วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 21:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 81, 82, 83, 84, 85, 86, 87 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อในภาคปฏิบัติ ของการฝึกสติสัมปชัญญะผ่านการรู้ใจด้วยสมาธิภาวนากันครับ :b1: :b46: :b39:

พูดถึงหลักการกันในคราวที่แล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงวิธีการ :b48: :b49: :b48:

โดยการฝึกสติสัมปชัญญะผ่านการรู้ใจด้วยสมาธิภาวนานี้ ให้เริ่มต้นฝึกด้วยการทำสมาธิภาวนา ซึ่งไม่ได้จำกัดความแค่การนั่งหลับตาแล้วทำสมาธินะครับ อาจจะอยู่ในอิริยาบถหลักใดๆก็ได้ ไม่ว่าจะยืนลืมตาหรือหลับตาทำสมาธิ เดินลืมตาทำสมาธิ (เดินจงกรม) นั่งลืมตาหรือหลับตาทำสมาธิ นอนลืมตาหรือหลับตาทำสมาธิ ฯลฯ :b50: :b49: :b48:

หรือแม้กระทั่งใช้กิจกรรมหรืออิริยาบถย่อยใดๆอยู่เพื่อทำสมาธิภาวนา เช่น ขยับมือทำจังหวะด้วยวิธีการของหลวงพ่อเทียน หรือดูการพองยุบของท้อง ฯลฯ ก็ใช้ฝึกได้ทั้งหมด :b49: :b48: :b47:

และไม่จำกัดด้วยว่า จะต้องใช้สมถกรรมฐานใดๆใน ๔๐ กอง หรือนอกเหนือจาก ๔๐ กองออกไปที่สามารถทำให้จิตสงบ เกิดสมาธิได้ ก็สามารถนำมาปรับใช้ เพื่อฝึกสติสัมปชัญญะผ่านการรู้ใจด้วยสมาธิภาวนาได้ด้วยกันทั้งสิ้น :b50: :b49: :b48:

เนื่องจากหลักของการปฏิบัตินั้น เป็นหลักเดียวกันทั้งหมด นั่นก็คือ ระหว่างทำสมาธิภาวนาในช่วงต้นที่จิตยังไม่สงบ ยังมีนิวรณ์อันเนื่องมาจากเวทนา สัญญา และวิตก ผุดแทรกขึ้นมา (ซึ่งโดยมากมักจะเป็นอุทธัจจะ กุกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ) :b46: :b47: :b46:

หรือแม้แต่ขณะที่จิตเริ่มมีเอกัคคตาสงบจากสมาธิ แล้วมีนิวรณ์ผุดฟุ้งขึ้นมา :b49: :b50: :b55:

ก็ให้ผู้ปฏิบัติ ใช้สติสัมปชัญญะ สังเกตและรู้ชัดในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของเวทนา สัญญา และวิตก ที่ผุดเกิดขึ้นมานั้น โดยไม่จำกัดว่าจะทำสมาธิภาวนาด้วยวิธีการอย่างไร กรรมฐานกองไหน เพราะทุกวิธีการ ทุกกองกรรมฐานที่ถูกต้องแล้ว จะต้องฝ่าด่านของนิวรณ์อันเนื่องมาจากเวทนา สัญญา และวิตกที่ผุดแทรกขึ้นมาในช่วงเริ่มต้นนั้นออกไปให้ได้ก่อนเหมือนๆกันหมด นั่นเอง :b47: :b48: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งในที่นี้ ขอยกเอาอานาปานสติกรรมฐาน ขึ้นมาอธิบายเป็นตัวอย่างนะครับ เนื่องเพราะเป็นกรรมฐานที่ประกอบไปด้วยอารมณ์ทั้งสมถะและวิปัสสนา อีกทั้งเป็นกรรมฐานที่มีอุปกรณ์ในการฝึกคือลมหายใจ ซึ่งมีกันอยู่แล้วในทุกท่าน :b49: :b48: :b47:

นอกจากนี้ ในอานาปานสติกรรมฐาน ผู้ปฏิบัติ จะสามารถฝึกสติ เห็นการเกิดดับได้ทั้งกายสังขาร (คือลมหายใจเข้าออก) วจีสังขาร (คือวิตก วิจาร) และมโนสังขาร (คือสัญญา เวทนา) :b47: :b48: :b42:

และเป็นกรรมฐานที่สามารถฝึกให้ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง ไม่ว่าจิตจะฟุ้งหรือไม่ฟุ้ง :b46: :b47: :b46:

คือถ้าจิตยังฟุ้งอยู่ ก็จะได้ฝึกสติสัมปชัญญะ เฝ้าดูการเกิดดับของ เวทนา สัญญา และวิตก :b49: :b50: :b44:

แต่ถ้าจิตไม่มีความฟุ้งแล้ว ก็จะได้ฝึกสมาธิในระดับอุปจารสมาธิ และในระดับอัปนาสมาธิ หรือสมาธิในระดับฌาน พร้อมกันไปกับการฝึกอานาปานสติด้วยนะครับ :b1: :b46: :b39:

นั่นคือ ไม่ว่าจิตจะฟุ้งหรือไม่ฟุ้ง ก็สามารถพลิกเอามาใช้ประโยชน์ในการฝึกได้ทั้งสิ้น คือได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง ด้วยการฝึกในแบบเดียว :b49: :b48: :b47:

โดยการฝึกอานาปานสติในเบื้องต้นนั้น ให้นั่งคู้บัลลังก์ (นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาหงายทับมือซ้ายบนหน้าตัก นิ้วชี้ชนนิ้วโป้ง หรือนิ้วโป้งชนกัน นั่นหล่ะครับ) ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า หลับตาแล้วเฝ้าดูลมหายใจเข้าออกพร้อมความคิดที่ผุดขึ้น โดยไม่ต้องมีคำบริกรรมใดๆ :b47: :b48: :b49:

(ยกเว้นในกรณีที่จิตฟุ้งมาก ดูไม่ทันในการเกิดดับของความคิด เพราะจิตจมไปในความฟุ้ง ก็ให้ใช้คำบริกรรม เช่น พุทโธ เข้ามากำกับ เข้ามาผูกจิตให้ลดความฟุ้งลงไปบ้าง จะได้ดูการเกิดดับของความคิดได้ทัน) :b46: :b47: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งสำหรับผู้ที่ชำนาญในอานาปานสติขั้นต่างๆแล้ว ให้ข้ามขั้นตอนแรกๆ หรือจตุกกะแรกๆ แล้วเข้าไปฝึกสมาธิภาวนาในจตุกกะที่ ๓ ข้อที่ ๑ ได้เลย นั่นคือข้อที่ว่า ให้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต :b44: :b46: :b39:

นั่นคือ เมื่อเริ่มนั่งสมาธิ ก็ให้กำหนดกรรมฐานไปที่การเอาจิตดูจิต รู้อยู่ในรู้ หรือรู้อยู่ในจิตได้เลย โดยไม่ต้องเริ่มจากรู้กาย (จตุกกะที่ ๑) หรือ รู้เวทนา (จตุกกะที่ ๒) ก่อน :b46: :b47: :b46:

ซึ่งหลังจากนั่งสมาธิแล้วเอาจิตดูจิต รู้อยู่ในรู้ หรือรู้อยู่ในจิตแล้ว จะมีทางเดินของสมาธิได้ ๒ ทาง :b49: :b47: :b48:

ทางที่ ๑ คือ จิตจะสงบนิ่งลงไปรู้อยู่ในรู้อย่างแนบแน่น และจิตจะดำเนินต่อไปในข้อที่ ๒ ของจตุกกะที่ ๓ นี้ ก็คือจิตจะเกิดความปราโมทย์ หรือเกิดความเบิกบานขึ้นในจิต และที่เหลือต่อไปก็เป็นไปตามข้อที่ต่อเนื่องของอานาปานสติ อันได้แก่ จิตจะรู้ตั้งมั่นอยู่ในรู้ จนกระทั่งจิตจะปล่อยรู้ คือรู้ในรู้ เฉยๆ เบาๆ สบายๆ แต่แนบแน่น มีสติที่บริสุทธิ์อยู่ในฌาน ๔ โดยไม่ต้องเพ่งต้องประคอง ภายในเวลาอันไม่นาน :b50: :b49: :b48:

ซึ่งหลังจากนั้น ถ้าจิตจะพัฒนาขึ้นไปอีกในอานาปานสติจตุกกะที่ ๔ ธัมมานุปัสสนา ก็จะต้องโยนิโสมนสิการลงในความไม่เที่ยง ซึ่งอาจจะเอาสภาวะในการเกิดดับของจิตนั้นเองมาเป็นองค์ในการพิจารณา (อนิจจานุปัสสี) เรื่อยไปจนกระทั่งเข้าสู่วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี และไปสิ้นสุดที่ปฏินิสสัคคานุปัสสี เข้าสู่ผลสมาบัติตามระดับขั้นของอริยผลที่ผ่านมาแล้ว (ซึ่งจะลงรายละเอียดอีกครั้งในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ข้อแรก คืออานาปานสติอีกทีนะครับ) :b46: :b47: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนทางเดินที่ ๒ ก็คือ หลังจากนั่งสมาธิแล้วเอาจิตดูจิต รู้อยู่ในรู้ หรือรู้อยู่ในจิตแล้ว จิตจะสงบนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะมีนิวรณ์คือความคิดฟุ้งผุดเกิดขึ้นมา เนื่องเพราะกำลังของสมาธิที่ยังไม่แนบแน่นลงในฌาน :b46: :b47: :b46:

ทางเดินนี้ละครับที่เอาไว้ใช้ฝึกสติสัมปชัญญะผ่านสมาธิภาวนาตามที่พระบรมครูทรงบอกไว้ในสมาธิสูตร นั่นคือการสังเกตและรู้ชัดถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของเวทนา สัญญา และวิตก :b50: :b49: :b48:

โดยการตามรู้ตามดูสำหรับผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ชำนาญ เริ่มแรกจะทันการตามเห็นในตัวความคิด หรือในวิตกได้ก่อน หลังจากนั้น เมื่อสติสัมปชัญญะเข้มแข็งขึ้น จิตจะถูกพัฒนาให้ทันในการตามเห็นเวทนาหรือสัญญาในช่วงต่อไป
:b50: :b51: :b50:

และตัววิตกหรือตัวความคิดที่ตามเห็นได้ก่อนนี้ โดยมากก็จะเป็นอกุศลวิตก หรือความคิดฟุ้ง หรืออุทธัจจะที่ปรุงแต่งไปในกาม พยาบาท และความเบียดเบียน ซึ่งผุดเกิดขึ้นมาในช่วงแรกของการทำสมาธิ เนื่องเพราะการอ่อนกำลังลงไปขององค์ของสติสัมปชัญญะและสมาธินั่นเอง :b51: :b50: :b49:

ซึ่งอกุศลวิตกนี้ ส่วนมากมักจะเป็นอกุศลวิตกเล็กๆน้อยๆที่ผุดฟุ้งขึ้นมาในสมาธิภาวนา โดยไม่ใช่อกุศลวิตกที่มีกำลังแรง :b46: :b47: :b46:

แต่ไม่ว่าจะเป็นอกุศลวิตกที่มีกำลังมากน้อยเท่าไร อกุศลวิตกเหล่านั้นก็จะผุดเกิดขึ้นมาจากอกุศลสัญญา และดับลงไปได้อย่างสนิท คือไม่ผุดเกิดฟุ้งขึ้นมาอีกในปฐมฌานขึ้นไป (ซึ่งต่างจากกุศลวิตก ที่จะดับลงไปได้สนิท ไม่ผุดเกิดขึ้นมาอีกในทุติยฌาน อันเป็นฌานแรกที่ไม่มีวิตกวิจารขึ้นไป) :b48: :b47: :b46:

ซึ่งถ้าจะว่าโดยสภาวะ การเห็นการผุดเกิดของวิตกอันงอกพัฒนามาจากสัญญาที่ผุดเกิดนำขึ้นมาก่อน และการเห็นการดับ (คือไม่ผุดขึ้นมาอีก) ของอกุศลวิตกในปฐมฌาน บวกกับการเห็นการดับ (คือไม่ผุดขึ้นมาอีก) ของกุศลวิตกในทุติยฌาน ก็จะตรงตามคำของพระบรมครูในสมณมุณฑิกสูตรนั่นเอง :b46: :b47: :b46:
http://84000.org/tipitaka/read/?13/364-365


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 06 พ.ค. 2016, 22:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญในอานาปานสติ ไม่สามารถใช้จิตดูจิต รู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิตได้โดยตรง ก็ให้ปฏิบัติด้วยการใช้จิต ที่ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะและสมาธิ เฝ้าดูความคิด เหมือนแมว (จิต) ที่คอยเฝ้าดูหนู (ความคิด) อยู่ที่ปากรู โดยให้ดูอย่างสบายๆ ไม่ต้องเพ่งแรงจนปวดหัวปวดขมับนะครับ :b1: :b46: :b39:

และแรกๆที่สติสัมปชัญญะและสมาธิยังประชุมพร้อมกับรู้อยู่ จิตจะเห็นความว่างอยู่ในจิต ไปสักพักจนกระทั่งสติสัมปชัญญะและสมาธิคลายตัวลง เปิดช่องว่างให้นิวรณ์คือความคิดฟุ้งแทรกเข้ามา :b48: :b49: :b50:

จิต (วิญญาณขันธ์) จะเห็นการทำงานได้เองของสังขารขันธ์ คือความคิด หรือวิตก ที่ผุดเกิดขึ้นมาทำงานได้ของเขาเอง เหมือนหนูที่วิ่งออกจากรูมาเพ่นพ่านอยู่ภายนอก :b46: :b47: :b46:

ไม่ว่าแมว หรือจิต จะใช้สติสัมปชัญญะจดจ่อเฝ้าดูอยู่ที่ปากรูหนู หรือรูของความคิดอย่างแน่วแน่สักเท่าไหร่ เพียงไม่นานที่แมวเผลอ คือสติสัมปชัญญะและสมาธิอ่อนกำลังลง ก็จะเกิดความคิดฟุ้งออกมาแล่นเพ่นพ่านอยู่ในหัวได้เองโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะคิดนะครับ
:b1: :b46: :b39:

(ยกเว้นผู้ที่ฝึกสติสัมปชัญญะและมีสมาธิที่แก่กล้าแล้ว ด้วยความชำนาญ หรือวสีในองค์สมาธิ ก็จะสามารถเข้าสมาธิลึกลงไปได้ แทนที่จะมีความคิดฟุ้งโผล่เพ่นพ่านออกมา) :b49: :b48: :b47:

ตรงนี้ก็จะเป็นอาการอันเป็นปรกติของผู้ปฏิบัติมือใหม่ ที่กว่าจะเกิดสติสัมปชัญญะขึ้นมาตามทันความคิดที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น สังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งความคิดออกไปเสียแล้วมากมาย เป็นปปัญจะหรือความคิดที่วุ่นวายซับซ้อน ออกมาเพ่นพ่านอยู่ในหัว ตามวงจรที่เกิดขึ้นในปฏิจจสมุปบาทสายเกิดนะครับ :b1: :b46: :b39:

แต่ถ้าฝึกด้วยวิธีตามรู้ตามดูความคิดที่ผุดเกิดขึ้นระหว่างทำสมาธิภาวนานี้ไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นความจำได้หมายรู้ที่มั่นคง (ถิรสัญญา) ในลักษณะจำเพาะ (วิเสสลักษณะ) ของความคิดที่ผุดเกิดขึ้นมานั้นได้แล้วละก็ เมื่อมีความคิดผุดฟุ้งขึ้นมาในจิต สติสัมปชัญญะที่ทำหน้าที่ตรวจจับ ก็จะสามารถช่วยจิต ให้ตรวจจับ หรือระลึกรู้ลงในความคิดที่ผุดเกิดได้ไวขึ้นเรื่อยๆจนเป็นอัตโนมัติ :b48: :b47: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นคือ สำหรับผู้ปฏิบัติที่ชำนาญในการดูความคิดที่ผุดเกิดขึ้นเองมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เมื่อทำสมาธิภาวนาแล้วมีความคิดผุดฟุ้งขึ้นมา ก็จะสามารถมีสติสัมปชัญญะ ตรวจจับการเกิดขึ้นของความคิดฟุ้งนั้นๆได้ไว :b48: :b49: :b48:

คือเมื่อความคิดฟุ้งเกิดขึ้นมาปุ๊ป สติสัมปชัญญะก็จะตรวจจับได้ปั๊ป โดยทันใด :b46: :b47: :b46:

และเมื่อสติสัมปชัญญะคม สามารถตรวจจับความคิดฟุ้งได้ไว ความคิดฟุ้งนั้นก็จะดับลงไปได้ไวพอๆกัน ทำให้นิวรณ์เข้ามารบกวนจิตได้น้อยลงไปตามกัน :b49: :b50: :b49:

และเมื่อนิวรณ์เข้ามารบกวนจิตได้น้อยลงไปตามกันในสมาธิภาวนา การทำสมาธิภาวนาก็จะเจริญจากขั้นขณิกสมาธิ ไปสู่อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ หรือสมาธิขั้นฌานได้โดยง่าย :b51: :b50: :b49:

นอกเหนือจากนั้นแล้ว สติสัมปชัญญะที่คมขึ้น อันเนื่องมาจากการฝึกในสมาธิภาวนา ก็จะมีอานิสงค์แผ่ออกมาคุ้มครองจิตในชีวิตประจำวันไปด้วย
:b47: :b46: :b47:

นั่นคือ เมื่อเกิดผัสสะในชีวิตประจำวัน แล้วสังขารขันธ์ปรุงความคิดฟุ้งที่โดยมากจะเป็นความคิดในทางอกุศล (อกุศลวิตก) ขึ้นมาให้จิตได้รู้ สติสัมปชัญญะที่ฝึกมาดีแล้ว จะช่วยจิตให้สามารถระลึกรู้ได้ว่า มีความคิดที่ไม่ดีผุดฟุ้งขึ้นมาแล้ว ความคิดฟุ้งนั้นก็จะดับลงไปเป็นอัตโนมัติ ก่อนที่จะเกิดการพัฒนาและปรุงต่อ (ปปัญจะ) จนเกิดกิเลสและความทุกข์เข้าครอบงำ อันชักนำให้มีการกระทำทางกายวาจาในทางทุจริต ต่อเนื่องออกไปจนสร้างความเสียหายให้แก่ตนเองและผู้อื่น :b49: :b48: :b42:

นั่นคือ เมื่อสติสัมปชัญญะได้ถูกฝึกฝนผ่านการรู้ใจในสมาธิภาวนาเป็นอย่างดีแล้ว สติสัมปชัญญะนั้น ก็จะเข้ามาคุ้มครองจิต (วิญญาณขันธ์) และสังขารขันธ์ ไม่ให้ตกไปในทางมโนทุจริต เกิดการสำรวมในอินทรีย์ (อินทรียสังวร) ซึ่งมีผลในการป้องกันไม่ให้รูปขันธ์ กระทำการใดๆให้ตกไปในทางกายทุจริต และวาจาทุจริต ตามที่พระบรมครูทรงบอกไว้ในตัณหาสูตรและอวิชชาสูตรว่า สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แล้ว ย่อมยังให้เกิดอินทรียสังวรที่สมบูรณ์ และอินทรียสังวรที่สมบูรณ์ ย่อมยังให้เกิดสุจริต ๓ ที่สมบูรณ์ นั่นเอง :b46: :b47: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกตัวอย่างในประโยชน์ของสติสัมปชัญญะที่ฝึกมาดีแล้วด้วยวิธีนี้ ในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันก็เช่น การจัดการกับความกังวลใจในเรื่องต่างๆ :b49: :b47: :b46:

ซึ่งขณะเวลาที่ผู้ปฏิบัติเกิดความกังวลใจในเรื่องใดก็ตาม ความกังวลใจในเรื่องนั้นก็จะส่งผลให้จิต เกิดความคิดฟุ้งซ่านไปในทางร้ายๆ โดยที่จิตไม่ได้ตั้งใจจะคิด แต่ความคิดร้ายๆซึ่งทำให้จิตเป็นทุกข์นั้น ก็มักจะผุดเกิดขึ้นมาได้บ่อยๆในเวลาที่เผลอ ทำให้ใจเป็นทุกข์เป็นกังวลอยู่เรื่อย เนื่องเพราะเหตุแห่งความกังวล ทั้งที่เป็นเหตุภายนอก และเหตุภายในตัวผู้ปฏิบัติ ยังไม่ได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นลงไป :b50: :b51: :b44:

แต่ถ้าผู้ปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะที่เข้มแข็งจากการฝึกปฏิบัติดูความคิดในสมาธิภาวนามาแล้ว องค์สติสัมปชัญญะที่เข้มแข็งนั้น ก็จะสามารถทำให้จิต ตรวจจับความคิดอันเนื่องมาจากความกังวลได้ไว เป็นการตัดวงจรของความคิด ก่อนที่จิต (อันที่จริงแล้วคือสังขารขันธ์) จะทำงานด้วยการปรุงความคิดต่อให้ฟุ้งเรื่อยเปื่อยและซับซ้อน (ปปัญจะ) จนเป็นทุกข์มากมายยิ่งขึ้น :b51: :b45: :b40:

และการที่สติสัมปชัญญะ สามารถตรวจจับความคิดฟุ้งได้ไว ความคิดฟุ้งนั้นก็จะดับลงไปได้ไว ซึ่งส่งผลให้ความทุกข์อันสืบเนื่องมาจากความคิดฟุ้งนั้น มีปริมาณ ความแรง และความถี่ที่น้อยลงตามกันไปด้วยนะครับ
:b1: :b46: :b39:

หลังจากนั้น ในระดับปุถุชนจนกระทั่งสกทาคามี ถ้าจะกำจัดความคิดฟุ้งอันเนื่องมาจากความกังวลด้วยเหตุภายนอกนั้น ให้หายไปอย่างถาวร (คือไม่กำเริบขึ้นอีก) ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาไปแก้ที่เหตุของความกังวลนั้นๆ ซึ่งเป็นเหตุภายนอก ให้หมดไปก่อนนะครับ ความคิดฟุ้งอันเนื่องมาจากความกังวล และตัวความกังวลในเรื่องนั้นเอง ถึงจะหมดไป และไม่กำเริบขึ้นมาอีกได้ :b48: :b47: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ถ้ามีเหตุแห่งความกังวล ซึ่งเป็นเหตุภายนอกอื่นอีก เข้ามากระทบ ผู้ปฏิบัติในระดับปุถุชนจนกระทั่งสกทาคามี ก็ยังเกิดความคิดฟุ้ง จนกระทั่งเกิดความทุกข์อันเนื่องมาจากความกังวลใหม่ได้อีก เนื่องเพราะเหตุภายในอันได้แก่ปฏิฆะสังโยชน์นั้น ยังไม่ได้ถูกกำจัดลงไป :b47: :b46: :b47:

แต่สำหรับระดับอนาคามีและอรหันต์แล้ว ด้วยการที่มีโลกุตรปัญญา เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวล เป็นเพียงแค่กระแสของเหตุปัจจัยที่ไหลเนื่องสืบต่อกันออกไป หามีบุคคลตัวตนเราเขาที่ไหนมาเป็นผู้รับเหตุให้เกิดความกังวลได้ไม่ ดังนั้น ความกังวลอันเป็นหนึ่งในโทสะที่เนื่องมาจากปฏิฆะสังโยชน์ จึงไม่สามารถกำเริบขึ้นได้อีก เพราะเหตุภายในตัวผู้ปฏิบัติได้หมดไปโดยการกำจัดด้วยโลกุตรปัญญา :b49: :b48: :b47:

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่เป็นเหตุภายนอกของระดับอนาคามีและอรหันต์ ก็จะเป็นไปด้วยความปรอดโปร่งโล่งในใจ อันเนื่องจากเหตุภายในที่ทำให้เกิดความกังวลขึ้นในใจนั้น ได้ถูกกำจัดลงไปแล้ว
:b50: :b49: :b44:

และเพื่อให้เห็นภาพที่สติสัมปชัญญะเข้ามาคุ้มครองจิตในชีวิตประจำวัน ก็ขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่สติสัมปชัญญะที่ฝึกมาดีแล้วผ่านการรู้ใจในสมาธิภาวนา สามารถเข้ามาคุ้มครองจิตเมื่อเกิดผัสสะที่เป็นโทสะหรือปฏิฆะแรงๆเข้ามากระทบในชีวิตประจำวัน เช่น เวลาขับรถแล้วโดนรถจิ๊กโก๋ปาดหน้า :b50: :b49: :b48:

ถ้าเป็นปุถุชนที่ยังมีปฏิฆะสังโยชน์อยู่อย่างเนืองแน่น จิตจะปรุงอกุศลวิตก คือความคิดที่เป็นพยาบาท อยากปาดหน้าเอาคืนขึ้นมาในทันใด :b46: :b47: :b48:

แต่สำหรับนักปฏิบัติที่ฝึกสติสัมปชัญญะในการดูความคิดผ่านสมาธิภาวนามาดีแล้ว จิตจะเห็นการทำงานขึ้นมาได้เองของสังขารขันธ์ คือความคิดที่จะปาดหน้าเอาคืนนั้นได้ในชั่วแวบที่ความคิดผุดขึ้น :b48: :b49: :b50:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และสติสัมปชัญญะที่ผุดขึ้นมาทำหน้าที่ให้จิตได้ระลึกรู้ชัดว่ามีพยาบาทวิตกเกิดขึ้นนั้น ก็จะทำให้พยาบาทวิตก หรือความคิดที่จะแก้แค้นเอาคืนนั้นดับลงไป ก่อนที่จะปรุงแต่งซับซ้อนเป็นปปัญจะ จนกระทั่งสำรวมอินทรีย์ไม่ทัน สั่งรูปขันธ์ให้มีการกระทำทางวจีทุจริต เช่น การสบถด่า หรือกายทุจริต เช่น การปาดหน้าเอาคืนเจ้าจิ๊กโก๋คันนั้นไปนะครับ :b1: :b46: :b39:

ซึ่งตัวอย่างตรงนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าสติสัมปชัญญะมีความสมบูรณ์พร้อมแล้ว องค์สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อมแล้วนั้นเอง จะเข้ามาเป็นเกราะปกป้องจิต (วิญญาณขันธ์) ปกป้องสังขารขันธ์ และปกป้องรูปขันธ์ จนเกิดความสำรวมในอินทรีย์ เป็นอินทรียสังวรศีล ไม่ให้มีการกระทำที่ตกไปในทางทุจริต อันจะยังให้สุจริตทั้ง ๓ คือทางกาย วาจา และใจ มีความสมบูรณ์ได้นั่นเอง :b49: :b48: :b47:

นอกเหนือจากนี้ขึ้นไปอีก จากการที่สติสัมปชัญญะได้รับการฝึก จนสามารถตรวจจับความคิดที่ผุดเกิดขึ้นได้แล้วนั้น ถ้าผู้ปฏิบัติฝึกดูความคิดในสมาธิภาวนาไปเรื่อยๆจนสติสัมปชัญญะแก่กล้ามากขึ้นไปอีก จิตก็จะสามารถย้อนทวนกระแสของความคิด เข้าไปรู้ไปเห็นได้ถึงต้นรากของความคิด นั่นคือความรู้สึก (เวทนา) หรือความจำได้หมายรู้ (สัญญา) ที่ผุดเกิดนำหน้าขึ้นมาก่อนความคิด :b50: :b49: :b42:

ซึ่งผู้ปฏิบัติก็จะเห็นการทำงานได้เองของขันธ์อีกสองขันธ์ นั่นคือเวทนาขันธ์ และสัญญาขันธ์ ที่ผุดขึ้นมาทำงานของเขาได้เองตามเหตุปัจจัย หามีตัวตนเราเขาที่ไหนมาบังคับสั่งการได้ไม่
:b47: :b48: :b41:

โดยเวทนาขันธ์นั้น อาจจะผุดเกิดขึ้นมาในตอนที่นั่งสมาธิไปนานๆแล้วเกิดทุกขเวทนาคือเมื่อยที่กาย แล้วเกิดโทมนัสเวทนาคือทุกข์ที่ใจตามขึ้นมา จนสังขารขันธ์หรือความคิด ปรุงต่อให้จิต รู้ความคิดที่อยากจะเปลี่ยนอิริยาบถไปในท่าอื่นๆเพื่อคลายความปวดเมื่อย :b48: :b49: :b42:

หรือบางทีสังขารขันธ์คือความคิดยังไม่ทันได้ทำงาน แต่รูปขันธ์คือกาย ได้ขยับเปลี่ยนอิริยาบถไปแล้วด้วยความเคยชินตามระบบสั่งการโดยอัตโนมัติของกาย :b48: :b47: :b46:

หรือบางครั้งถ้าเกิดนั่งสมาธิร่วมกับคนหมู่มาก ก็อาจจะเกิดการต่อสู้กันในความคิดที่ว่า จะอดทนในท่านั่งเดิมต่อไปดี หรือจะขยับเปลี่ยนท่านั่งดี :b49: :b50: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ให้ผู้ปฏิบัติ เฝ้าดูการผุดเกิดขึ้นของเวทนา และความคิดที่จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนท่านั่งที่ผุดเกิดขึ้นมาได้เองของเขา โดยดูที่วิเสสลักษณะ คือลงในลักษณะ กิจ อาการที่ปรากฏ และเหตุใกล้ให้เกิด ของเวทนาและวิตก จนเกิดถิรสัญญาเพื่อใช้ฝึกสติสัมปชัญญะ :b47: :b48: :b49:

และดูสามัญลักษณะ คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของทั้งเวทนาและวิตก เพื่อฝึกสติสัมปชัญญะ และฝึกวิปัสสนาปัญญาไปด้วยกันนะครับ :b1: :b46: :b39:

ส่วนสัญญาขันธ์ที่ผุดเกิดขึ้นมาก่อนวิตกในสมาธิภาวนานั้น มักจะผุดเกิดขึ้นมาในลักษณะของเสียง หรือรูปที่เคยผ่านพบมาแล้วในอดีต ซึ่งจะผุดขึ้นมาแวบเดียวแล้วสังขารขันธ์ คือตัวความคิดหรือวิตก ก็จะเอาสัญญาขันธ์ทึ่ผุดเกิดขึ้นมาแวบเดียวนั้นละครับ ไปปรุงต่อจนเกิดเป็นความคิดฟุ้งที่ซับซ้อนยืดยาวอยู่ในหัว (ปปัญจะ) จนกว่าจิตจะเกิดสติสัมปชัญญะตรวจจับได้ว่า มีความคิดฟุ้งเกิดขึ้นมาแล้วน๊ะ ความคิดฟุ้งนั้นๆถึงจะดับลงไป :b48: :b47: :b46:

ซึ่งสำหรับสัญญาในเสียง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวันใดผู้ปฏิบัติฟังเพลงมามาก ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จากนั้นทำการนั่งสมาธิในเวลาก่อนเข้านอน ผู้ปฏิบัติก็จะสังเกตเห็นการผุดเกิดของเพลงที่เคยฟังขึ้นมาในหัว โดยที่ไม่ได้จงใจให้เพลงนั้นผุดเกิดขึ้น แต่เป็นสัญญาขันธ์ที่ผุดเกิดฟุ้งขึ้นมาทำงานของเขาได้เอง :b50: :b49: :b48:

แล้วหลังจากนั้นก็อาจจะเห็นอาการรำคาญ หรือตัวสังขารขันธ์ที่เป็นตัวโทสะเล็กๆผุดเกิดขึ้นมาในจิต ตลอดจนอาจจะเกิดความคิดต่อเนื่องในการหาวิธีที่จะให้สัญญาขันธ์หรือเพลงนั้นดับลงไป :b49: :b50: :b44:

ซึ่งวิธีแก้ไขอาการฟุ้งของเสียงในสมาธิภาวนาเพื่อฝึกสติสัมปชัญญะวิธีหนึ่งก็คือ ให้นักปฏิบัติ ใช้สัญญาขันธ์และสังขารขันธ์อันใหม่ มาตัดการทำงานของสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์อันเก่า คือบทเพลงและความคิดที่ยังคงทำงานอยู่ ให้ขาดลงไป :b49: :b47: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกตัวอย่างสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์อันใหม่ ที่ใช้ตัดสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์อันเก่าก็เช่น การใช้คำบริกรรม เช่นคำว่าพุทโธ บริกรรมเร็วๆเพื่อตัดวงจรของเพลง ซึ่งก็คือสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์อันเก่าที่กำลังทำงานอยู่ ให้ขาดออกไป :b51: :b50: :b49:

หลังจากการใช้คำบริกรรมจนกระทั่งสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์อันเก่า หรือบทเพลงที่ฟุ้งขึ้นมาในหัวนั้น หยุดการทำงานไปแล้ว การปฏิบัติยังไม่หมดแค่นี้นะครับ สิ่งสำคัญที่สุดของขั้นตอนนี้อยู่ที่ว่า ในขณะที่ใช้คำบริกรรมเพื่อตัดเพลงและความคิดที่ฟุ้งอยู่ในหัว จนเพลงและความคิดหยุดไปได้แล้วนั้น ให้สังเกต ระลึกรู้ และรู้ชัดลงไปในการดับ หรือการไม่มีอยู่ของเพลง หรือของความคิดนั้นด้วย :b46: :b47: :b46:

ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่สุดที่เอาไว้ใช้ในการฝึกสติสัมปชัญญะผ่านการรู้ใจด้วยสมาธิภาวนา คือรู้ชัดในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และโดยเฉพาะการดับลงไปของสัญญา (คือเพลงที่ฟุ้งขึ้นมาในหัว) และวิตก (คือความคิดที่ฟุ่งขึ้นมาในหัว) นะครับ
:b1: :b46: :b39:

และเมื่อบริกรรมพุทโธ จนเพลงและความคิดหยุดลงไปแล้วสักพัก ก็จะเห็นการยื้อกันระหว่างสัญญาเก่า (คือเพลงที่ฟุ้งขึ้นมา) กับสัญญาและวิตกใหม่ (คือคำภาวนาพุทโธ) :b49: :b48: :b47:

นั่นคือ เพลงที่ฟุ้งอยู่ก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพลงนั้นจะพยายามแทรกคำภาวนาเข้ามาฟุ้งอยู่ในจิตอีกจนได้ในระหว่างภาวนาพุทโธ ให้จิตสังเกตการฟุ้งขึ้นมาของเพลงได้อย่างต่อหน้าต่อตา ต่อหน้าคำภาวนาพุทโธที่กำลังท่องอยู่ในใจเลยทีเดียวนะครับ จนกว่ากำลังของสติสัมปชัญญะ โดยเฉพาะกำลังของสมาธิ จะเข้มแข็งพอในการโฟกัสลงไปแค่คำภาวนาพุทโธ เพลงที่ว่าจึงจะไม่ฟุ้งขึ้นมาในจิตอีก :b49: :b48: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่สำหรับผู้ปฏิบัติที่ชำนาญในสมาธิแล้ว เมื่อมีเพลงผุดฟุ้งขึ้นในหัวระหว่างการทำสมาธิภาวนา ก็ให้ใช้จิตดูจิต รู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิตได้ตรงๆ โดนที่ไม่ต้องใช้คำภาวนาเข้าช่วย ก็จะเห็นในการดับลงไปของเพลง หรือของสัญญาขันธ์นั้นได้เองเพียงชั่วแลบที่เพลงผุดฟุ้งขึ้นมา นะครับ :b1: :b46: :b39:

ว่าด้วยสัญญาในเสียงไปแล้ว สำหรับสัญญาในรูปที่ผุดฟุ้งขึ้นมาระหว่างทำสมาธิภาวนานั้น ยกตัวอย่างเช่น ในวันทำงานที่มีงานเข้ามามากมายจนทำไม่เสร็จ และหมายกำหนดส่งงานก็ใกล้เข้ามาทุกที :b47: :b48: :b49:

ตกตอนกลางคืนนั่งทำสมาธิภาวนา แล้วงานที่ยังคั่งค้างอยู่นั้นเกิดเป็นภาพผุดแวบเป็นสัญญา คือความจำได้หมายรู้ขึ้นมาในหัวให้จิตรับรู้ได้ :b49: :b50: :b44:

ตรงนี้ถ้าสติสัมปชัญญะและสมาธิยังมีกำลังไม่พอ ตัวสังขารขันธ์ก็จะใช้สัญญาขันธ์ที่ผุดเกิดขึ้นมานั้น ทำการปรุงแต่งต่อเป็นความคิดอันเนื่องมาจากความกังวลในงานที่เร่งและยังไม่เสร็จอยู่นั้น ให้เป็นเรื่องเป็นราวที่ซับซ้อน ซึ่งโดยมากมักเป็นไปในทางร้ายๆให้เกิดความกังวลวุ่นวายมากเข้าไปอีก ทั้งๆที่งานของจริงยังทำไปได้ไม่ถึงสิ่งร้ายๆที่สังขารขันธ์นั้นปรุงขึ้นมา :b49: :b48: :b47:

แต่ถ้าผู้ปฏิบัติตามทันในสิ่งที่สังขารขันธ์ปรุงขึ้นมาเป็นความคิดนั้นได้ ด้วยการกลับมาดูจิต คือรู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิต ความคิดนั้นก็จะสะดุดหยุดลง เหลือเพียงแค่อาการรู้ในความว่างหลังจากที่ความคิดดับลงเนื่องจากมีสติสัมปชัญญะเข้ามาตัดความคิดลงไปในสมาธิภาวนา
:b43: :b42: :b41:

แต่อาการคิดฟุ้งด้วยการปรุงของสังขารขันธ์นั้นก็ยังไม่ได้หายไปไหนนะครับ เมื่อสติสัมปชัญญะและสมาธิระหว่างภาวนานั้น อ่อนกำลังลง ตัวความจำได้หมายรู้ในงานที่ยังค้างคา และความคิดอันเนื่องมาจากสัญญาและความกังวลในงานนั้น ก็จะกลับมาฟุ้งอยู่ในหัวใหม่ ทั้งๆที่ยังอยู่ในสมาธิภาวนานั่นหล่ะครับ :b1: :b46: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้ก็ให้ฝึกด้วยการมีสติสัมปชัญญะตามรู้ตามดูให้ทันในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของรูปสัญญา และวิตกที่ตามมานั้น ตลอดช่วงของการทำสมาธิภาวนานะครับ เหมือนกับเป็นการต่อสู้กันระหว่างอาการเผลอฟุ้งคิด กับกำลังแห่งสติสัมปชัญญะและสมาธิ แต่ในการต่อสู้นี้ ผู้ปฏิบัติสามารถเก็บเกี่ยวการปฏิบัติได้ทั้งสองทาง คือเมื่อฟุ้งคิดก็ได้ฝึกสติสัมปชัญญะ รู้ชัดในอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลงไป (หรืออาการที่ไม่มีอยู่) ของสัญญาและวิตก :b48: :b47:

และเมื่อเมื่อจิตสงบลงไปก็ได้ฝึกเอากำลังของสมาธิ สลับกันไปได้ทั้งสองทางในระหว่างการทำสมาธิภาวนานั่นเอง
:b48: :b49: :b50:

แต่ถ้าอาการฟุ้งคิดมีกำลังแรงมาก จนยากที่จะภาวนาแล้ว ก็ให้ใช้ตัวช่วยเช่นเดียวกับกรณีที่มีเพลงฟุ้งเข้ามาในหัวระหว่างทำสมาธิภาวนา นั่นก็คือ การใช้คำบริรรม เช่นคำว่าพุทโธเข้าช่วย ด้วยการบริกรรมเร็วๆอย่างต่อเนื่องจนอาการฟุ้งคิดไม่สามารถแทรกเข้ามาได้นะครับ :b1: :b46: :b39:

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อจิตเริ่มหลุดจากคำภาวนา สัญญาในงานพ่วงด้วยอาการฟุ้งคิดก็จะสามารถแทรกเข้ามาได้อีก แต่คราวนี้จะเป็นไปด้วยกำลังที่เบาบางลงไปอันเนื่องมาจากกำลังของสมาธิที่มีมากขึ้นด้วยคำบริกรรม ก็ให้ฝึกสติสัมปชัญญะด้วยการดูและรู้ชัดในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสัญญาที่พ่วงด้วยอาการฟุ้งคิดนั้นนะครับ :b1: :b46: :b39:

แล้วถ้าผู้ปฏิบัติ ฝึกสติสัมปชัญญะในสมาธิภาวนาด้วยการดูการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสัญญาที่พ่วงด้วยอาการฟุ้งคิด หรือตัววิตกที่ตามตัวสัญญามาได้เช่นนี้ไปเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะก็จะแก่กล้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแค่มีสัญญาผุดเกิดนำขึ้นมาก่อน สติสัมปชัญญะที่เข้มแข็ง ก็จะเข้ามาช่วยจิต ในการตรวจจับอาการผุดเกิดขึ้นของสัญญาเพียงแวบเดียวตรงนั้น และดับคาที่ลงแค่ตรงนั้น ไม่สามารถพัฒนาจากสัญญาต่อเนื่องออกไปเป็นวิตก และซับซ้อนจนเป็นปปัญจะได้ :b48: :b42: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จนกระทั่งสุดท้ายผู้ปฏิบัติจะเห็นแค่อาการจิตที่ขยับๆจะปรุงสัญญา โดยที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า สัญญาที่กำลังผุดเกิดขึ้นมานั้น เป็นภาพอะไร หรือเป็นเสียงอะไร แต่สติสัมปชัญญะก็ไวพอที่จะตัดวงจรให้เห็นเพียงแค่จิตที่ไหวๆขยับๆเท่านั้น แล้วดับลงไปได้เองด้วยกำลังของสติสัมปชัญญะและสมาธิที่เข้มแข็งดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือในสมาธิภาวนา หรือในระหว่างหลับแล้วฝัน :b48: :b47: :b46:

ซึ่งตรงนี้จะเป็นสภาวะอาการที่ตรงกันกับในพระไตรปิฎก และพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านว่าไว้ว่า เพียงเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ซึ่งไม่ทันจะรู้ว่าเป็นอะไร) เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น (ซึ่งไม่ทันจะรู้ว่าเป็นอะไร) ก็ดับลงไปเป็นธรรมดา นั่นเองนะครับ
:b1: :b46: :b39:

และเช่นกันคือ สติสัมปชัญญะที่ฝึกด้วยการตามรู้ในรูปสัญญาที่ผุดเกิดขึ้นมาในระหว่างทำสมาธิภาวนา ก็จะเข้ามาคุ้มครองจิตในชีวิตประจำวันได้ด้วย :b49: :b48: :b47:

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกำลังนั่งทานข้าวแล้วรูปของเนื้องานที่เร่งๆอยู่ แวบเข้ามาในหัว :b48: :b47: :b46:

ถ้าเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไหร่ ก็มักจะเกิดความคิดอันเนื่องมาจากความกังวลในงานต่อเนื่องออกไป ทำให้อาหารที่กำลังทานอยู่นั้น หมดความอร่อยลงไปได้เลยทีเดียว :b51: :b44: :b45:

แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิดีแล้ว องค์ของสติสัมปชัญญะก็จะสามารถตรวจจับการเกิดขึ้นในรูปสัญญา หรือความหมายรู้ในเนื้องานที่กำลังเร่งอยู่นั้นได้ และตัวสติสัมปชัญญะนั้นเอง ก็จะทำการตัดตัวสัญญานั้น ไม่ให้สามารถพัฒนาต่อจนเป็นความคิดความกังวลขึ้นมาได้ :b53: :b45: :b40:

หลังจากนั้น ตัวสมาธิก็จะรับลูกต่อ ให้จิตมีสติสัมปชัญญะระลึกและรู้ชัดอยู่แค่กิจกรรมในปัจจุบัน นั่นคืออาการที่กำลังทานอาหารอยู่ต่อไปได้ โดยที่ไม่เกิดความคิดความกังวลเข้ามาแทรก ทำให้หลุดจากกิจในปัจจุบันขณะออกไป
:b50: :b51: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ขอทิ้งโน๊ตไว้ตรงนี้หน่อยนะครับว่า การที่ตัวสติสัมปชัญญะและสมาธิ สามารถออกมาตัดวงจรของอกุศลสัญญาและอกุศลวิตกที่ทำให้เกิดทุกข์ตรงนี้ลงไปได้ เป็นเพียงแค่การบรรเทาทุกข์ให้สั้นลงไปเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว จะต้องอาศัยตัวปัญญาในขั้นโลกุตระ เข้ามาตัดต้นเหตุแห่งทุกข์ในภายใน คือตัวตัณหาอวิชชาให้ขาดออกไป :b47: :b49: :b50:

ซึ่งเมื่อเหตุแห่งทุกข์ขาดออกไปแล้ว ความวิตกกังวลทั้งหลายก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้อีก เพราะจิตจะเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้คืองานที่กำลังเร่งอยู่ใกล้จะถึงกำหนดส่งนั้น เป็นเพียงแค่กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัยที่กำลังดำเนินไป หามีผู้ใดเข้ามารับทุกข์ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากงานไม่เสร็จได้ไม่ ทุกข์คือความกังวลอันเนื่องมาจากความบีบคั้นของงานในหน้าที่ ก็จะไม่สามารถผุดเกิดขึ้นมาได้อีก ไม่ว่าเหตุภายนอกจะมีหรือไม่มีตาม อันเนื่องมาจากเชื้อเกิด คือตัณหาอวิชชา ซึ่งเป็นเหตุภายในนั้น ได้ถูกถอนรากออกไปหมดแล้ว)
:b46: :b47: :b46:

ถึงตรงนี้แล้ว ขอจบรายละเอียดตัวอย่างของสัญญาในเสียง และสัญญาในรูป อันเกิดขึ้นในสมาธิภาวนาไว้แค่นี้นะครับ :b1: :b46: :b39:

ส่วนสัญญาในกลิ่น ในรส และในกายสัมผัสนั้น ส่วนมากมักไม่ค่อยผุดเกิดขึ้นมาในสมาธิภาวนา แต่มักจะผุดเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเมื่อมีผัสสะทางตามากระทบ เช่น เห็นดอกมะลิแล้วระลึกได้ในกลิ่น เห็นไก่ย่างแล้วนึกได้ในกลิ่นและรส เห็นใครบีบมะนาวแล้วเปรี้ยวปาก เห็นเข็มฉีดยาแล้วระลึกได้ในความเจ็บเมื่อโดนเข็มทิ่ม ฯลฯ เป็นต้น :b49: :b50: :b51:

ไว้มาต่อกันในส่วนของการฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ลึกขึ้นไปอีกขั้น คือในระดับที่สามารถรู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิตได้ทั้งในสมาธิภาวนา และในการใช้ชีวิตประจำวันกันนะครับ :b1: :b46: :b39:

เจริญในธรรมครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 81, 82, 83, 84, 85, 86, 87 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร