จะเห็นว่าความหมายทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เราจะสู้งานหรือจะคอยหนีจากงานก็อยู่ที่สภาพจิตใจอย่างที่ว่ามาแล้ว
และในการที่จะมีสภาพจิตใจที่เอื้อต่อการทำงานนั้น สิ่งหนึ่งที่จะสนับสนุนให้คนทำงานได้ผลดีก็คือ
กำลังใจ พอพูดถึงกำลังใจก็มีปัญหา อีกกำลังใจจะมาได้อย่างไร
กำลังใจก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์เชิงวงจรอีก มันย้อนไปย้อนมา
ถ้าเรามีกำลังใจเราก็ทำงานได้ดี แต่ทำอย่างไรจึงจะมีกำลังใจ
ถ้าทำงานแล้วได้ผลดีก็มีกำลังใจ พองานได้ผลดีมีกำลังใจ
ก็ยิ่งทำงาน ยิ่งทำงานก็ยิ่งได้ผลดี ยิ่งได้ผลดีก็ยิ่งมีกำลังใจ
อันนี้ก็เป็นเรื่องของการส่งผลย้อนไปย้อนมา
กำลังใจ
เป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน แต่การที่จะมีกำลังใจนั้นก็อยู่ที่การเข้าใจความหมายของงานนั้นแหละ
คนที่เข้าใจความหมายของงานว่าจะทำให้ได้ผลตอบแทน หรือได้ผลประโยชน์มา
ถ้าเขาได้ผลตอบแทนได้ผลประโยชน์มา เขามีกำลังใจแล้วก็ทำงาน
แต่ถ้าไม่ได้ผลตอบแทนเป็นอัตราเป็นเงินทองก็ไม่มีกำลังใจ
แต่อีกคนหนึ่งมองความหมายของงานว่าว่าเป็นการได้พัฒนาตน
หรือเป็นการได้บำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม เมื่อเห็นสังคมเจริญก้าวหน้ามีความสงบสุขยิ่งขึ้นเขาก็มีกำลังใจได้
แม้จะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นวัตถุมากเท่าไร กำลังใจจึงไปสัมพันธ์กับผลตอบสนองจากงาน
ไม่ว่าจะเป็นผลทางวัตถุหรือทางจิตใจ จะเป็นผลแก่ตนเองหรือผลแก่ส่วนรวมก็ตาม
แล้วแต่จะมองความหมายของงานอย่างไร
รวมความว่า
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เครื่องกำกับที่แน่นอนว่าจะให้เกิดคุณค่าที่เป็นประโยชน์เสมอไป
อย่างที่ว่าคนที่ทำงานมุ่งแต่ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินทองวัตถุ
ถ้าผลตอบแทนน้อยไปไม่ได้มากมาย ก็จะเกิดปัญหาไม่มีกำลังใจในการทำงาน
เพราะฉะนั้น เราจะต้องหาอะไรมาช่วยกำลังใจ ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
เพื่อให้งานเกิดคุณค่าอย่างแท้จริง สิ่งหนึ่งที่จะมาหนุนคุณค่านี้ได้ก็คือ
ศรัทธา ศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
ศรัทธา
คือ ความเชื่อ ซึ่งในความหมายอย่างหนึ่งก็คือ การเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น
เมื่อเห็นคุณค่าของสิ่งใด ก็พอใจสิ่งนั้นและใจก็ยึดเหนี่ยวมุ่งไปหาและมุ่งไปตามสิ่งนั้น
เมื่อมุ่งไปหาหรือมุ่งหน้าต่อสิ่งนั้นมุ่งจะทำและมุ่งจะตามไป
ก็เกิดกำลังขึ้นมา ศรัทธาเป็นพลัง เมื่อเรามีศรัทธาต่อสิ่งใด
เราก็จะสามารถอุทิศชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจ อุทิศเรี่ยวแรงกำลังของเราให้แก่สิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น การที่จะให้เกิดกำลังใจในทางที่ดี จึงต้องสร้างศรัทธาขึ้นมา
ศรัทธาจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเข้าใจความหมายนั่นแหละ
เช่น ถ้าเราเข้าใจความหมายของงานในแง่ว่าเป็นสิ่งทีมีคุณค่า
เป็นเครื่องสร้างสรรค์ทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคม เป็นต้น
เราก็เกิดศรัทธาในงานเพราะมองเห็นคุณค่าของงานนั้น พอมีศรัทธาอย่างนี้แล้วศรัทธานั้นก็จะส่งเสริมกำลังใจ
ในลักษณะที่พ่วงเอาความเป็นคุณเป็นประโยชน์เข้ามาด้วย
ไม่ใช่เป็นกำลังใจล้วนๆ ที่เพียงแต่เกิดจากความสมอยากในการได้วัตถุเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อมีศรัทธาแล้วกำลังใจทีเกิดขึ้นก็จะเป็นกำลังใจที่ทำให้เกิดสิ่งเรียกว่า
ธรรม คือ มีความดีงาม มีคุณประโยชน์พ่วงมาด้วย
นอกจากมีศรัทธาในงานแล้ว
ก็ต้องมีศรัทธาในวิถีชีวิตด้วย เรื่องนี้จึงมีความหมายโยงไปหาชีวิตด้วย
ว่าเรามองชีวิตอย่างไร คนที่มองความหมายของชีวิตในแง่ว่า
วิถีชีวิตที่ดีก็คือ การหาความสนุกสนานให้เต็มที่ คนอย่างนั้นจะมาศรัทธาในความหมายของงาน
ที่เป็นคุณประโยชน์แก่สังคมก็เป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้น
ความหมายของงานที่จะทำให้เกิดศรัทธาจึงต้องโยงไปหาความหมายของชีวิตที่ดีด้วย
พอมองว่าชีวิตที่ดี คือการที่เราได้ใช้ชีวิตให้เกิดคุณประโยชน์มีค่าขึ้นและการที่ได้พัฒนาตน
เป็นต้น พอมองความหมายของงานในแนวเดียวกันนี้ ความหมายของงานนั้นก็มาช่วยเสริมในแง่ที่เกิดความสัมพันธ์อย่างสอดคล้องกัน
คือ ความหมายของงานกับความหมายของชีวิต มาสัมพันธ์เสริมย้ำซึ่งกันและกัน
แล้วศรัทธาก็จะเกิดขึ้นอย่างมั่นคง อันนี้ก็เป็นเรื่องของศรัทธา
ทีนี้
มองต่อไปอีกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่อยู่แค่ศรัทธาเท่านั้น
ถ้าเราวิเคราะห์จิตใจของคนที่ทำงานจะเห็นว่า แม้แต่ศรัทธาก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า
แรงจูงใจ เมื่อมาทำงานเราก็ต้องมีแรงจูงใจทั้งนั้น ทั้งหมดที่พูดมาก็อยู่ในหลักการของเรื่องแรงจูงใจทั้งสิ้น
คนเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ต้องมีแรงจูงใจเมื่อมาทำงานเราก็ต้องมีแรงจูงใจให้มาทำงาน
แรงจูงใจจึงเป็นหลักใหญ่ ในการแบ่งประเภทของการทำงานแรงจูงใจนั้นมีอยู่
๒ ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน
แรงจูงใจด้านหนึ่งที่เป็นหลักใหญ่ๆ
คือ ความต้องการผลตอบแทน ต้องการผลประโยชน์ต้องการเงินทอง
อันนี้เป็นแรงจูงใจที่มุ่งเข้าหาตัวเองเป็นความปราถนาส่วนตัวหรือเห็นแก่ตัว
ทางพระท่านเรียกว่า แรงจูงใจแบบตัณหา
ทีนี้
ต่อจากตัณหายังมีอีกเราต้องการความสำเร็จ แต่ความสำเร็จนั้นเป็นความสำเร็จของตัวเรา
โดยเฉพาะความสำเร็จของตัวเราในรูปของความยิ่งใหญ่ ในรูปของการได้ตำแหน่งได้ฐานะ
เป็นต้น อันนี้ก็เป็นแรงจูงใจในแง่ของตัวเองเหมือนกัน
คือ ความต้องการผลประโยชน์ตอบแทนส่วนตัว ในรูปของความสำคัญของตนเอง
ความโดดเด่น เช่น มีตำแหน่งใหญ่โต มีฐานะสูง ข้อนี้เรียกว่า
แรงจูงใจแบบมานะ มานะนั้นทางพระแปลว่าถือตัวสำคัญ คือ
ความอยากให้ตนเองเป็นผู้โดดเด่นมีความสำคัญหรือยิ่งใหญ่
ไม่ใช่มานะในความหมายของภาษาไทยว่าความเพียรพยายาม
ตกลงว่า
แรงจูงใจพวกที่หนึ่งนี้เป็นเรื่องของตัณหาและมานะ ซึ่งสำหรับมนุษย์ปุถุชนก็ย่อมจะมีกันเป็นธรรมดา
แต่จะทำอย่างไรให้ประณีต เช่นว่า ความต้องการผลตอบแทน
ก็ขอให้อยู่ในขอบเขตเพียงว่าสำหรับให้เป็นอยู่ดีมีความสะดวกสบายพอสมควร
ไม่ถึงกับขัดสนในปัจจัยสี่ และไม่ให้เป็นการเบียดเบียนก่อความเดือดร้อนแก่คนอื่น
หรือมานะก็อาจจะมาในรูปของความภาคภูมิใจในความสำเร็จของงาน
คือ เอาความสำเร็จมาโยงกับงาน ไม่ใช่เป็นเพียงความสำเร็จเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน
ถ้าหากว่าความสำเร็จไปโยงกับตัวงาน มันก็ยังเป็นเรื่องของความดีงามได้
เรื่องอย่างนี้ทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธ ท่านยอมรับความจริงของปุถุชน
แต่ทำอย่างไรจะให้โยงเข้าไปหาแรงจูงใจที่เป็นธรรมให้มากขึ้น
ทีนี้
แรงจูงใจพวกที่สอง ก็คือ แรงจูงใจ
เช่น อย่างศรัทธาที่มีต่องานที่มีคุณค่า เป็นแรงจูงใจที่ต้องการให้ความดีงามเกิดมีหรือปรากฏขึ้น
ความต้องการความดีงาม ต้องการความจริง ต้องการสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์อะไรต่างๆ
เหล่านี้ เป็นแรงจูงใจที่ท่านเรียกด้วยคำศัพท์ทางธรรมอีกคำหนึ่งว่าฉันทะ
เช่น คนทำงานด้วยความต้องการให้เกิดความสงบสุขความเรียบร้อย
ความเป็นระเบียบของสังคม ถ้าทำงานแพทย์ หรือทำงานเกี่ยวกับโภชนาการ
ก็อยากให้มนุษย์ในสังคมนี้เป็นคนที่มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง
อยากให้มีแต่อาหารที่มีคุณค่าแพร่หลายออกไปในสังคมนี้
แรงจูงใจหรือความปรารถนา อย่างนี้ท่านเรียกว่าเป็นแรงจูงใจแบบฉันทะ
แรงจูงใจนี้สำคัญมาก
ถ้ามองอีกแง่หนึ่งจะเห็นว่า แรงจูงใจนี้สัมพันธ์กับสัมฤทธิ์ผลหรือจุดมุ่งหมายซึ่งอาจแบ่งได้เป็น
จุดหมายของคน กับ จุดหมายของงาน แรงจูงใจแบบที่หนึ่งที่ต้องการผลตอบแทนเป็นเงินเป็นทอง
ต้องการเกียรติฐานะความยิ่งใหญ่นั้นโยงไปหาจุดหมายของคนที่ทำงาน
ส่วนแรงจูงใจแบบที่สองจะมุ่งตรงไปยังจุดหมายของงาน
ตามธรรมดาไม่ว่าเราจะทำงานอย่างไร
งานนั้นย่อมมีจุดหมาย เช่นว่า การทำงานแพทย์ก็มีจุดหมายที่จำบำบัดโรค
ทำให้คนไข้หายโรค ให้คนมีสุขภาพดีตัวงานนั้นมีความมุ่งหมายที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา
ถ้าเราทำงานให้การศึกษา เราก็ต้องการผลที่เป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษา
จุดหมายของงานในการให้การศึกษา ก็คือการที่เด็กและเยาวชนเป็นคนดี
มีความรู้มีความประพฤติดี รู้จักดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
ได้พัฒนาตนเองยิ่งขึ้นไป
งานทุกอย่างมีจุดหมายของมัน
แต่คนที่ไปทำงานก็มีจุดหมายของตัวเองด้วย ทีนี้ปัญหาก็อยู่ที่ว่าเมื่อเขาไปทำงานนั้น
เขาจะทำงานเพื่อจุดหมายของคน หรือทำงานเพื่อจุดหมายของงาน
ถ้าเขาทำงานด้วยแรงจูงใจแบบที่หนึ่ง จุดหมายที่อยู่ในใจของเขาก็จะเป็นจุดหมายของคน
คือ ทำงานเพื่อจุดหมายของคน ให้ตนได้นั่นได้นี่ แต่ถ้าเขาทำงานด้วยแรงจูงใจแบบที่สอง
เขาก็จะทำงานเพื่อจุดหมายของงาน ให้งานเกิดผลประโยชน์ตามคุณค่าของมัน
ทีนี้
การเป็นปุถุชนเมื่อยังมีกิเลสก็ต้องประสานประโยชน์ คือ
ต้องให้จุดหมายของคนไปสัมพันธ์เชื่อมโยงกับจุดหมายของงาน
หมายความว่าต้องให้ได้จุดหมายของงานเป็นหลักไว้ก่อนแล้วจึงมาเป็นจุดหมายของคนทีหลัง
คือ ให้จุดหมายจุดหมายของคนพลอยพ่วงต่อมากับจุดหมายของงาน
ถ้าเอาแต่จุดหมายของคนแล้ว บางทีงานไม่สำเร็จ และเสียงานด้วย
คือ คนนั้นมุ่งแต่จุดหมายคนอย่างเดียว จะเอาแต่ตัวได้เงินได้ทอง
ไม่ได้ต้องการให้งานสำเร็จ ไม่ได้ต้องการเห็นผลที่ดีจะเกิดจากงานนั้น
ไม่ได้มีความคิดที่จะเอาธุระ หรือเห็นความสำคัญเกี่ยวกับตัวงาน
เพราะฉะนั้น จึงพยายามเลี่ยงงานหรือหาทางลัดที่จะไม่ต้องทำงาน
ขอให้ได้เงินหรือผลตอบแทนมาก็แล้วกัน
ตกลงว่า
แรงจูงใจแบบหนึ่งสัมพันธ์กับจุดหมายของคน และแรงจูงใจอีกแบบหนึ่งสัมพันธ์กับจุดหมายของงาน
ซึ่งจะมีจุดเชื่อมโยงต่อที่แตกต่างกันว่าเมื่อทำงานไปแล้วได้ผลสำเร็จขึ้นมา
จะเป็นผลสำเร็จของคนหรือเป็นผลสำเร็จของงาน ถ้าจะทำงานให้ถูกต้องก็ต้องมองไปที่ผลสำเร็จของงาน
ไม่ใช่มุ่งเอาแต่ผลสำเร็จของคน ถ้าจะเป็นผลสำเร็จของคนก็เพราะว่าเป็นผลสำเร็จของงานส่งทอดมาอีกต่อหนึ่ง
ไม่ใช่ว่างานเป็นเงื่อนไขที่จำใจต้องทำเพื่อผลสำเร็จของคน
คนจำนวนไม่น้อยหวังผลสำเร็จ
หรือผลประโยชน์ของคนอย่างเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศชาติ
การพัฒนาประเทศชาติ และการแก้ปัญหาของสังคมก็ยากที่จะบรรลุความสำเร็จ
และจะส่งผลต่อไปถึงสภาพจิตใจดังที่ได้พูดมาแล้วว่า สภาพจิตใจกับการทำงานส่งผลย้อนกลับกันไปมา
คือ สภาพจิตใจที่ดีส่งผลต่อการทำงานให้ทำงานได้ดี และการทำงานได้ดีมีผลสำเร็จ
ก็ส่งผลย้อนกลับไปหาสภาพจิตใจทำให้มีกำลังใจเป็นต้นอีกทีหนึ่ง
เช่น เรื่องสภาพจิตใจในด้านแรงจูงใจกับการมุ่งวัตถุประสงค์หรือจุดหมายของคน
หรือของงานซึ่งจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของคนให้เป็นไปต่างๆ
กัน
|