วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 02:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b30: viewtopic.php?f=2&t=25001

สืบเนื่องมาจากกระทู้เดิมเรื่องนอนไม่หลับ ซึ่งทุกวันนี้กระผม นอน หลับสบายดี แถม แอบเยอะไปด้วยซ้ำ :b5: กระผมมีปัญหาใหม่มารบกวนท่านผู้รู้อีกแล้วครับ :b4:
พอหมดปัญหากับการนอนไม่หลับด้วยการหยุดปฏิบัติ สมาธิ สัก 1 อาทิตย์ ก็ เป็นปกติดีขี้นต้องขอขอบคุณทุกท่าน หลังจากนั้นก็กลับมาปฏิบัติใหม่ แต่ ลดจำนวนเวลาลงเหลือ เดิน 15 นั่ง 15

ก็เกิดสภาวะใหม่ คือ คัน :b6: .....มากถึงมากที่สุด.โดยเฉพาะ เท้า.....ตอนนั้งสมาธิ.....ก็คันหนอๆๆๆ.....แรกๆ มีแอบเกา :b9: .....หลังๆ ทนเอา จนหายไปเอง.......แต่ผลที่ตามมา คือ.....เท้าลอก :b14: ....จะว่าเป็นฮ่องกง ฟุต ก็ไม่น่าใช่เพราะ ไม่เคยเดินลุยน้ำที่ไหน...ทำงานก็ใส่ถุงเท้า แล้วลากรองเท้าเตะตลอด :b15: ......เท้าลอก เป็น แผ่น ๆ....ลอกจนเลือดออก...แต่ก็ยังเดินจงกลม แต่เดินจงกลมจะมีความรู้สึกว่าเท้าหนักมาก :b7: ..และเท้าขยายๆๆ...ก็หนักหนอๆๆๆ.......เดินลากเท้าจงกลมกันไป.......ก็ทนๆทำไป :b3: ...อยากลอกก็ลอก อยากหนัก ก็หนัก.....นั่งสมาธิทุกครั้ง น้ำตาไหล 2-3 หยด...อยากไหลก็ไหล......จนเท้าหายลอก( ตอนนี้ เท้าขาวอมชมพู ดูมีสุขภาพดี :b28: ) แต่น้ำตายังไหลอยู่จนทุกวันนี้

แต่ที่กระผมจะรบกวนคือ....ทุกวันนี้กระผมเบื่อโลกมาก......มันเบื่อมันเซ็งไม่อยากพูดกับใคร...ไม่อยากทำอะไร...ไม่อยากเจอคน.....อยากตายแล้ว..อยากบวชไปเลย ...ไม่อยากมีชีวิตอยู่..อาการโรคซึมเศร้าแป๊ะ.......คิดถึงความตายตลอดเวลา...ว่าตายไปคงดี....ยิ่งวันก่อน พี่สาวลากไปดู 2012 ยิ่ง รู้สึกอยากให้เป็นจริงและเร็วๆ เพราะไม่อยากฆ่าตัวตาย แต่อยากตาย.....ตอนดูหนังก็สังเกตุ ตัวเองว่าไม่ได้รู้สึก ตกใจ..ดีใจ เศร้าจนร้องไห้ แบบ สุดกำลัง เหมือนคนอื่นๆ ที่ชมอยู่ ทั้งที่ปกติเมือก่อนเป็นคน sensitive ร้องไห้ได้แม้ดู วงเวียนชีวิต หรือ ดู โฆษณา ไทยประกันชีวิต :b2: แต่หลังๆ ไม่มีอารมย์สุดเลย อาจเพราะมีสติมากขึ้น หลังๆ ไม่ค่อยตกใจอะไรเลย ปัญหาก็คือผมไม่แน่ใจสภาวะที่เป็นอยู่ ผมเป็นโรคซึมเศร้า :b22: หรือเป็นเพราะสภาวะธรรม :b34: เพราะเคยอ่านมาว่าหาก วิปัสนาจนถึงสภาวะหนึ่งจะเบื่อสังขารเบื่อชีวิตคิดอยากตายตลอดเวลา กระผมก็เลยไม่แน่ใจ...ว่าเป็นอย่างไร หากเป็นโรคซึมเศร้าก็จะได้รักษาถูก. :b34: ....เพราะคราวที่แล้วพลาดไปรักษาตอนนอนไม่หลับ...ทำให้สิวบุก..หน้า...พังมาจนทุกวันนี้.. :b2: ......แต่หากเป็นสภาวะธรรมผมจะผ่านสภาวะนี้ไปได้อย่างไรครับ กระผมเบื่อสภาวะนี้มากๆ..ทำให้กระผมไม่มีพลังในการทำงานเลย เซ็ง และเบื่อไปทุกอย่าง....กระผมไม่อยากจิตหลุด อะครับ :b2:

ป.ล กระผมลองหยุด ทำสมาธิ อาทิตย์ หนึ่ง แล้ว ไม่ดีขึ้นแถมอาการหนักว่าเดิม เลยต้องมาสวดมนต์ ใหม่
:b8: ขอบคุณขอรับ

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 17:32
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามที่ได้อ่านเรื่องของคุณจากที่ดิฉันศึกษาเล่าเรียนมีความเห็นส่วนตัวดังนี้ ซึ่งอาจจะถูกต้องหรือไม่ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคล

ดิฉันว่าคุณกำลังสับสนนะค่ะการที่คุณมีความ อยาก ต่าง ๆ นั้นแสดงว่าจิตคงยังยึดกับความต้องการถึงแม้จะเป็นการอยากตากก็ตาม การที่คุณจะเข้าถึงสภาวะต่าง ๆ คือคุณต้องให้จิตยอมรับในความเป็นไปของธรรมชาติ หรือ ปรมัตถ์ ไม่ใช่รู้คุณเรียนรู้ว่าการที่จิตยอมรับ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา หรือทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นทุกข์ หรือไม่เที่ยงนั้นคุณก็อยากตาย นั้นคุณกำลังหนี้ความทุกข์ต่างหากไม่ได้ยอมรับกับ
ปรมัตถธรรม


เจริญในธรรม
ขันธ์ ๕


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยฟังเทศน์มา แบบนี้แหละ
คือเบื่อหน่ายอย่างรุนแรง มันเป็นด่านที่ต้องเจอนะ เป็นเรื่องปกติ
คงต้องพึ่งครูบาอาจารย์แล้วล่ะ ว่าท่านจะแก้ให้ยังไง


สังฆังสรนังคัจฉามิ
แปลว่าต้องมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง (สงฆ์จริงๆ กล่าวคืออริยสงฆ์)
ถ้าไง ไปหาหลวงตาบัวดูก็ได้ อันนี้แน่นอนที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อืมม... บำเพ็ญทุกขกิริยาได้ดี :b23: :b23: :b23:

ลองเปลี่ยนเป็นกสิน นึกภาพดวงสว่างที่กลางลำตัว เลื่อนดวงสว่างนั้นขึ้นมาตามตัวจนถึงหัว ไปๆมาๆ ถ้าเบื่อ ก็ให้ดวงสว่างนั้นลอยอยู่ข้างหน้า
สำหรับบางคน การฝึกแบบไร้รูปนานๆ เช่น อานาปานสติ อาจจะทำให้รู้สึกเคว้งได้

วิธีเดินจงกรม ช่วยให้ผู้ฝึกก้าวถึงปฐมฌาณ ไม่ไกลไปกว่านั้น... ในระดับที่สูงขึ้น จิตจะเริ่มคลายจากการยึดเกาะกับร่างกาย จึงจำเป็นต้องทำร่างกายให้นิ่ง เพราะงั้น เมื่อเริ่มเกิดการรับรู้แปลกๆ ก็ควรเปลี่ยนวิธี


เพิ่มเติม... คันหนอๆ ยิ่งหนอก็ยิ่งคัน เกาซะจะได้หาย


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 17 พ.ย. 2009, 19:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


งานคือธรรม ธรรมก็คืองาน
เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้แล้ว แต่หาได้ละการงานไม่
กลับสร้างอะไร ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากมาย ที่เกิดประโยชน์มากมาย
อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

...ขอเสนอแนะให้พิจารณาลงในกาย...เวทนา...จิต...ธรรม...จนทำให้ธรรมเป็นจิต...จิตเป็นธรรม... :b1:
:b42: :b42: :b42:
...ให้พลิกกลับเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส...ไม่ใช่ไขว่คว้าหาอากาศ...อยากในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์...
...ให้พิจารณาค้นคว้าลงที่จิต...ค้นหาต้นเหตุว่าอยากน่ะคืออะไร...ไม่อยากน่ะคืออะไร...ใจเรายึดติด
...จึงมองไม่ออกว่า...จิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของ...อย่าไปตามใจมัน...พิจารณากาย-จิต
...ณ ปัจจุบันขณะ...ให้ออกทางวิปัสสนากรรมฐานให้จิตระลึกรู้...อารมณ์ขณะนั้นอันไหนเป็นของเรา
:b23: :b23: :b23:
...ตอนนี้ยังมีลมหายใจ...ถ้ากิเลสยังมีอยู่ตายลงไปตอนนี้...จิตออกจากร่างนี้เข้าร่างใหม่ก็เรียกว่าเกิด
...จิตที่สลดหดหู่มีกิเลสเต็มหัวใจ...จะได้ไปสู่ทุคติภูมิ...อย่าหลงไปตามกิเลส...ความอยากได้...
...ความอยากมี...ความอยากเป็นมันคือกิเลสที่เป็นภวตัณหา...ส่วนวิภวตัณหาคือความไม่อยากก็กิเลส
...กิเลสมีทั้งหยาบ...กลาง...ละเอียด...อย่าปล่อยให้จิตว่างเพราะยิ่งเพิ่มทุกข์ทับถมทวีคูณ...

:b4: :b4:
...ต้องหางานให้จิตทำ...การฆ่ากิเลสต้องใช้ธรรมขั้นละเอียดและอาศัยปัญญาที่ละเอียดลึกลงไป...
...ขณะนี้ท่านจงพิจารณาว่า...ในร่างกายมันมีอันไหนเป็นตัวเรา...ของเรา...ตับ...ไต...ไส้...พุง...
...เขาเดือดร้อนกับเราไหม...จิตเราต่างหากที่ไปยินดียินร้ายกับเขาเอง...แล้วก็ปรุงแต่งอารมณ์ขึ้น...
...ถ้าเราฆ่าตัวตายจิตเราวางความเจ็บปวดได้หรือยัง...พระอรหันต์จิตท่านไม่ยึดติด...อยู่ไหนก็สบาย

:b8:
...เรามันยังยึดติดอยู่ไม่พ้นต้องเกิด...จิตนั่นแหละที่เดือดร้อน...ร่างกายพอตายลงเขาก็เอาไปเผาไฟ...
...คนที่เขาแค่มองหน้าก็ว่าหาเรื่องเพราะจิตต่างหากคะนอง...จะเอามีด...เอาปืน...ไปฆ่าแกลงกัน...
...พอตายลงไป...จิตออกจากบ้านหลังเดิมก็ไปหาบ้านใหม่แล้ว...มันไม่ไปตามหวังสิ...ไปตามกรรม...
...ร่างที่ตายลงพอเขาเอาไปเผาไม่เห็นมันลุกมาบอกว่าอย่าเผานะ...จะกลับมาเกิดในร่างเก่าอีกนะ...
:b9:

...ท่านได้มองให้ทะลุปรุโปร่งในกายตัวเองหรือยัง...ที่พระพุทธเจ้าว่าร่างกายเป็นของไม่สะอาด...
...สวดบทกายาคตาสติบ่อยๆแล้วคิดค้นพิจารณาลงในกายตัวเอง...ว่าผมขนเล็บฟันหนังที่เราเห็น...
...มันเป็นเราไหม...พิจารณาดีๆจิตเราต่างหากไปเล็งเห็นว่า...สวยงาม...สะอาด...สั้นยาว...ร้อนหนาว
...เกสา..โลมา...นะขา...ทันตา...ตะโจ...ตะโจ...ทันตา...นะขา...โลมา...เกสา...ค้นลงไป...
:b31:

...อันไหนสวย...อันไหนงาม...อันไหนสะอาด...น่าหลงใหลใฝ่ฝัน...เวลาเส้นผมอยู่บนหัวทำไมไม่ว่า
...พอตกลงในอาหารทำไมว่าสกปรก...ผมและขนเวลาตกลงที่พื้นทำไมว่าสกปรกต้องทำสะอาด
...ผิวหนังสะอาดไหม...ลองไม่อาบน้ำ5วันอยู่ได้ไหม...เอาให้จิตมันลดกำหนัดยินดีในกาย...
...เอาให้ใจละวางไม่ทุกข์-สุขไปตามกิเลสก่อกวน...ท่านทุกข์ใจเบื่อไปหมด...มันเบื่ออะไร...

:b7:
...ถ้ามันทุกข์มากๆ...ทำแบบนี้ก็ได้...กำหนดเลยว่า...ยืน-เดิน-นั่ง-นอนอยู่นี่คือกาย...
...สุข-ทุกข์คือเวทนา...ความรู้สึกนึกคิดคือจิต...สิ่งที่กำหนดรู้คือสติ...กิเลสที่เกิดคือ...
...อกุศลธรรมและนิวรณ์ธรรม...สิ่งที่พิจารณาเห็นอยู่นี้คือปัญญา...ตัวเราของเราไม่มี...
...ท่องในใจตลอดเวลาเลยนะเจ้าคะ...ไม่ว่าอยู่อิริยาบทไหน...ลองทำดู...จะดีขึ้นไหม...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เค้าเรียกว่า เกิด ภวตัณหา และวิภวตัณหา สลับกันครับ

ต้องเร่งความเพียรแก้ นั่ง ยืน เดิน นอน ภาวนาอย่าให้สติขาดตอน อาการนี้ ก็จะหายไปเอง cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ต้องเร่งความเพียรแก้ นั่ง ยืน เดิน นอน ภาวนาอย่าให้สติขาดตอน อาการนี้ ก็จะหายไปเอง


ตามนี้เลยครับ ถ้าเป็นไปได้ก็ เดิน 1 ชม นั่ง 1 ชม หรือมากกว่า ไปเลย อาการดังที่เล่าก็จะหายไปเร็ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 00:03
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะของคน
ยามปกติไม่ได้กำหนดจิต
จะอยุ่ในลักษณะจิตปรุงแต่งคือ
(รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัส + สัญญา(ความจำ)) + เวทนา(ความรู้สึก)
รวมแล้วคือจิต
เช่นเมื่อมองเห็นรถ จิตก็จะค้นในความจำว่าเรียกว่าอะไร
และก็จะตามมาด้วย ยี่ห้อ? รุ่น? สี? สวยไหม?อยากได้ไหม? จะขับไปไหน?
เท่ากับจิตเป็นนาย
ต้องเอาใจนั่งดูจิตควบคุมจิต

.....................................................
เคยบวชตามประเพณี อนาคตจะบวชอีกทีตามศรัทธา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อวบอั๋นขั้นสุดท้าย เขียน:
:b8: :b30: viewtopic.php?f=2&t=25001

สืบเนื่องมาจากกระทู้เดิมเรื่องนอนไม่หลับ ซึ่งทุกวันนี้กระผม นอน หลับสบายดี แถม แอบเยอะไปด้วยซ้ำ :b5: กระผมมีปัญหาใหม่มารบกวนท่านผู้รู้อีกแล้วครับ :b4:
พอหมดปัญหากับการนอนไม่หลับด้วยการหยุดปฏิบัติ สมาธิ สัก 1 อาทิตย์ ก็ เป็นปกติดีขี้นต้องขอขอบคุณทุกท่าน หลังจากนั้นก็กลับมาปฏิบัติใหม่ แต่ ลดจำนวนเวลาลงเหลือ เดิน 15 นั่ง 15

ก็เกิดสภาวะใหม่ คือ คัน :b6: .....มากถึงมากที่สุด.โดยเฉพาะ เท้า.....ตอนนั้งสมาธิ.....ก็คันหนอๆๆๆ.....แรกๆ มีแอบเกา :b9: .....หลังๆ ทนเอา จนหายไปเอง.......แต่ผลที่ตามมา คือ.....เท้าลอก :b14: ....จะว่าเป็นฮ่องกง ฟุต ก็ไม่น่าใช่เพราะ ไม่เคยเดินลุยน้ำที่ไหน...ทำงานก็ใส่ถุงเท้า แล้วลากรองเท้าเตะตลอด :b15: ......เท้าลอก เป็น แผ่น ๆ....ลอกจนเลือดออก...แต่ก็ยังเดินจงกลม แต่เดินจงกลมจะมีความรู้สึกว่าเท้าหนักมาก :b7: ..และเท้าขยายๆๆ...ก็หนักหนอๆๆๆ.......เดินลากเท้าจงกลมกันไป.......ก็ทนๆทำไป :b3: ...อยากลอกก็ลอก อยากหนัก ก็หนัก.....นั่งสมาธิทุกครั้ง น้ำตาไหล 2-3 หยด...อยากไหลก็ไหล......จนเท้าหายลอก( ตอนนี้ เท้าขาวอมชมพู ดูมีสุขภาพดี :b28: ) แต่น้ำตายังไหลอยู่จนทุกวันนี้

แต่ที่กระผมจะรบกวนคือ....ทุกวันนี้กระผมเบื่อโลกมาก......มันเบื่อมันเซ็งไม่อยากพูดกับใคร...ไม่อยากทำอะไร...ไม่อยากเจอคน.....อยากตายแล้ว..อยากบวชไปเลย ...ไม่อยากมีชีวิตอยู่..อาการโรคซึมเศร้าแป๊ะ.......คิดถึงความตายตลอดเวลา...ว่าตายไปคงดี....ยิ่งวันก่อน พี่สาวลากไปดู 2012 ยิ่ง รู้สึกอยากให้เป็นจริงและเร็วๆ เพราะไม่อยากฆ่าตัวตาย แต่อยากตาย.....ตอนดูหนังก็สังเกตุ ตัวเองว่าไม่ได้รู้สึก ตกใจ..ดีใจ เศร้าจนร้องไห้ แบบ สุดกำลัง เหมือนคนอื่นๆ ที่ชมอยู่ ทั้งที่ปกติเมือก่อนเป็นคน sensitive ร้องไห้ได้แม้ดู วงเวียนชีวิต หรือ ดู โฆษณา ไทยประกันชีวิต :b2: แต่หลังๆ ไม่มีอารมย์สุดเลย อาจเพราะมีสติมากขึ้น หลังๆ ไม่ค่อยตกใจอะไรเลย ปัญหาก็คือผมไม่แน่ใจสภาวะที่เป็นอยู่ ผมเป็นโรคซึมเศร้า :b22: หรือเป็นเพราะสภาวะธรรม :b34: เพราะเคยอ่านมาว่าหาก วิปัสนาจนถึงสภาวะหนึ่งจะเบื่อสังขารเบื่อชีวิตคิดอยากตายตลอดเวลา กระผมก็เลยไม่แน่ใจ...ว่าเป็นอย่างไร หากเป็นโรคซึมเศร้าก็จะได้รักษาถูก. :b34: ....เพราะคราวที่แล้วพลาดไปรักษาตอนนอนไม่หลับ...ทำให้สิวบุก..หน้า...พังมาจนทุกวันนี้.. :b2: ......แต่หากเป็นสภาวะธรรมผมจะผ่านสภาวะนี้ไปได้อย่างไรครับ กระผมเบื่อสภาวะนี้มากๆ..ทำให้กระผมไม่มีพลังในการทำงานเลย เซ็ง และเบื่อไปทุกอย่าง....กระผมไม่อยากจิตหลุด อะครับ :b2:

ป.ล กระผมลองหยุด ทำสมาธิ อาทิตย์ หนึ่ง แล้ว ไม่ดีขึ้นแถมอาการหนักว่าเดิม เลยต้องมาสวดมนต์ ใหม่
:b8: ขอบคุณขอรับ

ทำไมคุณไม่คิดถึงหลักความจริง เวลาคัน มันก็ต้องมีสาเหตุ ถ้าคุณมัวแต่ คันหนอ คันหนอ มันจะรู้สาเหตุถึงการคันหรือขอรับ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณมัวแต่คิด คันหนอ คันหนอ มันจะหายคันหรือขอรับ ทำอย่างนั้น คิดอย่างนั้น มันเป็นเรื่องของคนเป็นโรคจิตประสาทขอรับ
ความเบื่อโลก คือ ถีนะ คือ ความหดหู่ และท้อแท้ใจ อันเป็นเครื่องกั้นขวางมิให้บรรลุถึงซึ่ง ความดี เพราะคุณได้รับการขัดเกลามาผิดๆ จึงเกิดความคิดอันเป็นเหตุทำให้เกิด ถีนะ คุณก็ต้องแก้ด้วยความคิด ให้เห็นว่าเป็นสิ่งธรรมดาของธรรมชาติ ก็แค่นั้นจบ
สิ่งที่เกิดกับคุณ เป็นสภาวะธรรม คือ เป็นเจตสิก คือ ความรู้ที่ประกอบอยู่ในจิตของคุณ แต่เป็นสภาวะธรรมในทางที่ไม่ดี คือ เป็นสภาวะธรรมที่เป็น อกุศล ในข้อ มิจฉาทิฏฐิ ,อภิชฌา และอื่นๆ
คุณก็แก้ไขด้วยการ ศึกษาเกี่ยวกับ กุศลธรรม ให้มากขึ้น อาทิตย์เดียวก็หายเป็นปลิดทิ้งขอรับ


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 20 พ.ย. 2009, 13:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2009, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอวบฯ พิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิต ๒ ขั้นตอนดังนี้



ตามปกติ ผู้เจริญปัญญาด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ จะพัฒนาความเข้าใจ ต่อโลกและชีวิต

ให้เข้มคมชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมกับมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิต เป็นขั้นตอนสำคัญ ๒ ขั้นตอน คือ


ขั้นตอนที่ ๑

เมื่อเกิดความรู้เท่าทันสังขาร มองเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่เป็นตัวตน

ชัดเจนขึ้นในระดับปานกลาง จะมีความรู้สึกทำนองเป็นปฏิกิริยาเกิดขึ้น คือรู้สึกในทางตรงข้าม

กับความรู้สึกที่เคยมีมาแต่เดิม

ก่อนนั้น เคยยึดติดหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้น มัวเมา เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งนั้น

คราวนี้ พอมองเห็นไตรลักษณ์เข้าแล้ว ความรู้สึกเปลี่ยนไป กลายเป็นรู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจ

อยากหนีไปเสียให้พ้น บางที ถึงกับรู้สึกเกลียดกลัว หรือ ขยะแขยง

นับว่าเป็นขั้นที่ความรู้สึกแรงกว่าความรู้

แม้ว่า จะเป็นขั้นตอนที่ปัญญายังไม่สมบูรณ์ และ ความรู้สึกยังเอนเอียง แต่ก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญ

หรือ บางทีถึงกับจำเป็น ในขณะที่จะถอนตนให้หลุดออกไปได้จากความหลงใหล ยึดติด ซึ่งเป็นภาวะที่มีพลัง

แรงมาก เพื่อจะสามารถก้าวต่อไปสู่ภาวะที่สมบูรณ์ ในขั้นตอนที่ ๒ ต่อไป

ในทางตรงข้าม ถ้าหยุดอยู่เพียงขั้นนี้ ผลเสียจากความรู้สึกที่เอนเอียงก็จะเกิดขึ้นได้



ขั้นตอนที่ ๒


เมื่อความรู้เท่าทันนั้น พัฒนาต่อไป จนกลายเป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริง

ปัญญาเจริญเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ เรียกว่า รู้เท่าทันธรรมดาอย่างแท้จริง

ความรู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจ และ อยากจะหนีให้พ้นไปเสียนั้น ก็จะหายไป

กลับรู้สึกเป็นกลาง ทั้งไม่หลงใหล ทั้งไม่หน่ายแสยง ไม่ติดใจ แต่ก็ไม่รังเกียจ

ไม่พัวพัน แต่ก็ไม่เหม็นเบื่อ

มีแต่ความรู้ชัดตามที่มันเป็น และความรู้สึกโปร่งโล่งเป็นอิสระ พร้อมด้วยท่าทีของการที่จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ

ไปตามความสมควรแก่เหตุผล และตามเหตุปัจจัย

พัฒนาการ ทางจิตปัญญาขั้นนี้ ในระบบการปฏิบัติของวิปัสสนา

ท่านเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ -(ญาณ อันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร)

เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็น ในการที่จะเข้าถึงความรู้ ประจักษ์แจ้งสัจจะและความเป็นอิสระ

ของจิตโดยสมบูรณ์


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


ตัวอย่างลิงค์นี้ เป็นแนวทางการปฏิบัติกรรมฐาน (แก้อารมณ์)ได้เลย

viewtopic.php?f=2&t=25475&p=157580#p157580


สรุปสั้นๆตรงนี้ ก็คือ

...รู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไร กำหนดรู้ไปตามนั้นอย่างนั้นทุกๆขณะ ทุกๆกรณี

สภาวธรรม ก็คือสภาวะของจิตที่เป็นอย่างนั้นๆนั่นเอง จิตก็คือธรรมชาติ สภาวะหรือสภาวธรรมก็คือธรรมะ

หรือธรรมชาติ เมื่อเป็นมันอย่างนั้น ก็ต้องกำหนด (ปฏิบ้ติ) อย่างนั้นๆ ตามเป็นจริง ตามที่มันเป็น

มิใชวิพากษ์สภาวธรรม หรือวิพากษ์ธรรมชาติ โดยจะให้เป็นไปตามต้องการของเรา ด้วยตัณหาอุปาทาน


เน้นอีกว่า เป็นอย่างไรกำหนดอย่างนั้น รู้สึกอย่างไรกำหนดอย่างนั้น แล้วจะผ่านจุดนั้นๆไปได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 พ.ย. 2009, 19:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2009, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็เกิดสภาวะใหม่ คือ คัน :b6: .....มากถึงมากที่สุด.โดยเฉพาะ เท้า.....ตอนนั้งสมาธิ.....ก็คันหนอๆๆๆ.....แรกๆ มีแอบเกา :b9: .....หลังๆ ทนเอา จนหายไปเอง.......แต่ผลที่ตามมา คือ.....เท้าลอก :b14: ....จะว่าเป็นฮ่องกง ฟุต ก็ไม่น่าใช่เพราะ ไม่เคยเดินลุยน้ำที่ไหน...ทำงานก็ใส่ถุงเท้า แล้วลากรองเท้าเตะตลอด :b15: ......เท้าลอก เป็น แผ่น ๆ....ลอกจนเลือดออก...แต่ก็ยังเดินจงกลม แต่เดินจงกลมจะมีความรู้สึกว่าเท้าหนักมาก :b7: ..และเท้าขยายๆๆ...ก็หนักหนอๆๆๆ.......เดินลากเท้าจงกลมกันไป.......ก็ทนๆทำไป :b3: ...อยากลอกก็ลอก อยากหนัก ก็หนัก.....นั่งสมาธิทุกครั้ง น้ำตาไหล 2-3 หยด...อยากไหลก็ไหล......จนเท้าหายลอก( ตอนนี้ เท้าขาวอมชมพู ดูมีสุขภาพดี :b28: ) แต่น้ำตายังไหลอยู่จนทุกวันนี้


คันหนอ คันหนอ ดีแล้วค่ะ แต่ถ้าคันมากๆ ก็ควรหยุด เพราะสมาธิไม่มีแล้ว จิตไม่ได้อยู่ที่เดียว มันอยู่ที่คัน มดหรือเปล่าวะ เจ็บว่ัะ เมื่อไหร่จะคบสิบห้านาทีวะ อะไรประมาณนั้น จิตไม่ได้อยู่ที่ที่เดียวแล้ว หยุดจะดีกว่าค่ะ

อ้างคำพูด:
แต่ ที่กระผมจะรบกวนคือ....ทุกวันนี้กระผมเบื่อโลกมาก......มันเบื่อมันเซ็งไม่ อยากพูดกับใคร...ไม่อยากทำอะไร...ไม่อยากเจอคน.....อยากตายแล้ว..อยากบวชไป เลย ...ไม่อยากมีชีวิตอยู่..อาการโรคซึมเศร้าแป๊ะ.......คิดถึงความตายตลอดเวลา ...ว่าตายไปคงดี....


ซึมเศร้าค่ะ หรือไม่ก็ คุณแกล้งเศร้า หรือ คิดไปเองว่าเศร้าค่ะ

อ้างคำพูด:
ยิ่งวันก่อน พี่สาวลากไปดู 2012 ยิ่ง รู้สึกอยากให้เป็นจริงและเร็วๆ เพราะไม่อยากฆ่าตัวตาย แต่อยากตาย.....ตอนดูหนังก็สังเกตุ ตัวเองว่าไม่ได้รู้สึก ตกใจ..ดีใจ เศร้าจนร้องไห้ แบบ สุดกำลัง เหมือนคนอื่นๆ ที่ชมอยู่ ทั้งที่ปกติเมือก่อนเป็นคน sensitive ร้องไห้ได้แม้ดู วงเวียนชีวิต หรือ ดู โฆษณา ไทยประกันชีวิต :b2: แต่หลังๆ ไม่มีอารมย์สุดเลย อาจเพราะมีสติมากขึ้น หลังๆ ไม่ค่อยตกใจอะไรเลย


ชินค่ะ คาดการณ์ได้ก่อน และหนังมันไม่มีฉากสะเทือนอารมณ์ค่ะ

อ้างคำพูด:
ปัญหาก็คือผมไม่แน่ใจสภาวะที่เป็นอยู่ ผมเป็นโรคซึมเศร้า :b22: หรือเป็นเพราะสภาวะธรรม :b34: เพราะเคยอ่านมาว่าหาก วิปัสนาจนถึงสภาวะหนึ่งจะเบื่อสังขารเบื่อชีวิตคิดอยากตายตลอดเวลา กระผมก็เลยไม่แน่ใจ...ว่าเป็นอย่างไร หากเป็นโรคซึมเศร้าก็จะได้รักษาถูก. :b34: ....เพราะคราวที่แล้วพลาดไปรักษาตอนนอนไม่หลับ...ทำให้สิวบุก..หน้า...พังมาจนทุกวันนี้.. :b2: ......แต่หากเป็นสภาวะธรรมผมจะผ่านสภาวะนี้ไปได้อย่างไรครับ กระผมเบื่อสภาวะนี้มากๆ..ทำให้กระผมไม่มีพลังในการทำงานเลย เซ็ง และเบื่อไปทุกอย่าง....กระผมไม่อยากจิตหลุด อะครับ


ไม่ใช่สภาวะธรรมค่ะ แต่เป็นสภาวะสงสัยและอยากเข้าถึงสภาวะธรรม สภาวะธรรมที่แท้จะเป็นการเข้าใจค่ะ เข้าใจชีวิตลึกลง เข้าใจธรรมแตกฉานมากขึ้น รู้ว่าทำไมถึงลึกซึ้ง ธรรมไม่มีคำตอบที่ดิ้นได้ มีเพียงคำตอบแบบเดียวที่ยืดหยุ่นได้ นี่แหละค่ะ ความลึกซึ้งของธรรม ที่โสดาบันขึ้นไปเท่านั้นที่จะเข้าใจได้

การรู้และเข้าใจธรรม ต้องรักชีวิตค่ะ แต่ต้องไม่เสียดายชีวิต รู้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องรัก ทำไมถึงไม่เสียดายน่ะค่ะ

พยายามนะคะ ฝึกสมาธิ ฝึกแบบพอดีค่ะ อย่าเข้มข้น การฝึกสมาธิที่เข้มข้น ยิ่งไม่ทำให้ได้ธรรมค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2012, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue

...ขอเสนอแนะให้พิจารณาลงในกาย...เวทนา...จิต...ธรรม...จนทำให้ธรรมเป็นจิต...จิตเป็นธรรม... :b1:
:b42: :b42: :b42:
...ให้พลิกกลับเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส...ไม่ใช่ไขว่คว้าหาอากาศ...อยากในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์...
...ให้พิจารณาค้นคว้าลงที่จิต...ค้นหาต้นเหตุว่าอยากน่ะคืออะไร...ไม่อยากน่ะคืออะไร...ใจเรายึดติด
...จึงมองไม่ออกว่า...จิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของ...อย่าไปตามใจมัน...พิจารณากาย-จิต
...ณ ปัจจุบันขณะ...ให้ออกทางวิปัสสนากรรมฐานให้จิตระลึกรู้...อารมณ์ขณะนั้นอันไหนเป็นของเรา
:b23: :b23: :b23:
...ตอนนี้ยังมีลมหายใจ...ถ้ากิเลสยังมีอยู่ตายลงไปตอนนี้...จิตออกจากร่างนี้เข้าร่างใหม่ก็เรียกว่าเกิด
...จิตที่สลดหดหู่มีกิเลสเต็มหัวใจ...จะได้ไปสู่ทุคติภูมิ...อย่าหลงไปตามกิเลส...ความอยากได้...
...ความอยากมี...ความอยากเป็นมันคือกิเลสที่เป็นภวตัณหา...ส่วนวิภวตัณหาคือความไม่อยากก็กิเลส
...กิเลสมีทั้งหยาบ...กลาง...ละเอียด...อย่าปล่อยให้จิตว่างเพราะยิ่งเพิ่มทุกข์ทับถมทวีคูณ...

:b4: :b4:
...ต้องหางานให้จิตทำ...การฆ่ากิเลสต้องใช้ธรรมขั้นละเอียดและอาศัยปัญญาที่ละเอียดลึกลงไป...
...ขณะนี้ท่านจงพิจารณาว่า...ในร่างกายมันมีอันไหนเป็นตัวเรา...ของเรา...ตับ...ไต...ไส้...พุง...
...เขาเดือดร้อนกับเราไหม...จิตเราต่างหากที่ไปยินดียินร้ายกับเขาเอง...แล้วก็ปรุงแต่งอารมณ์ขึ้น...
...ถ้าเราฆ่าตัวตายจิตเราวางความเจ็บปวดได้หรือยัง...พระอรหันต์จิตท่านไม่ยึดติด...อยู่ไหนก็สบาย

:b8:
...เรามันยังยึดติดอยู่ไม่พ้นต้องเกิด...จิตนั่นแหละที่เดือดร้อน...ร่างกายพอตายลงเขาก็เอาไปเผาไฟ...
...คนที่เขาแค่มองหน้าก็ว่าหาเรื่องเพราะจิตต่างหากคะนอง...จะเอามีด...เอาปืน...ไปฆ่าแกลงกัน...
...พอตายลงไป...จิตออกจากบ้านหลังเดิมก็ไปหาบ้านใหม่แล้ว...มันไม่ไปตามหวังสิ...ไปตามกรรม...
...ร่างที่ตายลงพอเขาเอาไปเผาไม่เห็นมันลุกมาบอกว่าอย่าเผานะ...จะกลับมาเกิดในร่างเก่าอีกนะ...
:b9:

...ท่านได้มองให้ทะลุปรุโปร่งในกายตัวเองหรือยัง...ที่พระพุทธเจ้าว่าร่างกายเป็นของไม่สะอาด...
...สวดบทกายาคตาสติบ่อยๆแล้วคิดค้นพิจารณาลงในกายตัวเอง...ว่าผมขนเล็บฟันหนังที่เราเห็น...
...มันเป็นเราไหม...พิจารณาดีๆจิตเราต่างหากไปเล็งเห็นว่า...สวยงาม...สะอาด...สั้นยาว...ร้อนหนาว
...เกสา..โลมา...นะขา...ทันตา...ตะโจ...ตะโจ...ทันตา...นะขา...โลมา...เกสา...ค้นลงไป...
:b31:

...อันไหนสวย...อันไหนงาม...อันไหนสะอาด...น่าหลงใหลใฝ่ฝัน...เวลาเส้นผมอยู่บนหัวทำไมไม่ว่า
...พอตกลงในอาหารทำไมว่าสกปรก...ผมและขนเวลาตกลงที่พื้นทำไมว่าสกปรกต้องทำสะอาด
...ผิวหนังสะอาดไหม...ลองไม่อาบน้ำ5วันอยู่ได้ไหม...เอาให้จิตมันลดกำหนัดยินดีในกาย...
...เอาให้ใจละวางไม่ทุกข์-สุขไปตามกิเลสก่อกวน...ท่านทุกข์ใจเบื่อไปหมด...มันเบื่ออะไร...

:b7:
...ถ้ามันทุกข์มากๆ...ทำแบบนี้ก็ได้...กำหนดเลยว่า...ยืน-เดิน-นั่ง-นอนอยู่นี่คือกาย...
...สุข-ทุกข์คือเวทนา...ความรู้สึกนึกคิดคือจิต...สิ่งที่กำหนดรู้คือสติ...กิเลสที่เกิดคือ...
...อกุศลธรรมและนิวรณ์ธรรม...สิ่งที่พิจารณาเห็นอยู่นี้คือปัญญา...ตัวเราของเราไม่มี...
...ท่องในใจตลอดเวลาเลยนะเจ้าคะ...ไม่ว่าอยู่อิริยาบทไหน...ลองทำดู...จะดีขึ้นไหม...

:b8: :b8: :b8:


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร