายยาววาหนาคืบกว้างศอกเท่านี้นี่เอง
ทำสิ่งที่ดีงามได้มากมายมหาศาล สร้างสังคม สร้างชุมชน
สร้างประเทศชาติ ตลอดจนสร้างสรรค์อารยธรรมของโลก เป็นความดีงามมากมายเหลือเกิน
ก็สามารถทำได้
ในกรณีนี้เรามองว่ามนุษย์มีศักยภาพในการที่จะทำความดี
ตามคตินี้ซึ่งเป็นคติทางพระพุทธศาสนาในธรรมบท ท่านสอนว่า
คนเราเกิดมาแล้วควรใช้ชีวิตทำความดีให้มาก ถ้ามองในแง่นี้เราก็จะต้องขวนขวายพยายามทำความดีให้มากที่สุด
ทีนี้อีกแง่หนึ่ง
เป็นความหมายในทางที่ดีเหมือนกัน มองว่าชีวิตของคนเรานี้เป็นเรื่องของการพัฒนาตนเอง
การใช้ชีวิตหรือการดำเนินชีวิตก็คือการฝึกฝนพัฒนาตนเอง
หรือพัฒนาชีวิตนี้ให้มีความดีงามถึงความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ตามทัศนะแบบนี้ถือว่าคนเราเกิดมาไม่มีความสมบูรณ์ในตัวชีวิต
คือ คนเรานี้เมื่อเกิดมาเริ่มต้นก็มีอวิชชา มีความไม่รู้และยังไม่มีความสามารถอะไรต่างๆ
แต่เราสามารถพัฒนาชีวิตของเราได้ ฝึกฝนตนเองได้ อันนี้ก็เป็นคติในทางพระพุทธศาสนาอีกนั่นแหละ
พระพุทธศาสนาถือว่า
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และเป็นสัตว์ที่ฝึกได้เป็นพิเศษยิ่งกว่าสัตว์ชนิดใดๆ
สัตว์อื่นๆ เช่น ช้าง ม้า และสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลายมากมาย
สามารถนำมาฝึกและใช้ทำงานต่างๆ ก็ได้ เล่นละครต่างๆ ก็ได้
แต่ก็ได้แค่ที่มนุษย์จะฝึกให้ ต่างจากมนุษย์ซึ่งถ้าฝึกแล้วจะทำอะไรได้มากมายแสนวิเศษอัศจรรย์
ตามคตินี้ ความวิเศษของมนุษย์อยู่ที่การฝึก คือ ถือว่ามนุษย์เกิดมายังไม่สมบูรณ์
ความสามารถก็ยังไม่สมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่สมบูรณ์ คุณธรรมก็ยังไม่สมบูรณ์
เราจึงพยายามพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
คติอย่างนี้ในระดับสูงสุดเรียกว่าเป็น
คติพระโพธิสัตว์ สำหรับคติที่กล่าวก่อนหน้านี้ที่ว่า คนเราเกิดมาควรใช้ชีวิตทำความดีนั้นเป็นคติของชาวพุทธแบบทั่วไป
แต่เมื่อจะฝึกฝนตนให้สมบูรณ์ก็เข้าแนวคติพระโพธิสัตว์
คือ พระโพธิสัตว์ย่อมพัฒนาตนให้สุดให้เต็มที่แห่งศักยภาพ
ศักยภาพของมนุษย์เมื่อพัฒนาเต็มที่ ก็คือ การถึงโพธิ คือ
ตรัสรู้เป็นพุทธ ท่านบอกว่ามนุษย์นี้ถ้าไม่ฝึกแล้ว อาจจะต่ำทรามหรือด้อยกว่าสัตว์ทั้งหลาย
เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายยังอาศัยสัญชาตญาณได้มากว่ามนุษย์
จะเห็นได้จากการที่สัตว์หลายอย่างพอเกิดมาก็เดินได้ ว่ายน้ำได้
หากินได้ แต่มนุษย์นี้ในขณะที่เกิดมานั้นทำอะไรไม่ได้เลย
ทิ้งไว้ก็ตาย สู้สัตว์อื่นไม่ได้ แม้แต่การดำเนินชีวิตก็ต้องสอนทุกอย่างไม่เหมือนสัตว์อื่นๆ
ที่มีสัญชาตญาณช่วย
ถ้ามนุษย์ไม่มีการฝึกก็แพ้สัตว์ทั้งหลาย
แต่ถ้าฝึกดีแล้วก็ไม่มีสัตว์ชนิดใดสู้ได้เลย ฝึกได้จนกระทั่งเป็นพุทธถึงที่สุดแห่งศักยภาพ
ซึ่งแม้แต่พระพรหมก็เคารพบูชา เรียกว่ามนุษย์สูงสุดกว่าสัตว์ใดๆ
แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการฝึกฝนพัฒนา เป็นอันว่ากรณีนี้เป็นคติโพธิสัตว์
คือ ใช้ชีวิตนี้พัฒนาศักยภาพกันให้เต็มที่
ต่อมามีอีกคติหนึ่งว่า
ชีวิตนี้ควรจะเป็นอยู่ให้ดีที่สุด เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในแต่ละขณะ
ทุกขณะ หมายความว่า ทำชีวิตให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ในแต่ละขณะ
ข้อนี้เป็นคติสำคัญ เป็นคติพุทธศาสนาเหมือนกัน
ความจริงคติทั้งสามอย่างหลัง
เป็นคติทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น อย่างที่บรรยายมาเมื่อกี้ว่าการใช้ชีวิตทำความดีให้มากเป็นคติที่ชาวพุทธทั่วไปถือเป็นหลัก
การพัฒนาศักยภาพให้เต็มที่เป็นคติธรรมแนวพระโพธิสัตว์
พอมาถึงข้อนี้ว่าทำชีวิตให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ในแต่ละขณะทุกขณะไปเลย
ก็เป็นคติพระอรหันต์และก็เป็นคติของพระพุทธเจ้าด้วย
ที่ว่ามานี้ก็เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตกันต่างๆ
ซึ่งทั้งหมดนั้นก็สืบเนื่องจากการที่ได้มาคำนึงถึงว่า
คนเราเกิดมานี้ เมื่อเกิดมาแล้วก็มีการสิ้นสุด ชีวิตนี้มีช่วงเวลาจำกัดไม่ยืนยาว
เพราะฉะนั้นจึงควรคิดว่าจะใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่ทั้งหมดนั้นก็มามองกันที่ว่ามีการเกิดและมีการตายอยู่หัวท้าย
แล้วในระหว่างนั้นจะทำอย่างไร ยกเว้นแต่ข้อสุดท้ายซึ่งเป็นคติที่พิเศษ
คือ เลยไปถึงขั้นที่ไม่เกิดไม่ตาย เพราะว่าเมื่อใช้ชีวิตเต็มเปี่ยมในแต่ละขณะแล้ว
การเกิด การตายก็ไม่มี นั่นเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ เรียกว่า
เป็นอมตะอยู่ในตัวเองเลยเพราะคนนั้นจะไม่นึกถึงเรื่องเกิดเรื่องตายอีกต่อไป
ทั้งหมดนี้เป็นคติที่ควรจะนำมาใช้ปฏิบัติได้ใครจะเลือกอย่างไร
ก็พิจารณาได้ด้วยตนเอง
|