วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 284 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2014, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
ไม่ได้นั่งสมาธิมานานหลายวัน เริ่มหลับตาไม่ค่อยฟุ้งซ่าน แต่ด้วยความอยากทำสมาธิมากไป จนรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ทีเดียว จึงเกิดความรู้สึกเพ่งหรือบังคับให้เกิดอารมณ์สงบ มากกว่าที่จะให้เป็นไปตามธรรมชาติ จึงต้องคอยคุมอารมณ์นั้นไปด้วย กับการพยายามรู้ลมจุดเดียวตรงจมูก ได้เพียงไม่นานลมหายใจละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้ไม่ค่อยฟุ้งซ่าน แต่เหมือนไม่มีความรู้ตัวตลอดเวลา และเมื่อลมหายใจละเอียดลงเรื่อยๆ อยู่ๆก็สัมผัสถึงร่างกายนี่เหมือนถูกตรึงไม่รู้สึกกระเทือนรู้ได้แค่ลมหยาบเข้าออกเร็วตรงจมูกกับหน้าอกที่กระเพื่อมตามแรงลม
ก็พยายามรู้ไปเรื่อยๆก็ผ่อนลงจน ลมละเอียดขึ้นมากและเหมือนจะไม่มี แสงที่เป็นอยู่ก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเหมือนลมหมด ทีนี้สงสัยค่ะ *ถ้าลมหมดจะให้กำหนดอะไรต่อคะ ตอนที่รู้สึกขึ้นมา ก็มองสภาวะนั้นไป
แต่ใจแอบกังวลนิดๆค่ะ กลัวด้วยเพราะว่าสังเกตุว่าไม่มีลมเข้า และหวนคิดถึงว่าเราต้องกำหนดลม แต่ก็พยายามปล่อยเอาแต่สภาวะนั้น พอดีมีคนโผล่เข้ามาในห้องค่ะ ไม่ได้นั่งมานานคุมสติไม่ได้ ก็เลยลืมตา ดูเวลานั่งไปรวม25นาทีเองค่ะ

ดีแล้วครับ ที่เกิดความพอใจที่จะทำความเพียร ด้วยจิตใจที่ร่าเริง
พอรู้ลมไปจนละเอียดเหมือนลมหมด ลมหายไป ก็แอบกังวล ย่อมเป็นอันตรายต่อสมาธิ เพราะสติสัมปชัญญะไม่พอ...

เป็นเรื่องปรกติสำหรับผู้ปฏิบัติ เพราะเป็นอุบัติการณ์จากการไม่ทำสัมปชัญญะให้ดีพอ

Quote Tipitaka:
เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อ
คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึง
ถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า เมื่อคำนึงถึงลม
หายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึงถึงลมหายใจ
ออก ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า เมื่อคำนึงถึงลมหายใจ
เข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก อุปกิเลส ๖ ประการ
นี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปาณสติ อุป-
*กิเลสเหล่านั้น ถ้าจิตของบุคคลผู้หวั่นไหว ย่อมเป็น
เครื่องไม่ให้หลุดพ้นไป และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์
ให้ถึงความเชื่อต่อผู้อื่น ฉะนี้แล ฯ


ก่อนที่จะทำอะไรต่อไปนั้น พระพุทธองค์ทรงวางหลักไว้ว่า ต้องทำความรู้ตัวทั่วถึงตลอดเวลาที่ หายใจเข้าออกให้ได้ก่อนครับ ฉะนั้น อาการที่จะปรากฏว่าเหมือนว่าลมหาย ลมหมดไปเอง จะต้องไม่เกิดขึ้นครับ.

ในอานาปานาสติสมาธิภาวนา จึงเริ่มด้วย

Quote Tipitaka:
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่า หายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่า หายใจเข้ายาว.
เมื่อหายใจออกสั้น ก็สึกตัวทั่วถึงว่า หายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่า หายใจเข้าสั้น.


หมายความว่าตลอดเวลาที่รู้ลม ตั้งแต่ยาว(สั้น)หยาบจนความรู้สึกยาว(สั้น)ละเอียด ต่อลมหายใจเข้าออกอย่างไรก็แล้วแต่ความละเอียดของการรับรู้นั้น

ต้องรู้สึกตัวตลอดเวลาไม่ลืมหลง ไม่เป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ ประคองสติสัมปชัญญะไว้ตลอดจนกระทั่งออกจากการปฏิบัติ...

การปฏิบัติสองขั้นนี้ เป็นการฝึก สัมปชัญญะ โดยตรง (ปชานติ)....

ฝึกตามนี้ก่อนครับ .... อย่าเป็นผู้ไม่ลืมหลง ต่อไปก็จะไม่มีอาการอยู่ดีๆ ตัวหาย กายหาย ลมหาย...

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2014, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ทำสมาธิ โดยจับลมหายใจจุดเดียว มีอารมตั้งมั่นในกรรมฐานที่ตั้งใจไว้อย่างดีพอสมควร
มีความฟุ้งซ่านในเรื่องภายนอกเข้ามาบ้าง แต่เพียงแวบเดียวเพราะไม่ปรุงแต่งต่อ
ส่วนอารมณ์ภายใน มองเห็นเป็นเพียงสภาวะหนึ่ง ทำให้รู้ถึงการแยกแยะที่ผ่านมาปรุงแต่งไปอย่างไม่รู้ตัว เวลาเห็นแสงสว่าง,กลิ่น,เสียง เหลือแต่ความกลัวที่คล้อยตามไปแวบหนึ่ง แวบเดียว
สรุปโดยรวม ผลปฏิบัติวันนี้ ตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ โดยมีเรื่องภายนอกคือปัญหาที่กำลังกังวล คอยเข้ามากวนแต่เพียงแวบ ไม่ทันที่จะทำให้การจับลมกระทบกระเทือนได้
ท้ายๆอารมณ์อยู่กับลมหายใจอย่างเดียวตั้งมั่นได้ ร่างกายเคยโยก โงกหน้าหน้า บิดเกร็ง ปิติอื่นๆ หรืออาการทางกายใดๆทั้งหลาย เกือบไม่มีเหมือนเคย ใช้คำว่าเกือบ เพราะ บางทีเหมือนจะรู้สึกแต่ก็หายไป
แบบนี้ มาถูกทางหรือเปล่าคะ เพราะโดยส่วนตัว ผลการปฏิบัติครั้งนี้ ให้เข้าใจว่า มันเหมือนจะไม่มีอะไรอีกนอกจากรู้ที่ลม ทำไปเรื่อยๆหรือไง หรือหากปฏิบัติครั้งต่อไป ก็จะเป็นแบบอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2014, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
วันนี้ทำสมาธิ โดยจับลมหายใจจุดเดียว มีอารมตั้งมั่นในกรรมฐานที่ตั้งใจไว้อย่างดีพอสมควร
มีความฟุ้งซ่านในเรื่องภายนอกเข้ามาบ้าง แต่เพียงแวบเดียวเพราะไม่ปรุงแต่งต่อ
ส่วนอารมณ์ภายใน มองเห็นเป็นเพียงสภาวะหนึ่ง ทำให้รู้ถึงการแยกแยะที่ผ่านมาปรุงแต่งไปอย่างไม่รู้ตัว เวลาเห็นแสงสว่าง,กลิ่น,เสียง เหลือแต่ความกลัวที่คล้อยตามไปแวบหนึ่ง แวบเดียว
สรุปโดยรวม ผลปฏิบัติวันนี้ ตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ โดยมีเรื่องภายนอกคือปัญหาที่กำลังกังวล คอยเข้ามากวนแต่เพียงแวบ ไม่ทันที่จะทำให้การจับลมกระทบกระเทือนได้
ท้ายๆอารมณ์อยู่กับลมหายใจอย่างเดียวตั้งมั่นได้ ร่างกายเคยโยก โงกหน้าหน้า บิดเกร็ง ปิติอื่นๆ หรืออาการทางกายใดๆทั้งหลาย เกือบไม่มีเหมือนเคย ใช้คำว่าเกือบ เพราะ บางทีเหมือนจะรู้สึกแต่ก็หายไป
แบบนี้ มาถูกทางหรือเปล่าคะ เพราะโดยส่วนตัว ผลการปฏิบัติครั้งนี้ ให้เข้าใจว่า มันเหมือนจะไม่มีอะไรอีกนอกจากรู้ที่ลม ทำไปเรื่อยๆหรือไง หรือหากปฏิบัติครั้งต่อไป ก็จะเป็นแบบอื่น

ดีขี้นครับ
ช่วงนี้ ฝึกความรู้ตัว หรือสัมปชัญญะ ก่อนครับ
เพราะยังมีแวปๆ มีกังวลอยู่

ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ตลอดระยะเวลาการปฎิบัติ จนกระทั้งหมดเวลาที่ตั้งใจไว้ เกี่ยวกับ ลมหายใจยาว (สั้น) ไม่ลืมหลง
ไม่ต้องไปรู้เรื่องอื่นใด นอกจากรู้ลม ยาว(สั้น) จากหยาบสู่ละเอียด จนแม้เมื่อก่อนที่เมื่อลมหายใจละเอียดก็ไม่สังเกตได้ชัดว่ารู้อยู่ ก็รู้อยู่ในความรู้สึกตัวนั้น

บททำความศึกษาต่อไปจึงจะเดินไปต่อได้ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
idea เขียน:
วันนี้ทำสมาธิ โดยจับลมหายใจจุดเดียว มีอารมตั้งมั่นในกรรมฐานที่ตั้งใจไว้อย่างดีพอสมควร
มีความฟุ้งซ่านในเรื่องภายนอกเข้ามาบ้าง แต่เพียงแวบเดียวเพราะไม่ปรุงแต่งต่อ
ส่วนอารมณ์ภายใน มองเห็นเป็นเพียงสภาวะหนึ่ง ทำให้รู้ถึงการแยกแยะที่ผ่านมาปรุงแต่งไปอย่างไม่รู้ตัว เวลาเห็นแสงสว่าง,กลิ่น,เสียง เหลือแต่ความกลัวที่คล้อยตามไปแวบหนึ่ง แวบเดียว
สรุปโดยรวม ผลปฏิบัติวันนี้ ตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ โดยมีเรื่องภายนอกคือปัญหาที่กำลังกังวล คอยเข้ามากวนแต่เพียงแวบ ไม่ทันที่จะทำให้การจับลมกระทบกระเทือนได้
ท้ายๆอารมณ์อยู่กับลมหายใจอย่างเดียวตั้งมั่นได้ ร่างกายเคยโยก โงกหน้าหน้า บิดเกร็ง ปิติอื่นๆ หรืออาการทางกายใดๆทั้งหลาย เกือบไม่มีเหมือนเคย ใช้คำว่าเกือบ เพราะ บางทีเหมือนจะรู้สึกแต่ก็หายไป
แบบนี้ มาถูกทางหรือเปล่าคะ เพราะโดยส่วนตัว ผลการปฏิบัติครั้งนี้ ให้เข้าใจว่า มันเหมือนจะไม่มีอะไรอีกนอกจากรู้ที่ลม ทำไปเรื่อยๆหรือไง หรือหากปฏิบัติครั้งต่อไป ก็จะเป็นแบบอื่น

ดีขี้นครับ
ช่วงนี้ ฝึกความรู้ตัว หรือสัมปชัญญะ ก่อนครับ
เพราะยังมีแวปๆ มีกังวลอยู่

ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ตลอดระยะเวลาการปฎิบัติ จนกระทั้งหมดเวลาที่ตั้งใจไว้ เกี่ยวกับ ลมหายใจยาว (สั้น) ไม่ลืมหลง
ไม่ต้องไปรู้เรื่องอื่นใด นอกจากรู้ลม ยาว(สั้น) จากหยาบสู่ละเอียด จนแม้เมื่อก่อนที่เมื่อลมหายใจละเอียดก็ไม่สังเกตได้ชัดว่ารู้อยู่ ก็รู้อยู่ในความรู้สึกตัวนั้น

บททำความศึกษาต่อไปจึงจะเดินไปต่อได้ครับ



:b8: อนุโมทนาความเป็นกัลยาณมิตรของคุณเช่นนั้นค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 15:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ทำสมาธิ หลับตากำหนดลมหายใจ อารมณ์ภายนอก(คิดถึงเรื่องคนอื่น)ไม่ก่อกวน
แต่สักพักมีปัญหาอารมณ์ภายใน รู้สึกมีสติไม่ทั่วพร้อม คือเหมือนจะดูลมได้เรื่อยๆ แต่ความรู้ตัวขาดๆหายๆ
คิดว่าง่วงนอน เคลิ้มๆจะหลับ เกือบจะท้อเหมือนกัน ทั้งเคลิ้มๆก็พยายามรู้อยู่ที่ลม ต่อจนสักพัก
รู้สึกตื่น สว่างโพลงอยู่ภายใน มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจคำว่านิ่มนวลผ่องใส คราวนี้เอง
ก็กำหนดรู้ลมไปเรื่อยๆ แต่สักพักเริ่มมีอารมณ์กลัวคอยแวบมาอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน
เหมือนมีใครมาโผล่อยู่ใกล้ๆทางนู้นนี้ ควรทำอย่างไรดีคะ ที่ทำไปตอนนั้นคือพยายามกลับมารู้ลม
แต่เหมือนใจกังวลตัดไม่ขาด ไม่ใช่ตลอดเวลานะเมื่อเกิดกลัวแวบมา จะกลับมารู้ลม
สังเกตุสั้นยาวหยาบละเอียด บางทีเหมือนลมเหลือแค่ภายใน(ตรงนี้อธิบายไม่ถูก เหมือนหยุดแล้วไม่มีเข้าไม่มีออก ยังไม่แน่ใจ เพราะแค่เหมือนจะสัมผัสเคล้าคลอกันสักพักแต่ก็กลัวขึ้นอีก)
แต่ยังสงบตั้งมั่นได้แต่สักพักก็จะแวบกลัวมาอีก มากเข้าใจมันหวิวๆ ไม่สบาย
กลายเป็นว่าพยายามสร้างลม หรือรู้ลม ไม่แน่ใจ เลยถอยออกมา
สรุปผลปฏิบัติวันนี้ ไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ มีผิดพลาดตรงไหน ช่วยชี้แนะตักเตือนด้วยค่ะ
:b8: :b8: :b8:
Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
วันนี้ทำสมาธิ หลับตากำหนดลมหายใจ อารมณ์ภายนอก(คิดถึงเรื่องคนอื่น)ไม่ก่อกวน
แต่สักพักมีปัญหาอารมณ์ภายใน รู้สึกมีสติไม่ทั่วพร้อม คือเหมือนจะดูลมได้เรื่อยๆ แต่ความรู้ตัวขาดๆหายๆ
คิดว่าง่วงนอน เคลิ้มๆจะหลับ เกือบจะท้อเหมือนกัน ทั้งเคลิ้มๆก็พยายามรู้อยู่ที่ลม ต่อจนสักพัก
รู้สึกตื่น สว่างโพลงอยู่ภายใน มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจคำว่านิ่มนวลผ่องใส คราวนี้เอง
ก็กำหนดรู้ลมไปเรื่อยๆ แต่สักพักเริ่มมีอารมณ์กลัวคอยแวบมาอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน
เหมือนมีใครมาโผล่อยู่ใกล้ๆทางนู้นนี้ ควรทำอย่างไรดีคะ ที่ทำไปตอนนั้นคือพยายามกลับมารู้ลม
แต่เหมือนใจกังวลตัดไม่ขาด ไม่ใช่ตลอดเวลานะเมื่อเกิดกลัวแวบมา จะกลับมารู้ลม
สังเกตุสั้นยาวหยาบละเอียด บางทีเหมือนลมเหลือแค่ภายใน(ตรงนี้อธิบายไม่ถูก เหมือนหยุดแล้วไม่มีเข้าไม่มีออก ยังไม่แน่ใจ เพราะแค่เหมือนจะสัมผัสเคล้าคลอกันสักพักแต่ก็กลัวขึ้นอีก)
แต่ยังสงบตั้งมั่นได้แต่สักพักก็จะแวบกลัวมาอีก มากเข้าใจมันหวิวๆ ไม่สบาย
กลายเป็นว่าพยายามสร้างลม หรือรู้ลม ไม่แน่ใจ เลยถอยออกมา
สรุปผลปฏิบัติวันนี้ ไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ มีผิดพลาดตรงไหน ช่วยชี้แนะตักเตือนด้วยค่ะ
:b8: :b8: :b8:
Kiss

สมาธิตั้งมั่นบ้าง ไม่ตั้งมั่นบ้าง ไม่เป็นไรครับ
เพียงแต่ยังไม่เหมาะกับการศึกษาในขั้นต่อไป ด้วยเหตุว่าจะง่ายต่อการฟุ้งได้ครับ

ภาวะโดยทั่วไปดีครับ พยายามให้รู้สึกตัว ตลอดเวลาที่อธิษฐานเวลาการปฏิบัติไว้
ไม่ต้องเครียดหรือบีบบังคับจิต เพราะนั่นไม่ใช่การรู้ลมแต่เป็นเพราะความอยากบังคับจิต จิตจะกระด้างไม่อ่อน ไม่สดใสครับ

อารมณ์อื่นใดเกิดขึ้น ถึงรู้ก็ช่างมันไปก่อนครับ ตอนนี้กิจที่ต้องทำคือ รักษาความรู้สึกตัวว่าลมหายใจเข้า ลมหายใจออก... พอจิตกลับมารู้ลม อารมณ์อื่นนั้นก็คลายตัวไปเองครับ

การที่รู้สึกลมเหมือนหยุด จิตเข้าสู่สภาวะอุเบกขาแล้ว ไม่ต้องกลัว ให้รู้อยู่อย่างนั้น ลมไม่หยุดจริงหรอกครับมันละเอียดมาก.

สติ สมาธิก็จะบริบูรณ์ แล้วรู้อย่างนั้นไปจนครบเวลาที่อธิษฐานไว้ครับ.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 17:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้น
อธิษฐานเวลาไว้ด้วยเหรอคะ
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
คุณเช่นนั้น
อธิษฐานเวลาไว้ด้วยเหรอคะ
s006

ครับ สำหรับผู้ที่ฝึกฝน
ต้องอธิษฐานเวลาไว้ครับ
บางท่านก็เริ่ม 3 นาที บางท่านก็ สองชั่วโมง
บางท่านก็ ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง
ให้เหมาะสมกับสภาพของตนครับ และเป็นกำลังใจแก่ตนด้วยครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาความเป็นกัลยาณมิตรของคุณเช่นนั้นค่ะ
:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 22:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณปลีกวิเวก
ก่อนจะเข้ามาโพสในลานธรรม ideaคิดแล้วคิดอีกค่ะ เพราะปกติเป็นคนพูดเปิดเผยในเรื่องตัวเองน้อยมาก
โดยส่วนตัวชอบใฝ่หาเรื่องการปฏิบัติ หารู้ดูแต่ผล ไม่เคยมองเข้าใจหาเหตุปัจจัย เหมือนยึดมั่นในศาสนาพุทธ
อยากจะดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้า แต่ไม่ยอมเข้ามาศึกษาสักที ว่ามีอะไรมากไปกว่าเป็นคนดีมีศีล,สติ,สมาธิ
หรือจะขยายความเหล่านี้ได้มากมายขนาดไหน เข้าใจว่ามีแค่นี้จริงๆ
ตอนเด็กๆไปไหว้พระที่ไหนก็จะขอให้ตัวเอง
มีศีล,สติ,สมาธิ โตมาใจก็อยากจะทำแต่สมาธิ ทำเองเห็นเองรู้เอง ว่ามันสงบ สามารถควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นทุกร้อน อันนี้ชอบมาก เพราะหากให้ตอบแบบไม่ต้องค้นลึกไปในจิตใจมากๆ ทั้งหมดทั้งมวล มีความอยากปฏิบัติก็เพราะอยาก
จะชำระจิตใจให้บริสุทธ์ มีความรู้สึกว่าทุกข์ เกิดขึ้นได้เพราะยังมีใจนึกคิด เรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้นเพราะความอยาก หรืออะไรอีกต่างๆ ที่สรุปแล้วก็คือเหตุอยู่ที่จิต จิตน่าจะเริ่มต้นเกิดขึ้นจากความว่าง
อันนี้คือความคิดมาแต่เด็กๆ
และจากการพยายามปฏิบัติเองมาหลายครั้ง นอกจากได้รับความสงบยัง
จนได้ทำได้รู้สัมผัสในเรื่องเหนือธรรมชาติบางอย่าง
ก็เห็นว่ายังมีความเสื่อม ยังรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ใช่วิธี
ก็เลยเข้ามาเผื่อจะได้พบเจอกัลยาณมิตร ซึ่งจริงๆแล้วทุกท่านให้การต้อนรับด้วยความรู้,แนะนำดีมาก
รวมทั้งคุณปลีกวิเวกด้วย ขอบคุณมากค่ะ
คุณเช่นนั้นด้วยนะคะ ขอบคุณมาก ideaได้ความรู้มากเลย รู้สึกถึง คำจำกัดความการปฏิบัติสั้นลงทุกที แต่ก็มีสับสนบ้างอยู่นะคะ และที่ปฏิบัติหากผิดพลาด ทำตัวไม่ถูกไม่ควรขอโทษด้วยนะคะ ideaเป็นคนค่อนข้างเข้าใจอะไรยาก
---ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งค่ะ-- :b8: :b8: :b8:
s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณ Idea
ฆราวาสอย่างเราๆ ยามกลางวันก็ต้องทำมาหากิน ยามกลางคืนค่อยหาเวลาพักได้บ้าง
จึงมี การแนะนำว่า:

การทำความเพียรนั้น
ให้ทำความเพียรเพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน จึงจะเป็นผู้ไม่ประมาท.

ซึ่งยามกลางคืน หาเวลาอบรมจิตให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น
เพื่อยามกลางวันจะได้อาศัยเป็นเครื่องอยู่ได้อย่างสงบ.

อานาปานสติสมาธิภาวนา จึงเป็นวิธีการปรับปรุงคุณภาพจิต เพื่อที่จะให้จิตนั้นได้อาศัยได้เป็นเครื่องอยู่อย่างสงบ.

พยายามกันต่อไป

เจริญธรรม.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2014, 08:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะพยายามค่ะ พอได้เริ่มปฏิบัติต่อเนื่อง พอมีเวลาว่าง ก็มีใจอยากปฏิบัติ เมื่อวานตอนเย็น ฟ้าใกล้จะมืด
ก็ลงมือปฏิบัติ นั่งก็ตั้งมั่นสงบดีได้พอสมควรเลยทันที แต่สักพักก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เป็นหนักเลยกับเรื่องนี้
cry
ก็พยายามปล่อยแต่ยังไม่ได้เลยค่ะ ยิ่งถ้ามืดแล้วนี่กลัวมาก
เพิ่มมาอีกก็คือเริ่มรู้สึกโกรธ ไม่พอใจกับอารมณ์ที่กลัวนั้น ว่าความฟุ้งซ่านทุกอย่างสงบดี ถ้าไม่มีตัวนี้ขึ้นมา
คงทำได้ดีกว่านี้
แย่จังค่ะ แต่จะพยายามต่อไป
ความจริงช่วงกลางคืนเป็นเวลาที่สงบดีจริง สมควรดีด้วย แต่ยังทำไม่ได้
นอกจากกำหนดตอนนอน
Kiss
ขอบคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2014, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
จะพยายามค่ะ พอได้เริ่มปฏิบัติต่อเนื่อง พอมีเวลาว่าง ก็มีใจอยากปฏิบัติ เมื่อวานตอนเย็น ฟ้าใกล้จะมืด
ก็ลงมือปฏิบัติ นั่งก็ตั้งมั่นสงบดีได้พอสมควรเลยทันที แต่สักพักก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เป็นหนักเลยกับเรื่องนี้
cry
ก็พยายามปล่อยแต่ยังไม่ได้เลยค่ะ ยิ่งถ้ามืดแล้วนี่กลัวมาก
เพิ่มมาอีกก็คือเริ่มรู้สึกโกรธ ไม่พอใจกับอารมณ์ที่กลัวนั้น ว่าความฟุ้งซ่านทุกอย่างสงบดี ถ้าไม่มีตัวนี้ขึ้นมา
คงทำได้ดีกว่านี้
แย่จังค่ะ แต่จะพยายามต่อไป
ความจริงช่วงกลางคืนเป็นเวลาที่สงบดีจริง สมควรดีด้วย แต่ยังทำไม่ได้
นอกจากกำหนดตอนนอน
Kiss
ขอบคุณค่ะ

คุณ Idea เป็นคนกลัวความมืด ยามไหนอยู่ผู้เดียวในที่มืด จะรู้สึกวังเวง และเกิดความกลัวขึ้นมาเฉยๆ.
ความกลัวกลายเป็นสิ่งที่รบกวนความผาสุก ความสำราญในการปฏิบัติอบรมจิต

ความกลัว เป็นสัญชาตญาณ คือความรู้ติดตัวมาของมนุษย์ชนิดหนึ่งเพื่อเป็นสิ่งระวังภัยป้องกันภัยของมนุษย์
ไม่ใช่ความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่เมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาความรู้จริงขึ้นมาทดแทน เพื่อเป็นเครื่องเฝ้าระวังภัยแทนความกลัว ความกลัวก็จะกลายเป็นความรู้ในที่สุด.

เพราะเหตุไร? เพราะความกลัว อาศัยวัตถุ ที่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เช่น
ความกลัว อาศัย สัญญาเก่าๆ เช่น
-เรื่องเล่าเกี่ยวกับผี คนตาย ความหน้าเกลี่ยดหน้ากลัว
-ประสบการณ์ในอดีตที่ยังฝังใจ บ้าง เป็นต้น

ความกลัว ต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก โดยแท้จริง ...ซึ่งเป็นความกลัวเพื่อมีไว้ป้องกันภัยกลับไม่ค่อยมีปัญหาอุปสรรคต่อการภาวนา.
เช่นกลัวทุกข์ กลัวแดด กลัวฝน กลัวโรคภัยเบียดเบียน สาระพัด

ให้วิเคราะห์ดูว่า ความกลัวของเราตั้งอยู่ในเรื่องไรเป็นสำคัญ
วิธีการปฏิบัติเพื่อเอาสงบความกลัว:

1. หากความกลัว ตั้งอยู่ในความเชื่อต่อสิ่งที่ทรงจำสืบๆ กันมาๆ เล่าสืบๆกันมา
หยุดเชื่อเรื่องราวอันเลื่อนลอยนั้นเสีย ทุกครั้งที่หยุดเชื่อ
ให้ตั้งความเชื่อในสัจจะความจริงว่า เป็นเพียงความทรงจำที่เรายึดถือไว้มานานเท่านั้น.
ตั้งความเชื่อต่อความรู้ที่ปรากฏ ถึงสภาพของความกลัวนั้นว่า เป็นสิ่งจรมา ชั่วคราวแล้วก็ดับไป.

2.เพราะความกลัว เป็นสิ่งที่เกิดกับใจ ใจสร้างความกลัวไว้ขึ้นมาเอง และความกลัวต้องอาศัยวัตถุตั้งอยู่
ขณะนั้น
ให้ส่งใจไปไว้ที่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แรงๆ เพื่อให้สัญญาความรู้ที่ลมหายใจเข้าออก มีมากกว่าสัญญาต่อวัตถุความกลัวนั้น.
เมื่อจิตคลายความกลัวลงจึงเข้าสู่การรู้ลมหายใจเข้าออกตามปรกติ
การที่จิตส่งใจไปในสัญญาอื่นแทน จิตก็จะปล่อยสัญญาเกี่ยวกับสิ่งที่ความกลัวตั้งอยู่ทุกครั้ง.

3.การทำความรู้ชัดประจักษ์ต่อความรู้สึกนั้น และเผชิญกับความรู้สึกนั้น.
บางคนกลัวแมงมุน บางคนกลัวหนู บางคนกลัวความมืด บางคนกลัวอยู่คนเดียวลำพัง
ทำความกล้าตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะเผชิญกับมันให้ถึงที่สุด
ให้หายใจลึกๆแรงๆ เหมือนคนที่จะยิงปืนเล็งเป้า แล้วเผชิญหน้าต่อสิ่งนั้นดู จะสังเกตได้เห็นความมหัศจรรย์ของจิตเอง : )

ความกลัว เป็นทุกข์
ความยึดถือไว้ในสัญญาเนื่องด้วยความกลัวนั้น เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ความรู้จริงต่อสภาพที่ปรากฏ เป็นนิโรธ
ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สติปัฏฐาน4 เป็นมรรค

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2014, 13:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ตั้งแต่เริ่มหลับตากำหนดลมหายใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ตั้งมั่นได้ไปเรื่อยๆ
รู้ลมละเอียดมากขึ้นๆ ไม่มีความกลัวแวบเข้ามาเลย
สักพักลมเบาลงมากๆเกิดความสุขเด่นชัด จนรู้สึกว่ากายยิ้ม ยิ้มกว้างผ่อนคลายมากๆ
รู้สึกคลอเคลียอยู่ในอารมณ์นี้นานมาก กายเริ่มโคลงเคลงเบาๆไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง
แสงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สลับกับอาการเหมือนทุกอย่างมันหยุดแบบนิ่งไม่ขยับเขยื้อน แต่เป็นแบบสัมผัสแล้วหลุด
แวบไปแวบมา
สรุปการทำสมาธิวันนี้แม้ออกมาแล้วตอนนี้ ยังรู้สึกสบาย ลมหายใจเบา อิ่มใจ
ถามนะคะ ทำไมช่วงหลังทำสมาธิแล้วไม่เกิดปิติ ไม่เป็นไรหรือคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2014, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มนุษย์เป็นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ว
ย่อมถึงภูเขา ป่าอารามและรุกขเจดีย์ว่า เป็นที่พึ่ง
ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม
เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ

ที่พึ่งนั้นแลเป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม
เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=748&Z=798&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 284 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร