วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


24 ตค.ถ53


walai lo สภาวะเขาให้พี่เรียนรู้ทุกๆเรื่องนะ

Love อืมม อย่างไรล่ะครับ ช่วยเสริมหน่อย

walai lo พี่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น คือชัดขึ้นเรื่อยๆ มันละเอียดขึ้นเรื่อยๆน่ะ

Love ตั้งแต่ตอนไหน เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่

walai lo ตอบไม่ได้หรอกค่ะ ไม่เคยจำ พี่เป็นคนไม่ค่อยจำอะไรมาก

Love ประมาณว่า เจอแล้วทิ้ง เจอแล้วทิ้ง

walai lo แบบนั้นแหละ พอเข้าใจ มันก้ไม่สนใจ

Love รู้เอาไว้ว่า มันมีแค่นี้เองสินะ

walai lo เหมือนสอบเสร็จแล้วสอบตัวอื่นต่อ

Love อืมม แต่ไม่รู้ว่าข้อสอบมันหมดตรงไหนนะสิ

walai lo ไม่คาดเดาค่ะ ทำต่อไป มีแค่นั้น

Love อืมมนะ หน้าที่คือแค่นั้น

walai lo ทำตามสภาวะ ตามความเป็นจริงแล้วสบาย

Love ครับ คงเป็นแบบนั้นนะ

walai lo แค่รู้ แค่ดู ไม่ต้องอ้าปาก

Love ไม่ต้องไปคอยห่วง คอยพะวงอะไร

walai lo ใช่ค่ะ

Love อืมมนะ นั่นสินะ อ้าปากเมื่อไหร่แล้ว มีแต่คนมาชมล่ะสินะ

walai lo เกิดอะไรแค่รู้ไป ดูไป ไม่งั้นทุกข์ไม่รู้จบ

Love อืมม ทุกข์แบบต่อเนื่อง

walai lo กิเลสทั้งนั้นแหละ

Love ทุกข์ไม่มีวันหมด หมดทุกข์เมื่อใด หมดสุขด้วยมั้ย

walai lo ค่ะ ทุกอย่างเพียงแค่เราอุปทานไปเอง เกิดจากความให้ค่าเอง
จริงๆแล้วมันไม่มีทั้งสุขและทุกข์ ที่มีเพราะเราเกิดความรู้สึก จากการกระทบ
แล้วให้ค่ากันเอง ตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆ

Love มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นนะสิ

walai lo ถ้าตัดวงจรนี้ไปได้ จิตย่อมมุ่งไปแต่ข้างหน้า เพราะเหตุน้อยลงไปเรื่อยๆ

Love เรียกวงจรอุบาทว์ได้มั้ยเนี่ย

walai lo ค่ะ

Love อืมมนะ เหมือนวงจรไฟฟ้าเลยนะ ปิดสวิทซ์ปุ๊บ ดับหมดเลย

walai lo สภาวะเขาสอน

Love สอนอะไรเหรอ

walai lo รู้แล้ว ต่างกับยังไม่รู้ แค่คาดเดา

Love อ๋อ ๆ ครับ พอรุ้แล้ว รู้เลยนะ

walai lo ทางโลกกับทางธรรมต่างเอื้อซึ่งกันและกันเห็นป่ะ
สภาวะเขาสอนตลอด จงอย่าคิดว่าตัวเองรู้

Love อืมมนะ อันนี้จริงนะ ต่างคน ต่างรุ้นะ

walai lo ค่ะ รู้จริง ย่อมชี้แจงได้ ไม่กดข่มอีกฝ่าย และรับฟังอีกฝ่าย

Love สุดท้ายแล้วรุ้ไหน คือรู้ที่แท้จริงนั้น

Love ผู้นั้นต้องรู้ด้วยตนเองนะ

walai lo ไม่อวดอ้างคุยโตว่ากูรู้นะเฟ๊ยยย เดี๋ยวจะเจอ กูก็รู้เหมือนกันเฟ๊ยยย เป็นเรื่องเลยทีนี้
อะไรที่เราไม่รู้หรือรู้ไม่ชัดก็ยอมรับไป ไม่ก็รับฟังสิ่งที่คนอื่นๆเขาบอกว่า เขานั้นรู้
รู้จริงๆต้องไม่อวดอ้าง มันจะเป็นธรรมชาติ

Love ต่างคน ต่างไม่ยอมกันล่ะสิยุ่งเข้าไปอีกนะนั่น

walai lo ค่ะ กิเลสทั้งนั้น

Love แต่ว่าต้องชี้่แจงได้สินะ

walai lo ใช่ค่ะ ชี้แจง แยกแยะ รับฟัง

Love กับสภาวะที่เหมาะสมด้วยนะ

walai lo ค่ะ เลือกได้ค่ะ เหตุ นี่แหละ ชีวิตที่เลือกได้

Love สามารถเลือกสร้างเหตุเองได้ด้วยนะ

walai lo ค่ะ ทำให้รู้จักเลือกดำเนินชีวิต ไม่ต้องชาติหน้าหรอก ชาตินี้แหละ
จะใช่หรือไม่ใช่ให้ดูการกระทำ

Love อืมมมนะ ต้องดูที่การกระทำและผลที่เกิดขึ้นด้วยนะ

walai lo ถ้ายังมีคำว่า ต้องแบบนี้ๆเท่านั้น นั่นคือการยึดติดในสิ่งที่คิดว่ารู้ ธรรมะน่ะ หมุนได้รอบ

Love สิ่งที่ควรทำคือ ยอมรับนะครับ
หากยอมรับทุก ๆ อย่างที่มากระทบได้แล้ว ย่อมเข้าใจอะไรได้ดี

walai lo ค่ะ พี่อาจจะซื้อเน็ตบุ๊คนะ พี่อาจจะซื้อแบบพกพาเล็กๆ
เอาไว้สำหรับบันทึกข้อความ ง่ายกว่าเขียนใส่สมุด อีกหน่อยสมุดพี่คงเลิกใช้

Love ไม่รอเอาอันใหม่ของ apple เหรอ

walai lo ไม่อ่ะ แพงง จอก็เล็ก

Love อืมมครับ ดีครับ แต่ว่าต้องใช้ให้เป็นและรุ้จักวิธีการ backup ด้วยนะครับ

walai lo นั่นต้องคงรบกวนคุณ

Love พี่หมายถึง มือถือ หรือว่าตัวไหน

walai lo หมายถึงมือถือ

Love อ๋อผมหมายถึงเครื่องที่เขากำลังจะออกมาใหม่นะ

walai lo พี่เมียงๆมองๆหลายครั้งแล้วที่ห้าง รอให้มันลดสุดๆก่อน

Love Fo ipad นะ ไม่ใช่ iphone นะ ตอนนี้ยังไม่เข้ามานะ

walai lo ค่ะ พี่ไม่ใช้เล่นเน็ต

Love อืมม แล้วแต่พี่จะใช้นะสิ เลือกได้อ่ะนะ

walai lo แค่เอาไว้บันทึกข้อมูลแล้วมาถ่ายโอนลงบล็อกอีกที

Love อืมมครับ นั่นแหล่ะที่น่าห่วงนะ หากวันไหนบันทึกแล้ว เครื่องดันมีปัญหานะ
ข้อมูลหายหมดเลย

walai lo ใช้แบบโน๊ตไงคะ

Love หากเมื่อไหร่ เครื่องโน๊ต ดันมีปัญหาเรื่องของ Harddisk นะ
มันไม่ได้เซฟ ข้อมูลหายเกลี่ยงเลยนะ ไฟดับ

walai lo โอยย บ้านพี่ยิ่งเป็นบ่อย ไฟไม่สม่ำเสมอ

Love ผมถึงบอกว่าพี่ควรจะมีวิธีการ backup เอาไว้ด้วยนะ

walai lo ทำไงหรือคะ

Love คือเวลาที่พี่พิมพ์เก็บเป็นไฟล์เอาไว้แล้วนะ พี่ต้องหาซื้อThumbdrive ซักตัวนะ
ตัวประมาณไม่เกิน 500 บาทนะ ผมไม่แน่ใจตามท้องตลาด ณ ตอนนี้นะว่า เท่าไหร่นะ
นี่เดี๋ยวหารูปให้ดูเป็นตัวอย่างนะ
เอาแค่เล็ก ๆ พอ เพราะว่าไฟล์ที่พี่พิมพ์หน่ะมันไม่ใหญ่มาก ๆ นะ

walai lo ค่ะ แค่เล็กๆ

Love นั่นแหล่ะครับ ผมว่าแค่ที่ส่งไปให้ดู คงเพียงพอแล้วล่ะ
เพราะว่าพี่มีการ update ข้อมูลลงในบล็อกบ่อย ๆ อยู่แล้วนะ

walai lo ถ้าแบบนี้เคยเห็น ไม่กี่ร้อย

Love ใช่ครับ ราคาไม่กี่ร้อยเองนะ อย่างน้อยก้อช่วยเซฟไฟล์ได้ระดับนึงแล้ว
ดีกว่าที่ข้อมูลที่บันทึกเอาไว้นะหายไปหมดนะ

walai lo ยุ่งยากจัง เสียตังอีก งั้น ลงสมุดแบบเดิม ง่ายดี เสียแค่ค่าปากกา ต้องพอเพียงค่ะ

Love อ่ะนะ ไม่ยุ่งยากมากหรอกครับ ธรรมะยุคไอที ก้อต้องหน่อยนะ
ถ้าได้ทำแค่คร้ั้ง สองครั้ง เดี๋ยวมันจะเข้าที่เข้าทางเอง

walai lo อะไรที่ขึ้นชื่อว่าเบียดเบียนไม่เอา

Love Forum เบียดเบียนใครล่ะครับ

walai lo เบียดเบียนตังตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องไปเสียตัง

Love อืมมนะ แบบนี้พี่ต้องให้เกิดความคิดขึ้นบ่อย ๆ นะ

walai lo ทำไมหรือคะ

Love แล้วเดี๋ยวเขาจะมาหาเองนะ

walai lo คิดว่าคุณจะบอกว่าเดี๋ยวมีคนซื้อให้เองแหละ
พี่เฉยๆนะ แรกๆกระตือรือล้น เหมือนเจอของเล่นใหม่ๆ
พอเห็นความยุ่งยาก ความเห่อเลยหาย ความเสียดายตังมีมากกว่า

Love คิดว่ายุ่งยาก เพราะว่าไม่เคยไงครับ เมื่อคุ้นเคยแล้ว ความยุ่งยากยิ่งน้อยลง
เหมือนกับการปฏิบัตินี่แหล่ะครับ คนที่ไม่เคย แรก ๆ ก้อบอกว่ายากจังไม่เข้าใจอะไรเลย

walai lo อื่มมม พี่มองที่เหตุนะคะ เหตุบางอย่าง
เมื่อมีทางเลือกที่สะดวกกว่า เลือกทางนั้นค่ะ
ส่วนทางเลือกที่ต้องเสียตังโดยใช่เหตุ อันนั้นไม่เลือกค่ะ

ตัง ถ้ารู้จักใช้ เราเป็นนายมันนะคะ ถ้าไม่รู้จักใช้ มันเป็นนายเรา หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ
พี่มีขอบเขตในตัวเอง จะดูความจำเป็นที่มากที่สุด

Love อืมม ดีครับ เป็นคนที่ประมาณตนเองได้ครับ
พอเพียง ต่อสิ่งที่เพียงพอ ต่อตนเองครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


27ตค.53

หนูได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วเกิดบางสิ่งขึ้นกับหนูขอเล่าให้พี่น้ำ
ในฐานะที่พี่น้ำเป็นครูของหนู ดังนี้

หายสงสัยในทุกเรื่องที่เคยสงสัย

ความทรงจำบางอย่างในอดีตชาติโดนรื้อฟื้น ย้อนหลังไปประมาณ 3 ชาติ

หนูรู้เหตุการณ์บางอย่างล่วงหน้า

สื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในอีกภพหนึ่งได้ในบางช่วงขณะจิตที่อยู่ในสมาธิลึกๆ
(ในหลวงรัชการที่ 5 และ เปรตมาขอส่วนบุญ)

หนูค้นพบทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับศาสตร์ที่หนูเรียนและกำลังศึกษา สิ่งนี้หนูเคยพิสูจน์ค้างไว้ก่อนตาย
เมื่อชาติที่แล้ว และหนูเพิ่งได้ข้อสรุปหลังจากเกิดสภาวะนี้ขึ้นคะ

หนูกำลังจะเผยแพร่สิ่งที่หนูค้นพบนี้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบเพื่อแก้ไขสิ่งผิด ที่หนูเคยทำค้างไว้
และเพื่อขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรที่หนูเคยไปล่วงเกินเขา
หนูให้อโหสิกรรมกับทุกคนที่เคยล่วงเกินหนู

สมาธิหนูมากเกินกว่าสติ หนูพยายามเดินจงกรมเพื่อปรับความสมดุลย์
หนูตื่นมาเดินจงกรมและนั่งสมาธิตอนตี 5 ทุกวัน

คนใกล้ตัวคิดว่าหนูบ้า ช่วงแรกๆ ที่ไม่ได้ฝึกสติ หนูเกือบโดนพาไปโรงพยาบาลบ้า
เพราะหนูพูดในเรื่องที่หนูเจอแต่คนอื่นเขาไม่เข้าใจที่หนูพูด

ตอนนี้สติหนูมากขึ้น พวกเขาไม่พาหนูไปโรงพยาบาลบ้าแล้วคะ
หนูสื่อสารกับเขารู้เรื่องและมีคนเข้าใจในสิ่งที่หนูพบแล้ว
ขอคำแนะนำจากพี่น้ำด้วยคะ




คนนี้มีพื้นฐานด้านสมถะแน่น เรียกว่ามีของเก่าติดตัวมาเยอะ
แต่ไม่รู้จักวิธีที่จะดึงของเก่าที่มีอยู่ออกมาใช้

เขาได้พยายามหาครูบาฯที่จะช่วยเขาได้
แต่ไม่มีใครสามารถแนะนำให้กับเขาได้ เนื่องจากรูปแบบต่างๆที่แนะนำให้เขาทำนั้น
เขาได้ลองทำแล้ว ยิ่งทำสมาธิยิ่งมาก เขาไปต่อไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เลิกค้นหาคนที่จะแนะนำให้กับเขา
เพื่อเขาจะได้หายสงสัยในสิ่งที่เขาได้พบเจอมาตลอดเวลา คนนี้จะมีนิมิตเยอะมากๆ
นิมิตที่เขาเจอทั้งหมดเป็นนิมิตของเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต แล้วก็เป็นจริงดังที่เขาได้นิมิตเห็น

รู้จักกับเขาที่ห้องสนทนาลานธรรมจักร น่าจะหลายปีแล้ว
แต่ตอนนั้นไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก เพิ่งมาประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา
เขาได้ติดตามอ่านบล็อกที่เราได้บันทึกมาตลอด สุดท้ายเขาได้มาขอคำแนะนำ

ได้แนะนำการปรับอินทรีย์ การเจริญสติให้กับเขา
ส่วนรูปแบบในการทำนั้น เขาทำตามสภาวะของตัวเขาเอง เรียกว่าตามสะดวก
ไม่มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตายตัว เรียกว่าทำตามสภาวะของตัวเขาเอง ทำเท่าที่มีเวลาทำได้

กลางวันทำงานเป็นอาจารย์สอนที่มหาลัยแห่งหนึ่ง
ตอนเย็นเปิดร้านขายยากับเพื่อนๆ

ใครที่บอกว่าตัวเองไม่มีเวลาปฏิบัตินั้น
เพียงจะบอกว่า ทุกคนน่ะมีเวลาเท่ากันทุกๆคน
เพียงแต่เหตุของแต่ละคนแตกต่างกันไป สภาวะที่เกิดขึ้นของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป

เมื่อถึงเวลา ถึงวาระ ทุกคนจะได้ปฏิบัติเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ล้วนเป็นไปตามเหตุของแต่ละคนทำมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


4 พย.53


ขอบคุณมากเลยค่ะพี่น้ำ หนูเพิ่งเห็นกระทู้ที่พี่น้ำตอบน่ะค่ะ

คำว่า " การภาวนาหนูถดถอยลงเรื่อยๆ " หมายความว่า

1.เดือนตุลาคม 2552 มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 2 ครั้ง

1.1 หนูได้ไปเข้าค่ายที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
1.2 หนูได้ไปเข้าค่ายวิปัสสนาที่วัดป่า แห่งหนึ่ง จัดโดยมหาวิทยาลัย ซึ่งจะต้องไปทุกคน

เหตุการณ์ในข้อ1.1 ส่งผลบางประการซึ่งไม่สามารถบอกพี่น้ำได้ค่ะ แต่ทำให้หนูติดขัดในการภาวนา

เหตุการณ์ในข้อ1.2 ส่งผลให้ศรัทธาคลอนแคลนบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากเจ้าอาวาส
ทางวัดป่านั้น ได้เทศน์ประมาณว่า หนูยังสับสนเรื่องของการดูสังขารกับการดูจิต ซึ่งตอนนี้
เป็นวิธีการดูที่ผิด และกำลังไล่ตามเงาของจิต การฝึกวิธีนี้ไม่ถูกต้อง
อาจทำให้เป็นโรคหวาดระแวง กลัวคนมาฆ่าได้ -_-"

2.หนูกำลังเรียน คณะเภสัชศาสตร์

2.1การเรียนในคณะนี้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆค่ะ T__T วันจันทร์ถึงศุกร์เรียน 8.30-15.40
แทบทุกวันเลยค่ะซึ่งส่วนใหญ่จะเกินเพราะทำแลป

ในเทอมนี้เช่นกันค่ะ มีคาบว่างเพียงพุธเช้า1คาบ และวันศุกร์คาบ3-4 T__T หลังจากเลิกเรียน
ก็ต้องมานั่งแกะเทปและอ่านชีทที่อาจารย์สอนทุกวันเลย ไม่งั้นจะอ่านหนังสือไม่ทันตอนสอบ ค่ะ

เหตุกาารณ์ในข้อ 2.1 จริงไม่อยากให้เป็นข้ออ้างในการภาวนา แต่มันเป็นเรื่องจริง เวลาเราเรียน
เราเจริญสติไม่ได้เลย หลังเลิกเรียนต้องมาอ่านทบทวน เวลาที่เหลือก็รู้กายได้ยากมากเพราะสมองมันล้า
แต่สาเหตุที่แท้จริงคือเราไม่มั่นใจวิธีการภาวนาของเราเอง เลยไม่กล้าที่จะทำต่อมากกว่า



3.ตอนแรกหนูตั้งใจจะหา spaceเก่าของหนูเพื่อจะหาภาพสมัยมัธยม -_-"
ค้นคำว่า cctalin + space แต่spaceคงโดนลบไปแล้วเพราะไม่ได้เล่นนาน
กลับเจอกระทู้ของพี่น้ำแทน เลยกะว่าจะตามไปอ่าน บันทึกการภาวนา
แต่multiplyโดนลบอีกเหมือนกันT__Tไม่ได้เล่นนาน

ในกระทู้นั้นต้องขอบคุณพี่น้ำมากๆ เพราะการที่ได้กลับไปอ่านผลการภาวนาของตัวเอง
ตอนที่สอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย

>>>เป็นสิ่งที่ประทับใจว่า ครั้งๆหนึ่งที่เราเจอวิกฤตที่บีบเค้นเรามากๆ
แต่การเห็นสภาวะธรรมที่ดับลงต่อหน้าต่อตา มันเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ
เราได้เห็นมันพร้อมกัน สภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นได้แล้วมันก็ดับลงได้
หากใจเราเป็นกลางเราก็ดูทันว่าสภาวะธรรมนั้นมันไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูอยู่
ใจเราเป็นเพียงผู้รับรู้ แต่ใจเราก็ไม่สามารถอยู่คงที่ถาวรดับลงได้เหมือนกัน แล้วเกิดผู้รู้ใหม่ขึ้น

มันทำให้หนูเห็นความสำคัญของการภาวนา เห็นความสำคัญว่าหากเราไม่รีบเร่งภาวนา
ยังคงต้องทุกข์ต่อไป

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ผ่านมา เริ่มคิดได้ว่าถ้าเราไม่มั่นใจในการภาวนาอย่างน้อยๆ
สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือ การทำศีลให้บริสุทธิ์และทำสมถะไปก่อนและเมื่อไม่กี่อาทิตย์นี้นี่เอง
หนูก็ได้พบว่า การทำศีลให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ประเสริฐมากๆ เพราะ

3.1 เมื่อเรารักษาศีล ภายหลังการกระทำนั้นๆมันจะไม่มาทำให้เราเดือดร้อน
สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข

3.2 เหตุคือศีล ผลคือความสุขใจ เกิดเป็นจิตกุศล ความศรัทธาจึงตามมา

3.3 การถือศีล เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมในการเจริญสติ เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ได้ตั้งใจถือศีล
พอศรัทธาหย่อนก็ไม่ยอมภาวนา มันก็เลยเหมือนคนภาวนาไม่เป็นมาก่อน
พอมาเน้นเรื่องศีลเพียงไม่นานก็สามารถกลับมาเจริญสติได้บ้างแล้วค่ะ

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของข้อ3 มันเป็นช่วงปิดเทอมค่ะ หนูเลยไม่มั่นใจว่า
หากเปิดเทอมจะสามารถตามรู้กายรู้ใจได้บ่อยแค่ไหน ตอนนี้คิดไว้แค่ว่า เอาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุด
มันก็ตามรู้กายรู้ใจได้มากแล้วทีเดียว ส่วนสมถะที่พอมีเวลาทำก็คือสวดมนต์เช้าและเย็นค่ะ
(เริ่มกลับมาภาวนาได้ค่ะ)


อยากให้พี่น้ำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ เพราะหนูก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องทำอะไรต่อ เหมือนตัวเองตอนนี้
เป็นคนที่เริ่มดูจิตใหม่หมดเลยทิ้งการภาวนาไปนานมาก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



บล็อกของพี่น้ำค่ะ

http://walailoo2010.wordpress.com/

บล็อกของพี่น้ำถ้ามาหาไม่เจอ ให้มองทางซ้ายมือนะคะ ตรงใต้ชื่อพี่น้ำน่ะค่ะ
พี่ได้แอดชื่อเมลล์ของน้องเรียบร้อยแล้วนะคะ

เดี๋ยวมาตอบคำถามให้ค่ะ ไม่ต้องวิตกกังวลใดๆนะคะ
เรื่องที่น้องเล่ามานั้น เป็นเรื่องปกติที่ผู้ที่ปฏิบัติจะต้องเจอกันค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่ตัวเราสร้างหรือได้ทำขึ้นมาเองทั้งสิ้น
เพียงแต่ เมื่อเรายังไม่รู้ เราจึงหลงเพ่งโทษคือกล่าวโทษคนอื่นๆ หรือกล่าวโทษนอกตัว เหตุจึงไม่จบ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2010, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
1.2 หนูได้ไปเข้าค่ายวิปัสสนาที่วัดป่า แห่งหนึ่ง จัดโดยมหาวิทยาลัย ซึ่งจะต้องไปทุกคน
เหตุการณ์ในข้อ1.2 ส่งผลให้ศรัทธาคลอนแคลนบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากเจ้าอาวาส
ทางวัดป่านั้น ได้เทศน์ประมาณว่า หนูยังสับสนเรื่องของการดูสังขารกับการดูจิต ซึ่งตอนนี้
เป็นวิธีการดูที่ผิด และกำลังไล่ตามเงาของจิต การฝึกวิธีนี้ไม่ถูกต้อง
อาจทำให้เป็นโรคหวาดระแวง กลัวคนมาฆ่าได้




คำว่า ดูสังขาร คือ ดูการปรุงแต่งของจิต ยามที่เกิดผัสสะหรือเกิดการกระทบ
คือ อายตนะภายในและภายนอกเกิดการกระทบ เมื่อสติ ไม่ทัน ย่อมทำให้เกิดการปรุงแต่ง
ส่วนจะปรุงแต่งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังของ สติ สัมปชัญญะที่มีอยู่ในขณะนั้นๆ
และถ้าหากยังมีความไม่รู้อยู่ ย่อมเป็นไปตามเหตุที่ทำมาและหลงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น

เพียงจะบอกว่า มันเป็นเพียงการให้ค่าในเรื่องของถูกผิด คือ ผิดจากรูปแบบที่สำนักนั้นๆใช้อยู่
ซึ่งตามความเป็นจริงของตัวสภาวะของผู้ปฏิบัติเองแล้ว การปฏิบัติทุกๆแนว ไม่ว่าจะรูปแบบไหนๆก็ตาม
ไม่มีอะไรถูกหรือผิด แต่ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำกันขึ้นมาเองทั้งสิ้น สภาวะจึงเป็นไปตามนั้น



อ้างคำพูด:
เวลาเราเรียน เราเจริญสติไม่ได้เลย หลังเลิกเรียนต้องมาอ่านทบทวน
เวลาที่เหลือก็รู้กายได้ยากมากเพราะสมองมันล้า แต่สาเหตุที่แท้จริงคือ
เราไม่มั่นใจวิธีการภาวนาของเราเอง เลยไม่กล้าที่จะทำต่อมากกว่า




อนุโมทนาค่ะ ดีแล้วที่พูดตามความเป็นจริงของสภาวะที่ตัวเองนั้นเป็นอยู่
ไม่ต้องไปกังวลเรื่องที่ว่าจะรู้อยู่ในกายได้มากน้อยแค่ไหน

สภาวะที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำกันขึ้นมาเองทั้งสิ้นค่ะ
และเหตุปัจจุบันที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่อีก มันจึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้สภาวะเป็นไปตามนั้น

ไม่ต้องไปกังวลเรื่องการปฏิบัตินะคะ ทำตามสภาวะของตัวเราเอง เราย่อมรู้ตัวเราดี
มีเวลาแค่ไหน ทำไปแค่นั้น ไม่ต้องไปจับเวลา ทำง่ายๆแบบนี้ค่ะ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

การที่เราจะรู้อยู่ในกายได้ต่อเนื่อง เรามาสร้างฐานให้จิตเข้มแข็งกันก่อนดีกว่านะคะ
เมื่อฐานของจิตเข้มแข็งแล้ว จะสามาถทำให้จิตรู้อยู่กับกายได้ต่อเนื่องค่ะ

การที่จิตที่จะรู้อยู่ในกายได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของ สติ สัมปชัญญะและสมาธิ
ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ฉะนั้นรูปแบบที่เราควรทำติดเอาไว้ทุกวันคือ เดินกับนั่ง
ส่วนการรู้ในกายในการใช้ชีวิตปัจจุบันนั้น ถ้าทำได้ก็ทำไปค่ะ ถ้าไม่สะดวกที่จะทำ
ก็ไม่ต้องไปวิตกหรือกังวลอะไร เราสามารถไปแบบช้าๆแต่มั่นคงได้ค่ะ

ถ้าคิดว่าไม่มีเวลา ให้ทำแบบนี้นะคะ ตอนไหนก็ได้ ถ้าทำได้ ใช้เวลาไม่มากหรอกค่ะ
ไม่ต้องไปจับเวลาใดๆทั้งสิ้น เวลาไม่ใช่ตัววัดผลของการปฏิบัติ ฉะนั้นไม่ต้องไปกังวล
เพราะเหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป สภาวะของแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกันไป
จำไว้นะคะ ทุกครั้งที่คิดว่าไม่มีเวลา
ให้เดินก่อนหนึ่งรอบ คำว่ารอบนี่คือ เดินไป+เดินกลับ ระยะทางแค่ไหนก็ได้ จะกี่ก้าวก็ได้
เดินให้รู้เท้าที่ก้าวเดิน เท้าที่กระทบพื้น จะมีคำบริกรรมภาวนากำกับหรือไม่มีก็ได้ค่ะ
ส่วนจะรู้ชัดในเท้าที่ก้าวเดินแค่ไหน ไม่ต้องไปกังวลค่ะ ให้แค่รู้ ดูไปตามความเป็นจริง

เดินเสร็จ หยุดเดิน ก่อนจะนั่ง ยืนสำรวม หายใจยาวๆลึกๆก่อนสัก 3-4 ครั้ง แล้วค่อยนั่งลง
เมื่อนั่งลง ให้สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆลึกๆก่อน เพื่อปรับลมหายใจ สัก 3-4 ครั้งพอ
หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ค่ะ แล้วหายใจปกติ เอาจิตรู้อยู่ในลมหายใจเข้าออก จะมีคำบริกรรมภาวนา
หรือไม่มีก็ได้ค่ะ ให้รู้อยู่ในลมหาบใจไปแบบนั้น

การนั่งก็เช่นเดียวกัน ไม่ต้องจับเวลา สะดวกแค่ไหน ทำไปแค่นั้น
คือขอให้เดินแล้วมานั่งต่อ ทำแบบนี้ทุกๆวันค่ะ

หลังจากเดินกับนั่งเรียบร้อยแล้ว ให้แผ่เมตตา กรวดน้ำ
ถึงแม้จะดูว่าใช้เวลาน้อยนิด บางคนอาจจะใช้เวลาทั้งเดินและนั่งไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ
แต่ผลที่เราได้สร้างเหตุตรงนั้น มันมีแต่กุศลค่ะ เราจึงควรแผ่เมตตา และกรวดน้ำให้กับคนอื่นๆด้วย
เป็นการฝึกจิตในการให้ความสุขและความปรารถนาดีต่อคนอื่นๆด้วยน่ะค่ะ


อ้างคำพูด:
ในกระทู้นั้นต้องขอบคุณพี่น้ำมากๆ เพราะการที่ได้กลับไปอ่านผลการภาวนาของตัวเอง
ตอนที่สอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย

>>>เป็นสิ่งที่ประทับใจว่า ครั้งๆหนึ่งที่เราเจอวิกฤตที่บีบเค้นเรามากๆ
แต่การเห็นสภาวะธรรมที่ดับลงต่อหน้าต่อตา มันเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ
เราได้เห็นมันพร้อมกัน สภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นได้แล้วมันก็ดับลงได้
หากใจเราเป็นกลางเราก็ดูทันว่าสภาวะธรรมนั้นมันไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูอยู่
ใจเราเป็นเพียงผู้รับรู้ แต่ใจเราก็ไม่สามารถอยู่คงที่ถาวรดับลงได้เหมือนกัน แล้วเกิดผู้รู้ใหม่ขึ้น



สภาวะนี้เกิดขึ้นได้กับทุกๆคนค่ะ ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม
เพียงแต่จะมีสติ สัมปชัญญะรู้เท่าทันหรือไม่เท่านั้นเอง

ส่วนที่น้องบอกว่า
เราได้เห็นมันพร้อมกัน สภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นได้แล้วมันก็ดับลงได้
หากใจเราเป็นกลางเราก็ดูทันว่าสภาวะธรรมนั้นมันไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูอยู่
ใจเราเป็นเพียงผู้รับรู้ แต่ใจเราก็ไม่สามารถอยู่คงที่ถาวรดับลงได้เหมือนกัน แล้วเกิดผู้รู้ใหม่ขึ้น

อันนี้เป็นเราไปให้ค่ากับสภาวะที่เกิดขึ้นเอง แต่โดยตัวสภาวะที่แท้จริง มันมีและมันเป็นของมันอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า เราจะเห็นได้ตอนไหนเท่านั้นเองค่ะ


อ้างคำพูด:
มันทำให้หนูเห็นความสำคัญของการภาวนา เห็นความสำคัญว่าหากเราไม่รีบเร่งภาวนา
ยังคงต้องทุกข์ต่อไป



ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมา และเหตุในปัจจุบันที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่
เรื่องการภาวนาเองก็เช่นกัน เมื่อเราหลงไปให้ค่าว่าสำคัญยิ่งนัก
พอเรามีเวลาน้อยหรือเรียกว่าแทบจะไม่มีเวลา ตามสภาวะที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆ
เหตุนี้จึงทำให้เราเกิดความทุกข์ใจ เพราะเราหลงไปให้ค่ากับบัญญัติเองค่ะ

จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเลย มันมีและมันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว
เหตุไงคะ เหตุที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง เราสามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้นะคะ
อันดับแรกคือ บัญญัติมีไว้ให้รู้ค่ะ ว่าเรียกว่าอะไร แต่อย่าไปยึดติดกับคำเรียก



อ้างคำพูด:
ช่วงไม่กี่สัปดาห์ผ่านมา เริ่มคิดได้ว่าถ้าเราไม่มั่นใจในการภาวนาอย่างน้อยๆ
สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือ การทำศีลให้บริสุทธิ์และทำสมถะไปก่อนและเมื่อไม่กี่อาทิตย์นี้นี่เอง
หนูก็ได้พบว่า การทำศีลให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ประเสริฐมากๆ เพราะ

3.1 เมื่อเรารักษาศีล ภายหลังการกระทำนั้นๆมันจะไม่มาทำให้เราเดือดร้อน
สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข

3.2 เหตุคือศีล ผลคือความสุขใจ เกิดเป็นจิตกุศล ความศรัทธาจึงตามมา

3.3 การถือศีล เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมในการเจริญสติ เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ได้ตั้งใจถือศีล
พอศรัทธาหย่อนก็ไม่ยอมภาวนา มันก็เลยเหมือนคนภาวนาไม่เป็นมาก่อน
พอมาเน้นเรื่องศีลเพียงไม่นานก็สามารถกลับมาเจริญสติได้บ้างแล้วค่ะ



ทั้งหมดที่น้องพูดมานี้ มันเป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ค่ะ
ความคิดสามารถแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะได้ตลอดเลา ตามสภาวะที่เกิดขึ้นแต่ละขณะๆ


อ้างคำพูด:
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของข้อ3 มันเป็นช่วงปิดเทอมค่ะ หนูเลยไม่มั่นใจว่า
หากเปิดเทอมจะสามารถตามรู้กายรู้ใจได้บ่อยแค่ไหน ตอนนี้คิดไว้แค่ว่า เอาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุด
มันก็ตามรู้กายรู้ใจได้มากแล้วทีเดียว ส่วนสมถะที่พอมีเวลาทำก็คือสวดมนต์เช้าและเย็นค่ะ
(เริ่มกลับมาภาวนาได้ค่ะ)


อยากให้พี่น้ำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ เพราะหนูก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องทำอะไรต่อ เหมือนตัวเองตอนนี้
เป็นคนที่เริ่มดูจิตใหม่หมดเลยทิ้งการภาวนาไปนานมาก




ได้ให้คำแนะนำไปแล้วนะคะ คือ เดินกับนั่งอย่างที่ได้อธิบายไป
ส่วนผู้ที่จะทำคือตัวของน้องเองค่ะ แล้วจะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับเหตุของตัวน้องเอง

สิ่งใดที่ยังไม่เกิดขึ้น อย่าไปคาดเดาล่วงหน้าเลยค่ะ
จะเป็นเหตุให้เราไหลไปในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วนำมาทุกข์เพราะความคิดนี่แหละค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกแบบนั้น พอเข้าใจอะไรมากขึ้น จะไม่ค่อยสนใจเรื่องงานต่างๆ แล้วจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

เราจะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นๆได้โดยที่ไม่ไปขัดใจใครๆ เมื่อมีเวลาว่าง จะชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าจะไปสังสรรค์อะไรแบบนั้น

จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วชักจะเริ่มสนุกกับการดูตัวเอง
อยู่กับตัวตน ของตนได้ แม้ว่าจะอยู่คนเดียว

แรกๆเรายังไม่ชำนาญทาง เรายังมีการให้ค่าต่อสภาวะอยู่ ดีมั่ง ไม่ดีมั่ง บางครั้งทำให้หงุดหงิดเพราะไม่ได้ดั่งใจ แต่พอเริ่มจับทางได้ เราจะชอบดูตัวเองมากขึ้น

ไม่ได้ดั่งใจ ในที่นี้คือ เมื่อคนอื่น ๆ ทำให้ได้ไม่สมหวัง หรือว่า ตัวเองทำแล้วไม่ได้ดั่งที่ใจตัวเองต้องการ

ถ้าคาดเดาแล้วจะต้องดี พอไม่ดี จะหงุดหงิด มีความอยากได้ อยากให้มี ตามดั่งที่ใจตนนั้นต้องการ นี่คือบททดสอบที่ทุกคนจะต้องเจอ

เพราะยังมีการให้ค่าอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนนั้น รู้ว่าเป็นบททดสอบของตนเอง กันหรือไม่

พอเราเจอสภาวะไม่ได้ดั่งใจบ่ายๆ เราจะเริ่มเข้าใจถึงความไม่เที่ยง พอเข้าใจ เราจะเริ่มแค่ดูมากขึ้น

นี่คือบททดสอบที่ทุก ๆคนนั้นต้องเจอ แค่เรายอมรับมัน ทำได้แค่ดู แค่รู้ และยอมรับ แต่เพราะความไม่รู้ยังมี จึงยังมีการให้ค่าอยู่

การให้ค่านั้น เป็นเรื่องที่ทำกันได้แบบง่าย ๆ สุดท้ายเลยคอยหาแต่คำตอบว่าเพราะอะไร ทำไม แค่เผลอเท่านั้น ก้อสามารถทำได้แล้ว

จริงๆแล้ว เพียงอดทนทำต่อเนื่อง แล้วจะได้คำตอบจากตัวสภาวะเอง

อะไรคือปัจจัยทำให้เกิดแค่รู้ แค่ดู แค่ยอมรับ เพียงเท่านั้นพอ
ความไม่เที่ยง เมื่อเจอบ่อยๆ เช่น

ทานข้าวมาก ง่วงเวลาปฏิบัติ ก็คาดเดาเอาเองว่าเพราะทานมากไปเลยทำให้ง่วง
วันต่อมา ทานน้อยลง เพราะคิดว่า จะได้ไม่ง่วง ที่ไหนได้ ยังคงง่วงเหมือนเดิม
วันต่อมาทานปกติ ทานมาก แต่สภาวะกลับดี ไม่มีง่วง ทีนี้ทำไงล่ะ การหาคำตอบคือการทำให้เกิดการคาดเดาได้ง่าย ๆ

จริงๆแล้ว เราแค่ทำ ดีก็รู้ ไม่ดีก็รู้

walai lo ไม่ต้องไปคาดเดาอะไร ไม่ต้องไปหาเหตุว่าทำไม มีหน้าที่ทำไปปกตินี่แหละ
Love อืมมมครับ แค่เพียงพูดเพียงเท่านี้เองนะ ดูเหมือนกับว่าจะทำได้แบบง่าย ๆ

walai lo ที่ว่าดีหรือไม่ดี เพราะเรายังมีการให้ค่าตามความรู้สึกอยู่ ตามความคิดและคาดเดาเอาเอง
ส่วนที่จะพูดว่าง่ายหรือยากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเหตุของแต่ละคน มันไม่มีทั้งง่ายและยากอะไร

Love ต้องแยกความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นออกมาจากความต้องการของตนเอง เพื่อที่จะทำให้มองเห็นตามความเป็นจริงที่แท้จริงได้
walai lo มันจะรู้เองค่ะ ไม่ต้องไปคิดจัดการอะไร จิตที่ตั้งมั่นไงคะ ถึงจะมองเห็นสภาวะตามความเป็นจริงได้

Love จิตที่ตั้งมั่นแล้ว คือเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ได้นะเหรอครับ

walai lo สัมมาทิฏฐิคือ ความเห็นชอบ ถูกไหมคะ
สัมมาทิฏฐิ แล้วแต่จะให้ค่าตามความรู้ของคนๆนั้น ถ้าว่าตามปริยัติคือ ความเห็นชอบ
คำว่า ความเห็นชอบ จะต้องหมายถึง ไม่มีทั้งถูกหรือผิด คุณคิดว่าไงคะ
Love ถ้าตามที่เคยได้ยิน ได้ฟังมานั้น เขาบอกเล่าต่อ ๆ กันมา
คำว่าถูก คำว่าผิดนั้น ไม่มี แต่ละคนส่วนมาก ย่อมพูดว่า ความคิดของตัวเองนั้นถูก จริงไหม

walai lo แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า ความคิดนั้นๆ คือความเห็นชอบ
Love ก้อไม่มีความเป็นตัวเราเข้าไปเกี่ยงข้องไงล่ะ

walai lo แล้วจะไม่ให้มีเราเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น เอาอะไรมาวัดล่ะ แล้วจะทำได้ยังไง
Love เอาจิตที่เป็นตัวรู้ของตน นั้นเป็นตัววัดสิ

walai lo แล้วรู้ได้ยังไงว่า จิตที่เป็นตัวรู้ของเรานั้น มีความเห็นชอบ ไม่มีทั้งถูกและผิดน่ะ จะรู้ได้ยังไง
Love จิตที่รู้ได้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ยอมรับตามความเป็นจริงที่เกิดนั้นได้

walai lo ยอมรับตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ยอมรับยังไงหรือคะ
Love ไม่คาดเดา คาดหวัง

walai lo แล้วจะทำยังไงล่ะคะ
Love ไม่ยึดว่าตัวกู ของกู

walai lo ทำไงล่ะคะ ถึงจะไม่ยึด
Love ไม่อยากไงล่ะครับ

walai lo ทำไงถึงจะไม่อยากล่ะคะ
Love ก้อไม่คิดสิครับ อยู่กับปัจจุบันขณะนั้นให้ได้

walai lo ทำไงล่ะคะ ถึงจะไม่คิดและอยู่กับปัจจุบันได้
Love รู้อยู่กับกาย กับจิตของตนให้ได้บ่อย ๆ

walai lo ทำไงล่ะคะ ถึงจะรู้อยู่กับกายและจิตได้
Love ไม่ส่งจิตออกไปเพ่นพ่านนอกกาย โดยการพัฒนาจิต หรือการเจริญสติ

walai lo น่านนนนนน คุณจำแม่นนะคะ
Love ใช่ครับ จำได้อยู่เนือง ๆ นะอันนี้หน่ะ ยังจำได้ไม่คล่องนักหรอกนะ

walai lo จริงๆแล้ว คุณถูกไล่มาตามสภาวะ คุณพูดได้ตามสภาวะ
Love อืมมม แบบไหนกันรึ ยังไม่เข้าใจมากนัก

walai lo เพียงแต่ คุณยังไม่ผ่านสภาวะทั้งหมดด้วยตัวเองโดยชำนาญ
Love ใช่ครับ อันนี้ถูกต้องเลยนะ เพราะว่าขาดความชำนาญ

walai lo ไล่มาสิคะ จากสัมมาทิฎฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นชอบ จะเรียกว่า ความเห็นชอบได้นั้น ต้องเห็นตามความเป็นจริงได้ก่อน ใช่ไหมคะ
Love ครับ แล้วไงต่อล่ะ

walai lo การเห็นตามความเป็นจริงนั้นคืออะไร
Love คืออะไรล่ะ

walai lo คือสิ่งที่มีอยู่จริง เกิดขึ้นจริงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเรา สิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว
Love เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

walai lo ค่ะ เหมือนที่คุณตอบมา ไม่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง
Love อืมมมครับ แล้วไงต่อล่ะ

walai lo การเห็นตามความเป็นจริงนั้นคืออะไรล่ะ ความไม่เที่ยงใช่ไหมคะ
Love อืมมม อันนี้คือแกนกลางของทุก ๆ สิ่ง

walai lo ค่ะ เมื่อคุณเห็นความไม่เที่ยงที่มันแจ้งออกมาจากจิตจริงๆ แล้วคุณจะมีการไปให้ค่าต่อสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นไหมว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด
มันไม่เที่ยง แล้วจะไปให้ค่าทำไม จริงไหม ให้ค่าไปก็แค่นั้น มันมีแต่การคาดเอาเอง นั่นคือ การมีตัวเราเข้าไปให้ค่าหรือไปตัดสินตามความคิดของเราเอง
Love ทุก ๆ สิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ทุก ๆ โอกาส ทุก ๆ เวลา

walai lo ใช่ค่ะ มันมีและมันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้วชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะมีเราหรือไม่มีก็ตาม
Love อืมมม มันเป็นอกาลิโกนะสินะ

walai lo มันจะไปทีละสเตป จากผลไปหาเหตุ สัมมาทิฏฐิคือผล
Love แล้วอะไรคือเหตุ

walai lo เหตุที่จะเห็นสัมมาทิฏฐิได้ คือ การเห็นตามความเป็นจริง
Love ความไม่เที่ยงนะสิเป็นเหตุ

walai lo เหตุของการเห็นตามความเป็นจริงได้ ต้องเห็นความไม่เที่ยง
Love นอกเหนือจากนี้ไม่มีอีกแล้วรึ

walai lo เหตุของการเห็นความไม่เที่ยงได้ ต้องมีสัมมาสมาธิ
เหตุของสัมมาสมาธิมาจากการมี สติ สัมปชัญญะในระดับหนึ่ง ทำงานร่วมกัน
เหตุของสัมมาสมาธิคือ สัมมาสติ

Love กำลังจะบอกว่า จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว เป็นเหตุของการเห็นตามความเป็นจริงได้อย่างง่าย ๆ
walai lo ใช่ค่ะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ประกอบด้วยจิตที่ตั้งมั่น เหตุของสัมมาสติคือ การเจริญสติ

Love มีสติที่ดีแล้ว ย่อมมีสมาธิที่ดีตาม
walai lo เหตุของการเจริญสติของแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุของแต่ละคนที่กระทำมา

Love ต้องเจริญสติแบบไหน ถึงจะบอกได้ว่าเป็นสัมมาเจริญสติ
walai lo มีตัวสัมปชัญญะเกิด รู้อยู่ในกายและจิต รู้ชัดในสิ่งที่กำลังกระทำอยู่

Love ทำเพียงเท่านี้เองรึ
walai lo ใช่ค่ะ เมื่อมีสัมชัญญะเกิด จะทำให้รู้ชัดในสิ่งที่กำลังทำอยู่

Love รู้ในทุก ๆ สิ่งที่กายกับจิตนั้นสัมผัส หรือได้รับการกระทบนะรึ
walai lo ใช่ค่ะ เรียกว่ารู้เท่าทันไปทีละขั้นๆๆๆๆ รู้เท่าทันอะไร รู้เท่าทันต่อกิเลสในใจที่เกิดขึ้น ยามเกิดการกระทบ

Love สัมปชัญญะจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีอะไรเป็นเหตุ
walai lo เจริญสติไงคะ มื่อ มีกำลังของสติมากขึ้น ตัวสัมปชัญญะย่อมรู้ชัดมากขึ้น

Love การที่จะรู้เท่าทันกิเลสได้นั้น ต้องอาศัยอะไรเป็นอันดับแรกเริ่ม
walai lo สติไงคะ แต่ว่า ถ้าขาดสัมปชัญญะ คุณจะแค่รู้ แต่รู้ไม่ชัด เรียกว่ารู้แบบผ่านๆ เหมือนเลื่อนลอย

Love เหตุเกิดที่สติ ดับที่สติด้วยหรือป่าว
walai lo แหมมมม คุณนี่ เริมแล้วนะ เคยบอกแล้วไงคะว่า ก่อนจะถามอะไร ทบทวนให้ดีๆก่อน เป็นการฝึกสติ

Love เผื่อว่าจะมีคนตอบให้
walai lo ตอบได้สิคะ ไม่ใช่ตอบไม่ได้

Love อันนี้เขาเรียกว่า สงสัย
walai lo เรียกมักง่ายค่ะ สักแต่ว่าถาม แต่ไม่คิดก่อนที่จะถาม

Love อ้าวไม่เคยได้ยินหรอกรึ ที่เขาบอกกันว่า เหตุเกิดที่ใด้ ให้ดับที่เหตุ

walai lo อันนี้ใช่ ไม่มีเหตุแล้วผลจะมาจากไหน แต่สิ่งที่คุณถามมาน่ะมันคนละเรื่อง คุณจะนำมาปนแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ
Love ปนกับอะไรรึ

walai lo สติคือต้นเหตุของการรู้เท่าทันต้นตอของเหตุทั้งปวง คือกิเลส กิเลสคือตัวสร้างเหตุ
เมื่อมีสติรู้เท่าทันต่อกิเลส การปรุงแต่งใดๆย่อมไม่เกิด
เมื่อไม่มีการปรุงแต่ง เหตุที่จะก่อให้เกิดการกระทำย่อมไม่มี
เมื่อไม่มีเหตุ ผลย่อมไม่มี แล้วจะต้องไปดับสติทำไม
กิเลสน่ะมันยังคงมี แต่เพราะสติมันทัน มันเลยแค่รู้ แต่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง
Love กิเลสมันเป็นอกาลิโก

walai lo มันจะแยกออกจากกัน แต่อยู่ด้วยกันโดยไม่ป่ะปนกัน สติ สัมปชัญญะ สมาธิ เขาทำงานร่วมกันตลอด
Love ของมันเป็นคู่กันอยู่อย่างนั้น

Love ธรรมะ กับ กิเลส
walai lo ใช่ค่ะ กิเลสก็คือธรรมะ ถ้าเราไม่รู้จักกิเลส ก็ยังไม่รู้จักธรรมะ

Love ไม่มีใครเป็นพระเอก นางเอก หรือตัวร้าย เป็นแค่เพียงคนดูเท่านั้นเอง
walai lo กิเลสเป็นเพียงสภาวะธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในจิต เหมือนที่หลวงปู่ดุลย์ท่านตอบคำถาม มีคนถามท่านว่าหลวงปู่ยังมีโกรธไหม ท่านตอบว่า มีแต่ไม่เอา คุณเข้าใจว่ายังไงคะ

Love แค่ว่ากิเลสนั้นยังมี แต่ว่ารู้เท่าทันต่อเหตุของกิเลสนั้น ๆ เลยหยุด
walai lo ใช่ค่ะ รู้ทันมันก็ไม่เกิด คือ มีแต่ไม่เอา คำว่าไม่เอา ไม่ใช่ปฏิเสธิว่าไม่เอา แต่รู้เท่าทันต่างหาก เมื่อรู้เท่าทันมันก็ไม่เกิด

Love อืมมครับ ในเมื่อรู้แล้ว จะเอาอีกทำไมกันเล่า
walai lo ค่ะ มันตอบได้สองกรณีนะ แบบที่คุณพูดมาด้วย ในเมื่อรู้แล้ว จะเอามาทำไมอีก

Love อืมมม อันนี้หมายถึงอะไรรึ
walai lo รู้ถึงเหตุที่ทำ และผลที่ได้รับ ย่อมไม่เอา ความโกรธ นี่เป็นรู้แบบเหตุและผล
ส่วนรู้เท่าทัน นั่นเป็นเรื่องของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ

Love รู้แบบไหน กิเลสลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
walai lo ทั้งสองแบบค่ะ แล้วแต่เหตุที่ทำมา สุดท้าย จะเหลือเพียงหนึ่ง ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล

Love มีมากแบบ นอกจากนี้อีกมั้ย
walai lo ไม่ค่ะ รู้สุดท้ายมีแค่นี้ อยู่กับกิเลสได้ ไม่ใช่หมดกิเลสแบบที่เคยเข้าใจมา

Love หากทำได้แบบนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อรึ
walai lo ไปสนใจกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงทำไมคะ ไว้คุณเจอกับตัวเองดีกว่านะคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2011, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


10 กพ.54


Love says
ช่วงนี้สมาธิดีครับ รู้สึกว่าตัวเองมีสมาธิเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะครับ จับลมหายใจได้ชัดเจนบ่อย ๆ นะ
แตกต่างกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ ทำให้รู้สึกกายได้ง่าย ๆ

เวลาทำงานอยู่ ชอบเกิดสมาธิ รู้สึกว่าจิตเขาตั้งมั่นได้ดีกว่าแต่ก่อนนะ
จิตไม่ค่อยจะยอมส่งออกไปนอกตัวบ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อนนะ

walai lo says
ถ้ารู้อยู่กับกายได้บ่อยๆ สภาวะจะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ เขาเรียกว่าอยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้น

Love says
อืมมครับ ผมว่าเป็นแบบนั้นนะ จิตไม่ค่อยจะยอมไหลไปในอดีต ในอนาคตบ่อย ๆ

walai lo says
เหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป อุบายในการปฏิบัติจึงแตกต่างกัน ธรรมนี้เป็นอกาลิโก

Love says
อืมม ครับ ใครเห็นได้แบบนั้น ย่อมรู้ดี ไม่ต้องให้ใครมาบอกให้รู้บ่อย ๆ หรอก

walai lo says
ค่ะ เพราะรู้ด้วยตัวเอง

Love says
ครับ ใช่ครับ

walai lo says
รู้แล้ว เหตุใหม่ที่จะไหลไปตามกิเลสย่อมน้อยลง เพราะอยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้น
แล้วภพชาติจะไปเหลืออะไรล่ะคะ ถึงบอกไง ทำไปไม่ต้องไปหวังผล หวังก็คือกิเลส มีแต่การสร้างเหตุ

Love says
มีอยู่วันนึงนะมันคิดเรื่องของปัญญาที่เขาอุปมากันขึ้นมานะครับ
จินต สุตตะ และ ภาวนา

ตอนนี้ยังจำไม่ได้นะว่า วันนั้นคิดว่าอย่างไรนะ ว่าจะเอามาถามซะหน่อย
เดี๋ยวจำได้แล้วค่อยเอามาถามใหม่

walai lo says
อะไรก้ตามที่รู้ด้วยตัวเอง แต่ยังมีการให้ค่า เรียกว่า จินตะ

ฟังจากผู้อื่น เรียกว่า สุตตะ

แต่จากสัมมาสมาธิมันจะรู้โดยสภาวะ สั้นๆ
ไม่มีคำเรียก

Love says
ครับ ถ้าเป็นปัญญาแบบ ภาวนา ไม่ต้องมีคิดอะไรเลย รู้ได้ด้วยตนเอง
แบบนี้ใช่ป่ะครับ

walai lo says
ค่ะ ปราศจากความคิด แต่จะรู้แบบหยาบๆก่อน

Love says
อ๋อๆ ครับ อืมม พอจะเข้าใจล่ะครับ

walai lo says
แล้วจะละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ

Love says
เข้าใจว่าวันนั้น เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนาของเราเองแหล่ะ
มันไม่ต้องไปคิดอะไร มันรู้เอง แต่รู้แค่แป๊บ ๆ ไม่ต้องไปถาม ไปหาว่าอะไร

walai lo says
นั่นแหละ

Love says
มันรู้ และเข้าใจเอง

walai lo says
ถ้ายังมีถาม นั่นคือจินตะ

Love says
วันนั้น มันมีไปคิดแบบนี้แหล่ะนะ
ว่าที่เขาบอกกันว่า ปัญญาแบบจินตะ หน่ะเป็นอย่างไร
แบบภาวนาเป็นอย่างไร

walai lo says
มันจะรู้มากขึ้นเรื่อยๆตามสภาวะ

Love says
ถ้าเป็นแบบจินตะหน่ะ ต้องเหมือนกับต้องใช้เวลามากกว่าแบบภาวนานะครับ

walai lo says
แล้วแต่เหตุค่ะ

Love says
อ๋อครับ ต้องเจอบ่อย ๆ ก่อนครับ ถึงจะบอกได้นะ ต้องนี้มันยังคลุมเครืออยู่

walai lo says
ถึงบอกไง ให้บันทึกไว้บ้าง

Love says
ยังไม่ค่อยจะกระจ่างแจ้งมากนัก อืมมครับ ไม่แน่อีกหน่อยอาจจะเป็นเหมือนกับคุณนะครับ

walai lo says
เพราะถ้าเป็นจินตะ คือยังมีการให้ค่า ว่าเป็นนั่นเป็นนี่

Love says
มีแค่นี้เองเหรอครับ

walai lo says
ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

Love says
อืมมครับ เข้าใจครับ

walai lo says
ที่ผิดปกติคือความไม่รู้ แต่คิดว่ารู้ แล้วไปยึดติดกับสิ่งที่คิดว่ารู้
เลยแทนที่จะดับที่เหตุ กลายเป็นหลงสร้างเหตุใหม่ไปด้วยความไม่รู้
เราล้วนแต่เกิดมาผิดปกติมังคะ

Love says
อีกหน่อย ผมคงเข้าใจแบบนี้ได้เองนะ

walai lo says
ไม่รู้มาก่อนทั้งนั้น ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติมาแล้ว

Love says
ครับ นับไม่ได้หรอกครับ

walai lo says
ปกติหรือผิดปกติก้ล้วนเป็นการให้ค่าน่ะค่ะ ทุกอย่างอยู่ที่เหตของแต่ละคนทั้งนั้น

Love says
ครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


14 กค.2011

Love says

ถ้าเห็นว่ากายนี้เป็นแค่ธาตุ เห็นแบบนี้ใช่เห็นตามความเป็นจริงหรือเปล่าครับ

walai lo says

เห็นตามความเป็นจริงค่ะ แต่เห็นตามความเป็นจริงของบัญญัติ


Love says

อ้าว งั้นถ้าเห็นว่ามันไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไรเลยล่ะครับ


walai lo says

ถ้าคุณเห็นแบบนั้นจริงๆ คุณไม่มีคำถามแล้วล่ะค่ะ เพราะว่ายังมีอะไรๆ คุณถึงได้ถาม


Love says

แล้วถ้าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้ล่ะครับ


walai lo says

น่านนนนน จนได้สินะ ถ้าเห็นแบบนั้นได้จริง หมดคำถามแล้วล่ะค่ะ

นี่ยังมีถาม เพราะเห็นแค่ฟังเขาเล่าว่า แล้วนำมาเทียบเคียงกับสภาวะเท่านั้นเอง


Love says

ครับ แต่ผมเป็นสมาธิบ่อยๆนะครับ รู้สึกเย็นๆไปทั้งตัว บางครั้งนั่งทำงานอยู่ก็เป็น บางทีเข้าห้องน้ำก็เป็น เวลาเดินกลับบ้านก็เป็น คือมันเป็นบ่อยกว่าเมื่อก่อน


walai lo says

อะไรเกิดขึ้นให้รู้ไปค่ะ แล้วคุณจะรู้คำตอบด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร

อย่าลืมเดินก่อนนั่งนะคะ ไม่งั้นสมาธิเอาไปกินหมดถ้าเอาแต่นั่งอย่างเดียว การปรับอินทรีย์นี่สำคัญมากๆ

Love says

ทำอยู่ครับ

เมื่อกี้ผมเรียบเรียงคำพูดยังไม่ชัด ขอถามอีกครั้ง

ได้ยินคนเขาพูดๆกัน ถ้าคุณ เห็นว่ากายนี้เป็นแค่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ไฟได้

ถ้าเห็นได้แบบนี้ เรียกว่าเห็นรูปนาม ตามความเป็นจริง ใช่หรือไม่ครับ


walai lo says

เป็นเพียงอุบายในการรักษาจิต ไม่ให้ยึดติดในกายนี้ค่ะ



Love says

ในความคิดของผม ที่เคยได้ยินมา ถ้าจิตถึงในระดับหนึ่ง จะไม่เห็นเป็นเนื้อหนังมังสา ซึ่งผมเคยเจอมาด้วยตัวเอง ตอนที่นั่งสมาธิอยู่ จะเห็นน้ำไหลออกมาจากช่องโพรงจมูก จิตเคยจับได้ เห็นได้ชัด

ทำให้คิดถึงคำพูดที่เขานำมาพูดกันเรื่อง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟมาบรรจบพบกันเป็นร่างกายนี้ขึ้นมา ผมเลยสงสัยว่า ใช่การเห็นตามความเป็นจริงหรือไม่


walai lo says

แล้วแต่คุณจะให้ค่าค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2011, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๙ สค.๕๔

คุณสมิทธิ์

ถาม ขอคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติหน่อยครับ จำเป็นไหมครับ ที่เราต้องรู้ว่าสมาธิของเรา อยู่ในองค์ฌาณใด หรือปล่อยไปตามธรรมชาติ

การที่จะรักษาสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น เวลารู้สึกว่าจิตสงบแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ทำให้เกิดความลังเลสงสัย สมาธิเลยไม่ต่อเนื่อง ต้องเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ เราควรจะวางจิตเราอย่างไรครับ ที่จะทำให้เราอยู่ในสมาธิได้นานๆ


คำถาม จำเป็นไหมครับ ที่เราต้องรู้ว่าสมาธิของเรา อยู่ในองค์ฌาณใด หรือปล่อยไปตามธรรมชาติ

ตอบ ไม่จำเป็นค่ะ


คำถาม การที่จะรักษาสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น เวลารู้สึกว่าจิตสงบแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ทำให้เกิดความลังเลสงสัย สมาธิเลยไม่ต่อเนื่อง ต้องเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ

คำตอบ สมาธิก็ไม่เที่ยงค่ะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรไม่ได้ค่ะ


คำถาม เราควรจะวางจิตเราอย่างไรครับ ที่จะทำให้เราอยู่ในสมาธิได้นานๆ

คำตอบ ฝึกทำต่อเนื่องค่ะ

คำตอบที่ตอบไป ตอบแค่ตามสภาวะที่ถามมา จริงๆแล้วต้องคุยรายละเอียดมากกว่านี้ค่ะ

เพราะสภาวะของสมาธิที่ทำให้เกิดปัญญา เป็นสมาธิที่มีความรู้สึกตัวค่ะ ไม่ใช่แค่ความสงบอย่างเดียว



๑๐ สค. ๕๔


คำถาม เท่าที่ฝึกมาส่วนใหญ่ก็มีความรู้ตัวดี แต่พอรู้สึกว่าจิตรวมแล้ว ก็ไม่รู้จะพิจารณาอะไรต่อครับ หรือปล่อยไว้เฉยๆ ดูไปเรื่อยๆ ใช่ไหมครับ

คำตอบ ตรงนี้ต้องขอถามกลับนะคะ

การปฏิบัติ ทำแบบไหนคะ กรุณาช่วยบอกรายละเอียดด้วยต่ะ เช่น ใช้พุทโธตามลมหายใจเข้าออก หรือรู้ไปตามลมหายใจเข้าออกโดยไม่ได้ใช้คำภาวนา

หรือใช้พองหนอยุบหนอตามลมหายใจเข้าออก หรือดุท้องพองยุบตามลมหายใจเข้ออกโดยไม่ต้องใช้พองยุบกำกับ

หรือว่าปฏิบัติแบบอื่นๆ ช่วยบอกรายละเอียดด้วยค่ะ



๑๑ สค. ๕๔


คำถาม ก็ตามหลักอานาปานสติ เป็นส่วนใหญ่ คำภาวนาก็ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง ไม่ทราบว่าจะเป็นไรไหมครับ

ส่วนใหญ่จะอ่านจากอานาปาสติสูตร แล้วก็หนังสืออานาปานสติของท่านพุทธทาส ครับ

ดูท้องยุบเข้าออก นี่ก็ใช้เป็นบางครับ เพราะบางทีตามลมไม่ทัน ก็ดูท้องครับ

ทำแบบหลายสายมากเลยครับ แต่เน้นอานาปานสติเป็นหลัก


คำตอบ สภาวะทั้งหมดที่คุณถามมา คุณเพียงใช้การปรับอินทรีย์เข้าช่วยเท่านั้นเองค่ะ

คือ เดินก่อนที่จะนั่ง ถ้าดูลมหายใจ แล้วลมหายใจหายไป ต่อจากนั้น ให้ดูเรื่องการรู้กายและจิตเป็นหลัก

มีสภาวะอะไรเกิดขึ้น ให้รู้ไปตามนั้น

จริงๆแล้ว สิ่งที่คุณถามมา มีคำตอบอยู่ในบล็อก เพียงแต่คิดว่า คุณคงเลือกอ่านแค่เพียงหัวข้อที่ต้องการอ่านเท่านั้นเอง

ข้อแนะนำ ขอให้คุณไล่อ่านไปทีละเรื่อง เช่น สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ , จิตที่ตั้งมั่น , การกำหนด , การเดินจงกรมฯลฯ

ลองไล่อ่านไปเรื่อยๆนะคะ หัวข้อจะอยู่ด้านทางขวามือของหน้า

อ่านแล้วสงสัยตรงไหนถามได้ค่ะ



๑๓ สค.๕๔


คำถาม ขอบคุณมากครับ ที่สละเวลามาตอบ ผมจะลองไล่อ่านตามที่คุณบอกมาละกันนะครับ

คำตอบ เราทุกรูปทุกนาม ล้วนเป็นเพื่อนพึ่งพาซึ่งกันและกัน แต่การที่จะรู้รู้ตามความเป้นจริงได้ ต้องเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง

แรกเริ่มเรียนรู้เรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม ย่อสั้นๆเหลือกายและจิต สุดท้ายเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ เราต้องรู้จักจิตที่ถ่องแท้ของตนเองก่อน แล้วเรื่องวิธีการต่างๆ ตลอดจนสิ่งต่างๆที่เคยยึดติดอยู่จะค่อยๆปล่อยวางลงไปเอง

เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้จิตแบบหยาบๆก่อนนะคะ โดยต้องอาศัยจิตที่ตั้งมั่น คือ สมาธิ แต่เป็นสมาธิที่มีความรู้สึกตัว

อิริยาบทหลักที่ขาดไม่ได้เลย คือ เวลาที่ทำเต็มรูปแบบ ปรับอินทรีย์โดยการเดินก่อนที่จะนั่ง แล้วหมั่นสังเกตุดูสภาวะที่เกิดขึ้น หากจิตยังติดอยู่ในความสงบแบบที่เคยเป็น ให้เพิ่มอิริยาบทเดิน จนกว่าจะสามารถรู้ชัดที่กายส่วนอื่นๆได้

ทำไปก่อนนะคะ แล้วค่อยมาถามใหม่ หากยังมีข้อสงสัยอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2011, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๐ สค.๕๔

จะถามเรื่องสภาวะน่ะค่ะ นั่งสมาธิเป็นยังไงมั่งคะ รู้กายได้หรือยัง หรือว่านั่งแล้วสงบ


ถาม สวัสดีครับตอนนี้มีสภาวะใหม่อีกครับ เหมือนร่างกายจะหลุดออกไปน่ะครับเหมือนจิตจะออกจากร่างกาย.

ตอบ ช่วยบอกสภาวะทั้งหมดด้วยค่ะ.



ถาม ส่วนใหญ่ จะนิ่งๆนะครับ มีบางครั้งเหมือนหลับแต่พอขยับออกมาจิตมันก็สว่าง พวกนิมิตต่างๆไม่ค่อยมีครับ

ตอนนี้จะรู้สึกว่ากายจะโล่งๆโปร่งๆครับ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เลยไม่รู้จะบอกยังไงครับ ส่วนใหญ่จะนั่งอย่างเดียว.

ตอบ เป็นเรื่องปกติที่คุณจะเจอสภาวะแบบนี้ถ้าไม่ยอมเดิน สภาวะคุณจะเป็นแบบนี้สมาธิมากเกินสติ ขาดความรู้สึกตัวน่ะค่ะ.

ส่วนโอภาสหรือแสงสว่าง เป็นเรื่องปกติของสมาธิค่ะ ( โอภาสจะสว่างมากตามกำลังของสมาธิที่เกิดขึ้น )



ถาม เหรอครับ ต้องเดินด้วยใช่ไหมครับ พอดีช่วงนี้พาลูกสาวทำวัตรแล้วก็นั่งสมาธิก็เลยไม่ได้เดินก่อน.

ตอบ เดินก่อนที่จะนั่งค่ะ.

เพิ่มเดินไปจนกว่า คือ ให้สังเกตุดู เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วมีความรู้สึกตัวเกิดขึ้น เช่น สามารถรู้กายส่วนอื่นๆได้ แม้กระทั่งความคิดที่เกิดขึ้น



ถาม เดินไว้ก่อนนั่งทำวัตรได้ใช่ไหมครับหรือเดินหลังนั่งได้ไหมครับ.

ตอบ การปรับอินทรีย์ ควรเดินก่อนที่จะนั่งค่ะ คือเดินก่อนนั่งสมาธิ.



ถาม ครับผม จะพยายามครับ. ปกติทำวัตรเสร็จผมก็ขัดสมาธิกันเลยทำให้ไม่ได้เดิน.

ตอบ ปล่อยให้ลูกสาวนั่งไปคนเดียวสิคะ ส่วนคุณทำวัตรเสร็จแล้ว ไปเดินแล้วค่อยกลับมานั่ง.

เดินที่อิ่นๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเดินตรงที่ลูกสาวนั่งอยู่.



ถาม ครับผม ขอบคุณมากเลย. ผมก็ว่าทำไม ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไรครับผม

ตอบ การปรับอินทรีย์ แรกๆให้ดูเวลาด้วยนะคะ.



ถาม ต้องเดินนานไหมครับสักกี่นาทีครับ.

ตอบ ไม่นานค่ะ ดูเวลานั่งเป็นหลักคุณนั่งนานเท่าไหร่คะ.



ถาม เท่าๆกันเหรอครับ ปกติผมนั่งสามช่วงครับคือ เช้า สองทุ่ม ก่อนนอนเวลาไม่แน่นอนอีกครับ.

ตอบ ไม่ค่ะ เดินมากกว่านั่งค่ะ

ถ้านั่งแล้วยังติดอยู่ในความสงบอีก ไม่สามารถรู้กายได้ ให้เพิ่มเดินไปเรื่อยๆ ส่วนนั่งให้เวลาเท่าเดิมหรือไม่ก็ลดการนั่งให้น้อยลง อย่าไปเสียดายสมาธิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2011, 23:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๒ สค.๕๔

ถาม ขอบคุณมากเลยครับ ตอนนี้พยายามเดินให้มากขึ้น รู้สึกว่าดีมากขึ้นจริงๆครับ มีสมาธิมากกว่าเดิม จะพยายามเดินให้มากขึ้นอีกครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ ถ้าปฏิบัติก้าวหน้าติดขัดอย่างไร ผมขออนุญาตมาถามอีกนะครับ

ตอบ อนุโมทนาค่ะ ทำทุกวันนะคะ แล้วจะเห็นผลชัดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณจะขอบคุณในเหตุใหม่ของการเจริญสติที่กำลังเริ่มทำอยู่ค่ะ



สิงหาคม 23
09:24
รายงานผลครับ ระหว่างเดินถ้าจิตเกิดรวมเป็นสมาธิขึ้นมา คือมันดิ่งนิ่งลงไป เราควรเดินต่อ หรือหยุดนิ่งเพื่อดูสภาวะ ที่เกิดขึ้นครับ.


๒๖ สค. ๕๔

ตอบ ดีค่ะ. เมื่อกี้อาบน้ำอยู่เพิ่งเห็นข้อความ.


ถาม สวัสดีครับ. ส่งไปหลายวันแล้วครับ.

ตอบ นั่นสิคะเพิ่งเห็นค่ะฝากไว้ในนี้จะไม่เห็นค่ะ.


ถาม พี่ไม่ค่อยได้เข้าที่นี่หรือเปล่าครับ.

ตอบ ใช่ค่ะ ถ้าต้องการคำตอบ เขียนฝากไว้ในบล็อกได้นะคะตรงนั้นจะเข้าทุกวัน.


ถาม ครับผม ในบล๊อกบางที มันเป็นเรืองไม่อยากให้คนอื่นคิดมากครับ เดี๋ยวเขาหาว่าเพี้ยน.

ตอบ อย่าไปสนใจค่ะเพราะมันคือสภาวะของตัวเราเอง.
มีคนที่สภาวะยิ่งกว่าคุณก็มีค่ะ จนคนหาว่าเขาเป็นบ้า จะพาส่งรพ.ตอนนี้ไม่มีใครว่าเขาแล้วเพราะการเจริญสตินี่แหละค่ะ.
แนะนำให้เขาปรับอินทรียืพวกสมาธิเยอะจะเป็นแบบนี้ทุกคนเหมือนคุณ.


ถาม ครับ แต่ก่อนผมนั่งอย่างเดียวเลยครับ คิดว่าเดินจะไปมีสมาธิได้อย่างไรต้องนั่งนิ่งๆสิตอนนี้รู้แล้วครับว่าคิดผิด.

ตอบ เข้าใจค่ะ เรื่องปกติ คนส่วนมากจะคิดแบบนั้นสมาธิสามารถเกิดได้ทุกอิริยาบทสิ่งที่คุณถามมา รู้เรื่องจิตรวมตอนเดิน ว่าควรทำอย่างไร.
ตอนนี้เวลานั่งเป็นอย่างไรบ้างคะ.


ถาม พอจิตมันนิ่ง มันก็ไม่อยากเดิน ผมเลยยืนดูมันเฉยๆก็ดีมั่งไม่ดีมั่งเป็นบางวัน.

ตอบ ที่ว่าดี เป็นยังไงหรือคะ แล้วที่ว่าไม่ดี เป็นยังไงหรือคะ.


ถาม คือ บางวันก็จิตรวมดีครับ บางวันก็ฟุ้งครับ.

ตอบ ที่ว่าฟุ้ง เป็นแบบไหนคะ.


ถาม คือ จิตมันคอยไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แทรกมาตลอด. ต้อนไม่อยู่

ตอบ แล้วทำให้รู้สึกรำคาญหรือคะ.


ถาม ก็ไม่รำคาญนะครับ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนวันทีจิตรวมดีๆน่ะครับ.

ตอบ นี่แหละความไม่รู้ถามนะคะ.
เวลาที่ความคิดเกิด คุณสามารถรู้ส่วนอื่นๆของกายด้วยหรือเปล่าคะ เช่น ลมหายใจ หรือท้องพองยุบ หรืออาการอื่นๆ .


ถาม ก็รู้ครับแต่บางทีก็หลุดไปตามความคิดด้วย.

ตอบ คิดก็ให้รู้ว่าคิดค่ะมันเป็นเพียงสภาวะเกิดขึ้นกับทุกคนที่มาเจริญสติมันจะไม่รู้สึกรำคาญและสามารถรู้กายไปด้วย.

เขาเรียกว่า รู้สึกตัวทั่วพร้อมค่ะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เวลาเดินจิตคุณจะเป็นสมาธิได้ง่ายมากขึ้น.


ถาม ปกติบางวันนั่งมันก็รู้สึกว่างๆโปร่งครับก็เลยคิดว่าแบบนั้น น่าจะดีกว่า.

ตอบ ที่ว่าว่างโปร่ง นั่นคือสมาธิมากกว่าสติ คุณจึงไม่สามารถรู้ที่กายหรือความคิดได้.


ถาม ก็รู้นะครับ แต่ว่าความรู้สึกกายมันว่าง มันโปร่งสบายกว่าครับ.

ตอบ มันจะมีสภาวะซ่อนอยู่ในความว่างที่คุณรู้สึกว่ามันว่าง เพียงแต่กำลังสติของคุณยังมีไม่มากพอที่จะไปรู้ตรงสภาวะนั้นได้ค่ะคุณชอบสมถะ นี่เป็นเรื่องปกติ.


ถาม ครับผม ก็ต้องเจริญสติเพิ่มใช่ไหมครับ. ผมน่าจะติดสมถะมากกว่า.

ตอบ ใช่ค่ะดูแบบนี้นะคะ.
ถ้านั่งแล้วเจอสภาวะว่างโปร่งบ่อยๆ ให้เพิ่มเดินแต่ถ้านานๆเจอที่ ไม่เป็นไรค่ะแล้วเวลาเดิน จิตเป็นสมาธิ ก็ให้แค่รู้เพราะสติยังไม่ทัน คุณจึงรู้สึกว่ามันนิ่ง.


ถาม ครับ ตัดสมถะเลยหรือครับ.

ตอบ ไม่ได้ให้ตัดอะไรค่ะสมถะคู่กับวิปัสสนา.
ไม่งั้นคุณไม่สามารถรู้ทั้งความคิดและรู้ที่กายได้หรอกค่ะ.


ถาม คงต้องฝึกอีกเยอะเลยนะครับ.

ตอบ ไม่หรอกค่ะ แล้วแต่เหตุที่ทำมา.


ถาม ยังไงหรือครับ.

ตอบ ทำต่อเนื่อง หมั่นสังเกตุสภาวะคือ เหตุที่ทำมาไงคะ แต่ละคนทำมาไม่เหมือนกัน.


ถาม สภาวะในการเดินใช่ไหมครับ.

ตอบ เปล่าค่ะ หมายถึงสภาวะโดยรวม 22:44ไม่งั้นคุณไม่สามารถรู้ทั้งความคิดและรู้ที่กายได้หรอกค่ะ อันนี้ใช่หรือเปล่าคะที่คุณจะถาม.


ถาม คือ พิจารณาทุกอย่างที่มากระทบหรือครับ.

ตอบ แค่ดูค่ะดูตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตเราว่าเวลาเกิดผัสสะ มีความรู้สึกอย่างไร เมื่อถึงเวลาจิตพิจรณา จิตจะพิจรณาขึ้นมาเอง
แต่ถ้าคุณอยากจะพิจรณาก็ทำได้นะคะ ไม่ได้ห้าม.


ถาม ครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ขนาดไหน แต่จะพยายามทำครับ.

ตอบ คุณมีเมลล์หรือเปล่าคะ เพราะสามารถคุยทางเอ็มได้หน้าจอจะกว้างกว่านี้.


ถาม ครับผม เอ็มผมไม่ค่อยเปิด. แต่อีเมล์มีครับ.

ตอบ อ๋องั้นไม่เป็นไรค่ะ.
ตอนนี้ เดินกี่นาทีคะ นั่งกี่นาที .


ถาม รอบละประมาณครึ่ง ชม.ครับ.

ตอบ เดินกับนั่ง ใช้เวลาเท่าๆกันหรือคะ.


ถาม นั่งนี่ไม่ได้กำหนดเวลาเลยครับ.

ตอบ แล้วเคยดูเวลาหรือเปล่าคะว่ากี่นาที เวลาเดินกับเวลานั่งน่ะค่ะ.


ถาม เพราะนั่งไปเรื่อยๆ ถอนจากสมาธิ ก็กำหนดสมาธินอนอีกรอบครับ.

ตอบ มิน่า.


ถาม ไม่ได้หรือครับ.

ตอบ ค่ะทำแบบนี้ สมาธิคุณจะมากสติไม่ทันมันจะลุ่มๆดอนๆ.


ถาม เป็นยังงั้นเลยครับ.

ตอบ ค่ะ. ขึ้นๆลงๆ. ลุ่มๆดอนๆ นี่หมายถึง สภาวะของสติ ไม่ใช่สภาวะขึ้นๆลงๆค่ะ.
คือ เมื่อสมาธิมากไป คุณจะไม่สามารถรู้ที่กายได้เช่น กรณีที่คุณสามารถรู้ทั้งความคิดและรู้กายนี่แหละคือสมาธิกับสติสมดุลย์.


ถาม ครับ คงต้องปรับอีก.

ตอบ ลองปรับตัวเองหน่อยนะคะให้ดูเวลา.


ถาม ต้องกำหนดเวลาเท่าๆกันใช่ไหมครับ.

ตอบ เฉพาะ เวลาที่ทำเต็มรูปแบบให้เดินมากกว่านั่ง.
ถ้านอกเวลา ที่ไม่ใช่ทำเต็มรูปแบบ จะทำแบบไหนก็ได้ค่ะ.


ถาม จะพยายาม เดินอีกครับ.

ตอบ ถ้าคุณชอบนั่ง ให้นั่งนอกเวลาที่ไม่ได้ทำเต็มรูปแบบ.


ถาม ช่วงเริ่มต้น เลยไม่อยากหักโหมมากครับตอนนี้ช่วงเช้าก็พยายามเดินครับเพราะเวลาน้อย.

ตอบ คุณคงเข้าใจในการสื่อสารผิดไม่ได้หักโหมค่ะฟังนะคะ.
เวลาทำเต็มรูปแบบคือ มีเดินกับนั่ง ส่วนจะทำวันละกี่รอบ นี่แล้วแต่คุณสะดวก จะวันละครั้งก็ได้.
เวลาทำเต็มรูปแบบ ให้เดินก่อนนั่ง เดินมากกว่านั่ง.


ถาม อย่างนั้นคงได้วันละรอบสำหรับวันธรรมดา.

ตอบ ให้เอาเวลาที่เคยทำ เช่น ครึ่งชม. ให้เดิน ๒๐ นาที นั่ง ๑๐ นาทีส่วนเวลาอื่นๆ คุณจะนั่งอย่างเดียวก็ได้ค่ะ.


ถาม บางทีนั่งแล้ว พอจะถอนออก มันก็ติดครับ.

ตอบ เข้าใจค่ะเพราะสมถะ ทำแล้วจะติด เรื่องปกติถึงไม่ได้ให้เลิกอะไรไงคะ.
เพียงให้ปรับอินทรีย์ ให้คุณเลือกทำตามสะดวก.


ถาม ครับผม ขอบพระคุณมากเลยครับ.

ตอบ อย่างน้อย วันละหนึ่งรอบ คุณต้องทำทุกวัน ทำตอนไหนก็ได้ที่สะดวก.


ถาม ผมฝึกเอง อ่านเองที่บ้าน ไม่ได้ไปฝึกที่ไหน.

ตอบ เข้าใจค่ะ เคยเป็นมาก่อน แล้วไปต่อไม่ถูก.


ถาม ไม่ได้คนที่เข้าใจมาสอนนี่ก็คงงมไปเรื่อยๆครับ.

ตอบ เข้าใจความรู้สึกค่ะผ่านมาหมดแล้ว.


ถาม อยากถามหลายเรื่องครับ แต่กลัวจะโดนดุครับ.

ตอบ ถามได้ค่ะ ไม่ดุหรอกค่ะไม่มีความลับอะไรทุกอย่างล้วนเป็นเพียงสภาวะ.


ถาม คือ บางครั้งผมได้กลิ่นธูป หรือกลิ่นดอกไม้ ในตอนทีปฏิบัติ. ถ้าไปตามวัดก็จะเป็นกลิ่นอื่นครับ.

ถามคนอื่นเขาก็ไม่ได้กลิ่นอะไรผมก็ไม่รู้จะอะไรก็แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลไปามเรื่องราวสภาวะพวกนี้เกิดขื้นได้ใช่ไหมครับ.

ตอบ ได้ค่ะเรื่องปกติค่ะคนที่มีสมถะ จะเจอเหมือนๆกัน เพียงแต่จะใส่ใจหรือไม่เท่านั้นเอง.


ถาม ครับผม ผมแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศล คงไม่ผิดอะไรใช่ไหมครับ.

ตอบ ไม่ค่ะสงสัยก้ให้รู้ว่าสงสัย สักวันคุณจะเข้าใจได้เองค่ะนี่เจอแค่กลิ่น ถ้าเจอเป็นตัวๆ.


ถาม ครับ รอวันหายสงสัยอยู่เหมือนกันครับคงแย่มังครับ ถ้ามาเป็นตัวๆแสดงว่าพี่ก็คงเจอมาบ้างเหมือนกัน.

ตอบ เจอมาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะเป็นตัวๆก็เจอ.


ถาม ครับผม น่ากลัวเหมือนในหนังไหมครับ.

ตอบ ไม่หรอกค่ะ อยู่ที่จิตบางคนเห็นน่ากลัว บางคนไม่ได้เห็นแบบนั้น.


ถาม ครับก็ยังคิดว่า เห็นดีหรือไม่เห็นดี ของพวกนี้.

ตอบ ทุกอย่างล้วนมีเหตุค่ะไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี.


ถาม ก็คิดว่าครูบาอาจารย์ก็เคยเห็น เราจะเห็นบ้างก็คงไม่แปลกก็จะตั้งใจปฏิบัติต่อไปครับ.

ตอบ การปรับอินทรีย์ ลองนำกลับไปทำตามที่แนะนำไปใหม่นะคะ.


ถาม ครับผม ขอบพระคุณมากครับ.

ตอบ ถ้าทำได้แค่วันละรอบก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ส่วนรอบอื่นๆถ้าชอบนั่งก้นั่งไปหมายถึงเวลาทำเต็มรูปแบบ ถ้าทำได้วันละรอบนะคะ.


ถาม ครับบางทีว่างๆผมก็นั่งกำหนดเป็นส่วนใหญ่.

ตอบ ไม่เป็นไรค่ะแต่การปรับอินทรีย์ อย่าทิ้งอย่างน้อยวันละรอบ ต้องทำทุกวัน.


ถาม เอาเฉพาะรอบใหญ่นะครับ.

ตอบ ใช่ค่ะ.


ถาม กำหนดก่อนนอนนับด้วยไหมครับ.

ตอบ แล้วแต่คุณสะดวกทำแบบไหหนก็ได้ค่ะจะนับ จะดูลม จะดูท้องพองยุบ.


ถาม ครับผม ส่วนใหญ่จะกำหนดลม ดูลมครับ. ไม่แน่นอนจริงๆ.

ตอบ ถ้าหลับก็ปล่อยให้หลับไป.
เหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไปสภาวะจึงแตกต่างกันไปจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ทำอยู่.


ถาม ครับ แต่เราไม่รู้เหตุนี่สิครับ ก็เลยทำไปเรื่อยๆ.

ตอบ เพียงเพิ่มเรื่องการปรับอินทรีย์ลงไป อย่างน้อยต้องทำทุกวันๆละรอบก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำอีกหน่อย คุณจะเข้าใจเรื่องเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ.


ถาม ครับผม จะพยายามปฏิบัติส่วนนี้ ให้ได้ครับ.

ตอบ มีข้อห้ามอยู่เรื่องหนึ่ง.
เพียงแต่ คิดว่าเอาไว้ให้คุณปรับอินทรีย์ให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะดีกว่าเพราะข้อห้ามข้อนี้ อาจจะดูยากที่ให้คนเพิ่งเริ่มต้นเจริญสติ มาทำแบบนี้คือ ห้ามตอบโต้ต่อผัสสะที่เกิดขึ้น.


ถาม ครับผมผัสสะ อย่างไรครับ.

ตอบ การกระทบไงคะสิ่งที่มากระทบเช่นโดนคนต่อว่าทั้งๆที่ไม่ได้ผิดหรือโดนอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความไม่ชอบใจ.


ถาม อ่อ ครับ ยากอยู่เหมือนกัน.

ตอบ นี่แหละค่ะวิธีดับเหตุตรงๆอยู่ตรงนี้.


ถาม ส่วนใหญ่ สติจะตามมาทีหลังครับ.

ตอบ เข้าใจค่ะ.


ถาม บางทีโต้ไปแล้วมาพิจารณาโง่จริงหนอ.

ตอบ นั่นแหละค่ะบอกล่วงหน้านะคะจะได้ทำใจเตรียมตัวได้เลย.


ถาม ครับ เจอมาแล้วครับ.

ตอบ เพราะคนที่เข้ามาเส้นทางเจริญสติโดนหมดไม่มียกเว้น.


ถาม ครับผม ขอบพระคุณมากครับขออนุโมทนาในธรรมทานด้วยนะครับ.

ตอบ สาธุค่ะเคล็ดลับนะค เวลาจะตอบโต้ใคร ให้คิดไว้บ่อยๆว่า ทำลงไปภพชาติเกิดแล้ว ต้องอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ทำให้ไม่ชอบใจหรือแม้กระทั่งชอบใจแล้วให้ทำต่อเนื่องทุกๆอย่างจะดีขึ้นเอง.


ถาม ครับผม สาธุครับ.

ตอบ สาธุค่ะมีอะไรสงสัยหรือติดขัดยังไง ถามได้นะคะ. ไปฝากไว้ในบล็อกได้ค่ะ เรื่องคนอื่นๆคิดไม่ต้องไปสนใจ เพราะนี่คือเหตุของเรา.


ถาม ครับผม ถ้าติดอะไรผมจะไปฝากในบอร์ดนะครับ.

อีกอย่างผมชอบวิจารณ์คน นี่ทำยังไงดีครับพอมีคนมาถามแล้วอดไม่ค่อยได้.

ตอบ มันค่อนข้างยาก เพราะทำด้วยความเคยชินใช้เวลาค่ะเจริญสตินี่แหละค่ะคุณวิจารณ์เขา คุณเองก็จะโดนคนอื่นวิจารณ์เช่นกันเจอบ่อยๆ คุณจะเข็ดแล้วเลิกวิจารณ์ผู้อื่นเอง.


ถาม แต่ผมก็ทำแบบใจเป็นกลางนะ บอกข้อดี ข้อเสีย แต่ก็คิดอยู่ว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไร.

ตอบ ข้อดีหรือเสีย นั่นเป็นเพียงความคิดของคุณฝ่ายเดียวไม่ต้องกังวลค่ะรับรองได้ว่า ต่อไปจะมีเหตุให้คุณเลิกพฤติกรรมแบบนี้ไปเอง.


ถาม ครับผม คงต้องพยายามละ เลิกครับสาธุครับ.

ตอบ สาธค่ะไว้คุยกันใหม่นะคะ.


ถาม ครับขอบพระคุณอีกครั้ง สละเวลาให้ผมนานมากเลย.

ตอบ การสนทนาเพื่อเกื้อกูลที่เป็นเหตุให้ดับทุกข์ และการสร้างเหตุของการไม่เกิด เป็นสิ่งที่มีคุณค่าค่ะ ไม่ได้เสียเวลาอะไรค่ะ.


ถาม ครับ ขออนุโมทนาครับ.

ตอบ สาธุค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2011, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม เข้ามาอ่านเนื้อหาในนี้แล้วประทับใจ ได้ความรู้ สว่างขึ้นอีกหลายระดับเลยค่ะ
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ที่แบ่งปันสิ่งดี ๆ เหล่านี้ ไว้ให้ได้มีโอากาสเรียนรู้่และศึกษาด้วยค่ะ

ชื่อ ปู นะคะ (ปัจจุบันอายุ 36 ปี) ^^ เริ่มแก่ละ …ส่วนตัว เพิ่งจะได้มีโอกาสรู้จักธรรมะ
ที่แท้จริง ธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ….มองข้ามสิ่งนี้ไปนาน เข้าใจแต่ว่า เป็นคนดี คิดดี
ทำดี …ทำบุญตามโอากาสสะดวก อยู่ในศีลธรรมอันดี แค่นั้น ก็เพียงพอแล้ว ….ใช้ชีวิตลั้นลา
พอสมควรค่ะ …^^ …พอมาพบทางสงบ สุขที่แท้จริง ( ด้วยเหตุบังเอิญ หลาย ๆ อย่างประกอบกันค่ะ ) วันวันเกิดครบรอบ 36 ปี พอดีในปีนี้ 4/7/2554 ….วิถีการดำเนินชีวิต ค่อย ๆ ปรับสู่ความเรียบง่ายขึ้นตามลำดับค่ะ ….แต่เป็นการยากมาก สำหรับเปลี่ยนคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูก ๆ ที่ปูเอง เลี้ยงเค้ามาแบบ สุขสบาย จนเคยตัวกันไปแล้ว….แต่ก็ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปค่ะ เพราะปรกติ ก็ทำบุญ ไปวัด เป็นปรกติ เค้าก็จะอยู่ในทางธรรม อยู่แล้ว ….เพียงแต่ส่วนอื่น ๆ ค่อนข้างฟุ้งเฟ้อ พอสมควร (55++) ………..เด็ก ๆ เค้าเข้าใจง่าย และ น้อมรับไปปรับปรุงตนเอง ทีละนิด ละน้อย …ตามสภาวะเด็ก ๆ อ่ะค่ะ …^^

ตอบ อนุโมทนาค่ะ

ในโลกของตามความเป็นจริง ทุกรูปทุกนาม หรือที่เรียกว่าทุกสรรพสัตว์ ไม่มีคำว่าเพศ, วัย มาเป็นเหตุปัจจัยในการเห็นตามความเป็นจริง มีแต่เหตุที่เราทำขึ้นมานี่แหละค่ะ ที่ทำให้ได้เห็นตามความเป้นจริงช้าเร็วแตกต่างกันไป เพราะเหตุที่ทำมา


ถาม สวัสดีค่ะ…^^ ปูมารบกวนพี่อีกแล้วนะคะ…^^ ตอนนี้ไปลงเรียนโยคะมาค่ะ เพื่อเป็นการออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ ฯลฯ พอดีเจอครูคนหนึ่งสอนดีมากเลยค่ะ ท่านแทรกเรื่องการทำสมาธิเจ้ามาด้วย แต่ไม่เยอะ..เพราะท่านเข้าใจดีว่าบางคนไม่ชอบ …(น่าแปลกใจดีค่ะ)

ส่วนใหญ่ ปูก็ฝึกสมาธิทุก ๆ เวลาของระหว่างวัน เท่าที่จะทำได้ ฝึกรู้ มีสติ อยู่กับตัว ลมหายใจตามแต่โอกาศค่ะ บางวันก็ไม่ได่้เลย จิตตก ฟุ้งซ่าน ปัญหาสารพัดรุมเร้า….แต่ก็ผ่านมาได้ มีปัญหาก็ฝึกไปด้วยค่ะ ^^

มาติด ๆ ตอนนั่งสมาธิกลางคืน (ทำได้ไม่กี่ครั้งเองค่ะ 2 เดือนที่ผ่านมา ประมาณ 6 ครั้ง) 3-15 นาทีใน 3 ครั้ง แรก 40-1 ชม. ในครั้งถัด ๆ มา ( ตอนเลิกนึกว่าได้เท่าเดิม 10-15 นาที แต่พอดูนาฬิกา ก็ประหลาดใจเหมือนกันค่ะ ) ในแต่ละครั้งหลัง ๆ ที่เริ่มนานขึ้น เหตุที่เลิกก่อน ไม่ใช่เพราะทนนั่งไม่ไหวนะคะ ( ครั้งแรก ๆ มีอาการเหน็บชา ก็เรียนรู้ว่าเหน็บชา ตรงไหน ผ่อนคลายหายใจสบาย สักแป๊ป ก็หายค่ะ เบาโล่งไปค่ะ) แต่เพราะมีเสียง และ ภาพ ที่ ตนเองไม่สามารถผ่อนคลายได้ค่ะ …และมีความกลัวเข้ามาแทนที่ค่ะ ดังนี้ค่ะ
*** พอกราบหมอนนอน หลับตาเห็นแสงระยิบ เหมือนดาว ไกลๆ มองเห็นหมอนที่หนุนนอน ลาง ๆ ในความมีด ลองจับตา ว่าหลับอยู่ ลุกขึ้นมาดูลูกสาวที่นอนข้าง ๆ ก็ ok ไม่ได้ฝัน
จึงนอนหลับตา ก็เหมือนเดิม ก็ท่องพุทธโธหลับไป ค่ะ …..( อันนี้ไม่กลัว แสงสวยดี )

**** รู้สึกเหมือนเหวี่ยงลงไปด้านขวา ในขณะนั่งสมาธิอยู่ และมีเสียงดังก๊อก ๆ ในตู้เสื้อผ้า…จิตเริ่มกลัว ใจเต้นแรง ขนลุก หายใจเข้าสบาย ออกสบาย อยู่สักครู่ก็ไม่หาย เลยหยุดค่ะ

***** ตกใจ เพราะได้ยินเสียงคุณพ่อ (นอนอยู่อีกห้อง) ตะโกนไล่ “ไป ” เสียงดังมาก เลยเป็นห่วงท่าน ว่ามีอะไรหรือเปล่า ( ประมาณเกือบตี 1 ) ลุกไปดู สำรวจบ้าน ก็ปรกติดีอยู่ ไฟห้องท่านก็ปิด ..เลยเข้านอน เช้ามาถาม..ว่าเมื่อคืนนี้ได้ยินเสียงพ่อ ท่านบอกว่าฝันว่า ขี่มอเตอร์ไซด์อยู่แล้วมีหมาดำ กระโจนเข้ามากัด… ท่านเอามือปัดเต็มแรง และไล่มันไปค่ะ…

***** นั่งได้สักแป๊ป เห็นแสงเล็ก ๆ ไกล ๆ สักแป๊ป ก็ขุ่น ๆ ใกล้ ๆ ใหญ่ขึ้น แล้วแหวกออกตรงกาง มีภาพเหตุการณ์เคลื่อนไหวอยู่ในนั้น วิ่งไปทางด้านขวา ( ก็เห็นแล้ววาง ๆ ) ก็หายไป แล้วก็มาใหม่ ก็ทำซ้ำเดิม ๆ สักพักรู้สึกไม่มีสมาธิ เพราะฟุ้งไปถึงโทรศัทพ์ใหม่ที่ซื้อมา อยากเล่น ก็เลย …ระลึกถึงองสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่พอนึกได้ ขอน้อมรับพระธรรม มาใส่ตน เพื่อพบทางสว่างแห่งธรรมะ ที่แท้จริง เคารพในพระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติดีแล้ว….ยังไม่ทันจบดี ได้ยินเสียงสวดมนต์ ของคนจำนวนมาก แว่วเข้าหูซ้ายมา ….ขนลุก ใจเต้นแรง ตกใจ…..ทำสมาธินิ่ง ๆ ก็ไม่นิ่ง แต่เสียงสวดมนต์นั้นก็หายไปแล้ว ….ก็เลยกราบหมอน แล้วเข้านอน….ค่ะ

สำหรับตอนนี้ ก็ตั้งมั่นในการพบทางสว่างที่แท้จริง ต่อไปค่ะ .. ถ้ามีโอกาศในชาตินี้ ก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่บังคับตนเองค่ะ …ทำไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ไม่หวังจนเกินไป ^^ สวดมนต์ก่อนนอน นั่งสมาธิบ้างมีโอกาส สะดวกค่ะ….เพราะบางทีงานเยอะ กลับบ้านดึก….หรือพาลูกเข้านอนพร้อมกัน สวดมนต์แล้ว พาเค้านอน แล้วหลับตามกันไปค่ะ ^^….

จากเรื่องที่เล่า ๆ มานี้ พี่มีความคิดเห็น หรือ แนะนำอย่างไร ยินดีนะคะ….จะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่หลงทิศทางค่ะ……^^ .ขอบคุณมาก ๆ นะคะ

ตอบ ปรับอินทรีย์ค่ะ นอกนั้นไม่มีอะไร ส่วนเรื่องสภาวะต่างๆที่คุณนำมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องปกติของสมาธิ ที่บางคนอาจจะเจอ บางคนอาจจะเจอ บางคนเจอแต่ไม่รู้ว่าเจอก็มี เพราะไม่ได้ใส่ใจ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


K.Poo พี่ยุ่งอยุ่หรือเปล่าคะ
walai lo says คุยได้ค่ะ


K.Poo อยากถามเรื่องหนึ่งก่อน ปูจะสวดมนต์ก่อน มี อิติปิโส ชินบัญชร พาหุงมหาฯ แล้วแผ่เมตตา แล้วนั่งสมาธิ 1-2 ครั้งแรก ได้แค่ ห้านาที ถึง สิบนาที ประมาณนี้
walai lo says ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ทำตามสภาวะไปก่อน เมื่อถึงเวลา จะเข้าที่เข้าทางเองค่ะ


K.Poo แต่พอมา หลัง ๆ ก็คิดว่า 15 นาทีมั้ง แต่ก็ได้เกือบ ชม' ทั้ง ๆ ที่บางที รู้สึกไม่นิ่งเลย คิด ๆ ๆ อะไรไม่รู้
พอตัดสินใจเลิก ก็ได้ ประมาณ 40-50 นาที มีอาการโคลงเคลง เล็กน้อย รอบหลัง ๆ ( ประมาณครั้งที่ 8-9) แต่ไม่เห็น หรือ ได้ยินอะไรแล้ว แต่สมาธิไม่มีเลย และมีอาการกลัว ๆ ปน
walai lo says เรื่องปกติค่ะ เพราะยังไม่รู้ชัดในสภาวะ เรื่องกลัวก็ปกติ กลัวก็ให้รู้ว่ากลัว


K.Poo เวลาหลับตา แต่ความรู้สึกเหมือนลืมตา ใช่ไหมคะ
walai lo says ใช่ค่ะ

K.Poo เหมือนเรามองในที่กว้าง ๆ มืด สลัว
walai lo says เหมือนลืมตามองภายในเปลือกตาที่กำลังหลับตาอยู่

K.Poo บางครั้งมีแสงเหมือนเปิดไฟ มาจากด้านบน สว่าง แค่เหนือคิ้ว เหมือนเปิดไฟ ตอนแรกคิดว่าใครเปิด ก็ลืมตาดู
walai lo says ถ้าสมาธิมากจะส่วางมาก สมาธิน้อยจะสลัวๆ บางครั้งดูเหมือนมืดแต่ภาพที่มืดเป็นภาพใสๆแบบกระจกเงา เรื่องปกติของสมาธิค่ะ

K.Poo มันมีแสงแล้ว แหวกออก ตรงกลาง เห็นภาพใส ๆ เคลื่อนไหวในกระจกนั้น ไปอย่างเร็ว เหมือนวิ่งไปทางขวา
walai lo says แล้วแต่กำลังของสมาธิค่ะ ไม่มีอะไร

K.Poo หลัง ๆ มานี้ หลังจากได้อ่าน ได้ฟัง เพิ่มเติม ปูก็ ยอมรับตามจริง แค่เห็น ก็เห็น รู้ พอใจคิดว่า ยอมรับตามจริง สิ่งที่เคยแปลก ๆ แทบไม่ปรากฎ เหลือแต่ โอนเอนไปข้างหน้า
walai lo says อ๋อ อาการโอนเอน สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดได้ทั้งนั้นแหละค่ะ รู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้นเท่านั้นเองค่ะ

K.Poo เท่ากับว่า ปูก็ฝึกนั่งไปแบบนี้เรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ
walai lo says ทำตามสภาวะจะเห็นรายละเอียดต่างๆและรู้แจ้งชัดในสภาวะต่างๆด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นไปได้ ถ้าทำได้นะคะควรเดินก่อนนั่งเพื่อปรับความสมดุลย์ของสมาธิน่ะค่ะ

แต่ถ้าทำไม่ได้ เพราะชอบนั่ง ก็ไม่เป็นไรค่ะ สภาวะของแต่ละคน แล้วแต่เหตุที่ทำมา เมื่อถึงเวลา สภาวะจะบีบเราเอง หมายถึงเมื่อถึงเวลา จะมีเหตุให้หันมาปรับอินทรีย์ค่ะ

K.Poo ปูกลับบ้านดึก กว่าจะถึง บางที 3 ทุ่ม นั่งปั่นงาน อีก กว่าจะขึ้นบ้านประมาณ เกือบเที่ยงคืน
walai lo says ทำแบบนีสิคะ เวลาเข้าบ้าน ขณะที่เดินหรือทำอะไรอยู่ ให้กำหนดรู้ในสิ่งที่กำลังทำ กว่าจะอาบน้ำ สวดมนต์ ได้สติเพิ่มเองค่ะ

K.Poo แวะเล่น โยคะ ก่อนด้วย อันนี้ช่วยได้ใช่ไหมคะ
walai lo says ช่วยได้ค่ะ

K.Poo ปูไหล่ติด เนื่องจากทำงานนั่งทั้งวัน แขนซ้าย ปวดมาก แทบขยับไม่ได้ ปูไปลงเรียน โยคะ ไว้ด้วย เห็นว่าช่วยเรื่องสมาธิ ปรับสมดุลร่างกาย
walai lo says ค่ะ พี่ถึงบอกไง แล้วแต่เหตุ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะทุกอย่างต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง พี่เพียงแนะนำเพิ่มเติมให้เท่านั้นเองค่ะ

K.Poo says ขอบคุณพี่มาก ๆ นะคะ แล้วปูจะมาขอปรึกษาอีกนะคะ
walai lo says ยินดีค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากรบกวนถามเกี่ยวกับการปฏิบัติของดิฉัน ซึ่งเพิ่งได้รับการแนะนำวิธีจากกัลยาณมิตรมาว่า
ให้จับอารมณ์พระนิพพานเอาไว้

ภายนอกก็ทำปกติไป แต่ให้รักษาจิตให้ว่างโปร่งเบาไว้ แบบนี้ถือว่าใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติได้ไหมคะ เนื่องจากเวลานั่งสมาธิมีความเคยชิน จากการเพ่งลมหายใจจนอึดอัด

แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า อารมณ์ว่าง ๆ ภายในจิตของดิฉันเป็นมหาสุญญตา ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ




คำถาม ให้จับอารมณ์พระนิพพานเอาไว้ ภายนอกก็ทำปกติไป แต่ให้รักษาจิตให้ว่างโปร่งเบาไว้ แบบนี้ถือว่าใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติได้ไหมคะ


ตอบ ได้ค่ะ



ถาม แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า อารมณ์ว่าง ๆ ภายในจิตของดิฉันเป็นมหาสุญญตา ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ


ตอบ ไม่ใช่ทั้งมหาสุญญตาและอากาสาฯค่ะ



"เธอพึงทำให้บริบูรณ์ในศิล พึงเจริญสมถะและวิปปัสนาอยู่เนืองนิตย์ เป็นผู้ไม่ห่างเหินจากฌาน พอกพูนแต่ในสุญญาคารเถิด"

สภาวะของมหาสุญญตา คือ สภาวะที่รู้ชัดอยู่ในกายและจิต(รูปนาม)เนืองๆค่ะ เป็นเหตุให้วิปัสสนาญาณเกิดตามลำดับขั้นค่ะ (ญาณ ๑๖)

การที่จะรู้ชัดในกายและจิตได้ มีรายละเอียดอีกต่างหากค่ะ คือ ต้องทำมิจฉาสมาธิให้เป็นสัมมาสมาธิ




สภาวะของอากาสาฯ เป็นสภาวะของฌานค่ะ เป็นสภาวะที่ใช้การเพ่งอากาศหรือเพ่งความว่าง จนจิตเป็นสมาธิค่ะ เป็นเพียงกดข่มกิเลสไว้ชั่วคราว ด้วยอำนาจของสมาธิค่ะ

สภาวะอากาสาฯดีนะคะไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่ยังเป็นมิจฉาสมาธิ ให้ปรับอินทรีย์โดยเพิ่มอิริยาบทเดินมากกว่านั่ง จนกว่าจะเกิดสภาวะรู้สึกตัวขณะที่จิตเป็นสมาธิ คือ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

ตุมฺเหหิ กิจิจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา

ปฏิปนฺนา ปโมกิขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา

ท่านทั้งหลาย จงรีบทำความเพียร เพื่อเผากิเลสให้สิ้นไปจากขันธสันดาน เพราะพระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้ชี้บอกทางให้เท่านั้น

เมื่อชนเหล่าใดปฏิบัติตามทางที่ตถาคตชี้บอกไว้แล้ว เพ่งด้วยฌานทั้ง ๒ คือ อารัมมนูปนิชฌาน ลักขนูปนิชฌาน ได้แก่ เจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

ชนเหล่านั้น ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร กล่าวคือ วัฏฏะเป็นในภูมิ ๓




ส่วนลักษณะสภาวะที่คุณใช้การใช้ความว่างเป็นอารมณ์ สภาวะจะเหมือนสภาวะนี้ค่ะ

การปฏิบัติ เมื่อภาวนาว่า รูปนามๆ กำหนดแบบนั้นยังไม่ทันปัจจุบัน ไม่ทันรูปนาม



การปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรค ผล นิพพานจริงๆ หลักสำคัญมีดังนี้ คือ

๑. ได้ปัจจุบัน คือ ทันรูปนาม

๒. เห็นรูปนาม คือ รู้รูปนาม

๓. เห็นพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ที่จะเห็นพระไตรลักษณ์ ต้องเห็นรูปนามเสียก่อน ผู้ที่จะเห็นรูปนามได้ ก็ต้องกำหนดให้ได้ปัจจุบัน

๔. ต่อจากนั้นวิปัสสนาญาณก็จะเกิดขึ้น จนกระทั่งถึงมรรค ผล นิพพาน เป็นปริโยสาน




ส่วนสภาวะของคุณเองที่นำมาถาม เป็นเพียงรักษาอารมณ์ของความว่างไว้เท่านั้นเองค่ะ


ขอเพิ่มเติมตรงนี้นะคะ

เนื่องจากเวลานั่งสมาธิมีความเคยชิน จากการเพ่งลมหายใจจนอึดอัด

ตอบ เพราะคุณไปบังคับจึงเกิดความอึดอัด ทำไมไม่หายใจปกติแบบที่คุณหายใจล่ะคะ แค่รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกเท่านั้นเอง ง่ายๆคือ เคยหายใจแบบไหนก็หายใจแบบนั้นแหละค่ะ



วิธีสร้างสมาธิให้เกิด มีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องนั่งในท่าขัดสมาธิเสมอไป

การทำให้สมาธิเกิด มีหลายวิธี ซื่งมีอยู่ในอิทธิบาท ๔


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค


ฉันทสมาธิ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุอาศัยฉันทะแล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต นี้เรียกว่า ฉันทสมาธิ

เธอยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้บาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น

เพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เหล่านี้เรียกว่า ปธานสังขาร

ฉันทะนี้ด้วย ฉันทสมาธินี้ด้วย และปธานสังขารเหล่านี้ด้วย ดังพรรณนามานี้ นี้เรียกว่า อิทธิบาท
ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร.


ฉันทสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดขึ้นจาก ทำตามสัปปายะที่ถูกจริตของตัวเอง ทำตามอิริยาบทที่ตัวเองถนัด ไม่จำเป็นจะต้องนั่งในท่าขัดสมาธิเสมอไป ในอิริยาบทอื่นๆก็สามารถทำให้เกิดสมาธิได้


อิริยาปโถ-อิริยาบถ

แม้ในอิริยาบถ ๔ บางคนมีอิริยาบถเดินเป็นที่สบาย บางคนมีอริยาบทนอน อิริยาบทยืนหรืออิริยาบทนั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่สบาย เพราะฉะนั้น โยคีบุคคลพึงทดลองอิริยาบถนั้นๆอย่างละ ๓ วัน เหมือนกับทดลองที่อยู่

ในอิริยาบถใด จิตยังไม่ตั้งมั่น ย่อมตั้งมั่น หรือจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น พึงทราบว่าอิริยาบทนั้น ชื่อว่าเป็นอิริยาบถเป็นที่สบาย อิริยาบถอื่นๆนอกจากนี้ ไม่ใช่เป็นอิริยาบทที่สบาย



โภชนะ-อาหาร

อาหารที่มีรสหวาน ย่อมเป็นที่สบายสำหรับบุคคลบางคน ที่มีรสเปรี้ยว ย่อมเป็นที่สบายสำหรับบุคคลบางคน

แม้อากาศเย็นก็เป็นที่สบาย สำหรับบุคคลบางคน อากาศร้อนเป็นที่สบาย สำหรับบุคคลบางคน

เพราะฉะนั้น เมื่อโยคีบุคคลส้องเสพอาหารหรืออากาศชนิดใด จึงมีความผาสุกสบาย หรือจิตที่ยังไม่ตั้งมั่นย่อมตั้งมั่น หรือจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น

อาหารชนิดนั้นและอากาศชนิดนั้น ชื่อว่าเป็นที่สบาย อาหารและอากาศชนิดอื่น นอกจากนี้ชื่อว่าไม่เป็นที่สบาย



อาวาส-ที่อยู่

เมื่อโยคีบุคคลอยู่ ณ ที่ใด นิมิตหมายเกิดขึ้นด้วย ย่อมถาวรมั่นคงด้วยสติ ย่อมตั้งมั่นในนิมิตนั้น จิตก็เป็นสมาธิ ที่อยู่เช่นนี้ชื่อว่า ที่อยู่เป็นที่สบาย เพราะฉะนั้น ในวัดใดที่มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน ในวัดเช่นนั้น

โยคีบุคคลพึงอาศัยทดลองดู แห่งละ ๓ วัน ณ แห่งใดทำให้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ ก็พึงอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเถิด จริงอยู่ เพราะเหตุได้ที่อยู่เป็นที่สบาย



วิริยสมาธิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุอาศัยวิริยะแล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิตนี้ เรียกว่า วิริยสมาธิ
เธอยังฉันทะให้เกิด ฯลฯ เพื่อความเจริญบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เหล่านี้เรียกว่า ปธานสังขาร
วิริยะนี้ด้วย วิริยสมาธินี้ด้วย และปธานสังขารเหล่านี้ด้วย ดังพรรณนามานี้ นี้เรียกว่า อิทธิบาทประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร.


วิริยสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดจากความเพียรพยายามทำให้เกิดขึ้น ได้แก่ กรรมฐาน ๔๐ กอง



จิตตสมาธิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุอาศัยจิตแล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต นี้เรียกว่า จิตตสมาธิ เธอยังฉันทะให้เกิด ฯลฯ เพื่อความเจริญบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเหล่านี้เรียกว่า ปธานสังขาร

จิตนี้ด้วย จิตตสมาธินี้ด้วย และปธานสังขารเหล่านี้ด้วย ดังพรรณนามานี้ นี้เรียกว่า อิทธิบาทประกอบด้วยจิตตสมาธิ และปธานสังขาร.


จิตตสมาธิ
เป็นสมาธิที่เกิดจากการกำหนดต้นจิต




วิมังสาสมาธิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุอาศัยวิมังสาแล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิตนี้เรียกว่า วิมังสาสมาธิ

เธอยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้บาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความไม่เลือนหาย

เพื่อความเจริญยิ่งๆขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เหล่านี้เรียกว่าปธานสังขาร วิมังสานี้ด้วย วิมังสาสมาธินี้ด้วย และปธานสังขารเหล่านี้ด้วย ดังพรรณนามานี้
นี้เรียกว่า อิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร.


วิมังสาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดจากการนำเรื่องธรรมะต่างๆมาพิจรณา เช่น ขันธ์ ๕ ปฏิจจสมุปปบาทฯลฯ


เหตุของแต่ละคนแตกต่างกันไป แนวทางการปฏิบัติจึงมีข้อปลีกย่อยแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัยของบุคคลนั้น ใช่ว่าปฏิบัติแบบเดียวกันจะได้ผลหรือสภาวะเหมือนกัน

สมาธิทุกคนน่ะมีอยู่แล้ว เพียงแต่วิธีที่จะนำสมาธิที่มีอยู่นั้นออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร หากจับจุดได้ถูก การทำจิตให้ตั้งมั่นหรือทำให้เป็นสมาธิไม่ใช่เรื่องยาก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2011, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


24 กันยายน
สมิทธ์
ครับผม เมื่อคืนผมลองเพิ่มเป็น 4 ระยะ ก็รู้สึกดีครับ เพราะจริงๆผมเริ่มต้นฝึกคล้าย 3 ระยะอยู่แล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ พอเป็น 4 ระยะ ก็คิดว่ารู้สึกดีกว่าเดิมครับ เลยคิดว่าจะฝึกสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยเพิ่มระยะที่ 5 ต่อครับ

29 กันยายน
Walai Lo
เวลานั่งตอนที่ทำแบบเต็มเวลาเป็นอย่างไรบ้างคะ

สมิทธ์
ผมเสียศูนย์ไปพักนึงครับพี่ คือไปคาดหวัง ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ปรับใหม่เริ่มดีเหมือนเดิมแล้วครับ ช่วงนั้น ทั้งเครียดแล้วก็หงุดหงิดตัวเองเลยครับ

Walai Lo
ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่เป็นค่ะ หลายๆคนก็เป็นแบบคุณ พอรู้เรื่องสภาวะ ทำให้เกิดความอยาก

สมิทธ์
ครับ ก็มีคนแนะนำ เลยวางใจใหม่ ก็ปกติแล้วครับ เริ่มสงบ แล้วก็ปล่อยให้มันแค่รู้แล้วครับ

Walai Lo
เพียงทำแบบที่เคยทำ แล้วเพิ่มเดินจงกรม หมั่นสังเกตุดูสภาวะเวลานั่งว่าเป็นยังไง บางคนใช้เวลาเป็นปี บางคนใช้เวลาไม่กี่วัน ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา ตอนนี้สร้างเหตุใหม่ ใช้เวลาค่ะ

สมิทธ์
ครับ นั่งก็จิตรวมเร็วขึ้นครับ แต่อย่างที่บอกครับ ไปเพ่งไปคาดเดา เลยเกิดปัญหาเลยครับ ตอนนี้ปล่อยตามธรรมชาติแล้วครับ แค่รู้แล้วพยายามไม่สมาธิลึกเกินไป ไม่รู้ว่าคิดถูกไหมครับ
คือ ตอนนี้ผมพยายามไม่ตัดวิตก วิจารณ์ ให้อยู่ประมาณฌาณแรกไว้ครับ

Walai Lo
แบบไหนหรือคะ อย่าไปติดบัญญัติค่ะ เพียงดูตามสภาวะ

สมิทธ์
ครับผม คือ พอหลงไปช่วงนั้น เลยไม่แน่ใจว่าทำถูกไหม เลยพยายามไม่ให้ดิ่งมาก พยายามดึงไว้น่ะครับ

Walai Lo
คุยแบบนี้ ยากจัง เพราะว่าไม่รู้ชัดในรายละเอียดสภาวะของคุณ เอาเป็นว่า แบบนี้นะคะ ให้ดูเวลานั่งรอบใหญ่
ให้ดูเวลานั่ง นั่งแล้ว เวลาจิตเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัวเกิดขึ้นร่วมด้วยมั๊ย เช่น มีความคิดเกิด รู้ว่าจิตมีความรู้สึกยังไงบ้าง มีรู้การเคลื่อนไหวของกายส่วนอื่นๆมั๊ย ถ้ามีสภาวะแบบนี้ สามารถใช้เวลานั่งตามนั้นได้ แล้วค่อยๆเพิ่มเวลานั่ง

สมิทธ์
ก็มีบ้างนะครับ เรืองคิด หรือความเคลื่อนไหวของร่างกาย

Walai Lo
ถ้ามี ให้รู้ไปตามนั้นค่ะ ถ้สจิตมีชอบหรือชังเกิดขึ้น ให้รู้ไปตามนั้น ไม่ต้องไปวิพากย์วิจารณ์อะไร

สมิทธ์
ครับ ดูเฉยๆนะครับ แค่รู้สภาวะใช่ไหมครับ

Walai Lo
ใช่ค่ะ แค่รู้ไไปว่าสภาวะมีอะไรบ้าง แค่นั้น ถ้าได้ยินเสียงชีพจรเต้นชัด เรื่องปกตินะคะ แม้กระทั่งกล้ามเนื้อสั่นๆไม่ต้องตกใจ

สมิทธ์
ครับผม แต่ยังไม่รู้ชัดขนาดนั้นครับ แต่ก็กำหนดรู้สภาวะกายพอได้ครับ

Walai Lo
เรื่องสมาธิ ไม่ต้องไปกดข่มหรือไปฝืนอะไรนะคะ ถ้ามีดิ่งบ้าง ปล่อยไปตามนั้น

สมิทธ์
อ่อครับ งั้นก็ปล่อยตามสภาวะนะครับ

Walai Lo
ใช่ค่ะ สภาวะของจิตมีสภาวะที่ละเอียด ค่อยๆเรียนรู้ไปค่ะ ระวังเรื่องเหตุภายนอก

สมิทธ์
ครับผม จะพยายามตั้งใจปฏิบัติครับ เข้าไปอ่านบล๊อกพี่บ่อยๆก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากครับ

Walai Lo
ติดขัดตรงไหน ถามได้นะคะ สภาวะทั้งหมด เพียงแค่รู้ ถ้ายังมีให้ค่า ยอมรับไปตามนั้น ไม่ต้องไปปฏิเสธ พอคาดเดาไปแล้ว เจอความไม่เที่ยงบ่อยๆ จะค่อยๆเลิกให้ค่าหรือเลิกคาดเดาไปเองค่ะ

สมิทธ์
ตอนนี้ผมลองจงกรมเพิ่มเป็น 6 ระยะแล้วนะครับ คิดว่าทำให้ปฏิบัติได้ง่ายขึ้นมากเลยครับ

Walai Lo
สติน่ะค่ะ ทำต่อไปค่ะ แล้วจะเข้าใจมากขึ้นเอง


07 กันยายน

สมิทธ์
สวัสดีครับพี่ ช่วงนี้ยังเรื่อยๆครับ ไม่ค่อยมีสภาวะอะไรเลยครับ

Walai Lo
เวลานั่งเป็นยังไงบ้างคะ

สมิทธ์
นั่งสมาธิส่วนใหญ่จะว่างๆโล่งๆ

Walai Lo
รู้ในกายได้หรือเปล่าคะ หรือรู้แค่โล่งๆว่างๆ

สมิทธ์
ครับ ส่วนใหญ่มันว่างๆเฉยๆ

Walai Lo
เพิ่มเดินนะคะ หมายถึงเวลาทำรอบใหญ่ ลดนั่งลงด้วยค่ะ

สมิทธ์
ครับจะพยายามให้ถึง ชม. เพิ่งได้ถึง ชม.รอบเดียวเอง

Walai Lo
หมายถึงอะไรคะ ชม.เดียว

สมิทธ์
ที่เดินน่ะครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 40นาที

Walai Lo
นั่งกี่นาทีคะ

สมิทธ์
ส่วนใหญ่จะเท่าๆกันครับ

Walai Lo
เคยแนะนำไปแล้วนี่คะ เรื่องปรับอินทรีย์ ว่าขอไว้รอบใหญ่รอบนึง ส่วนรอบอื่นๆ ถ้าชอบนั่ง ก็นั่งได้ตามสะดวก

สมิทธ์
ครับ ต้องนั่งครึ่งๆเลยหรือครับ

Walai Lo
แบบนี้น่ะคะ ไม่ใช่ครึ่งๆ คือถ้าเดิน ๔๐ นาที นั่ง ๒๐ นาทีพอ

สมิทธ์
ครับ ถ้า ชม.นั่งเท่าไรครับ

Walai Lo
ถ้าชม. นั่ง ๒๐ นาทีก่อนค่ะ ขอดูสภาวะก่อน ดูว่า เวลาเป็นสมาธิ สามารถรู้ชัดในกายได้มั่งไหม หรือยังว่างๆโล่งๆอีก

สมิทธ์
ครับผม นั่งไม่เกิน 20นาทีนะครับ แล้วช่วงอื่นผมเดินด้วยได้ไหม

Walai Lo
ถ้าเดินได้ ยิ่งดีค่ะ คือ ถ้าเดินก่อนนั่งได้ยิ่งดี ถ้ามีเวลาพอนะคะ

สมิทธ์
ครับผม จะพยายามจัดเวลาเดินให้มากขึ้นครับ เดินนี่ควรกำหนดกี่จังหวะดีครับ ตอนนี้ผมเดินแบบ ซ้าย ย่าง หนอ อยู่ครับ

Walai Lo
ถามนะคะ เวลาเดินมีเซไหม หรือว่ารู้ที่เท้าได้ชัดดี

สมิทธ์
มีบางครั้งครับ แต่ส่วนใหญ่รู้ชัดดี

Walai Lo
ฝึกเดินเอง หรือไปที่วัดมาคะ

สมิทธ์
เดินเองครับ อ่านๆ ดูยูทูป แล้วก็ทำครับ

Walai Lo
ค่ะ หลักการเดินแบบกำหนด เป็นการฝึกสติ คือ เป็นการกำหนดต้นจิต ให้เกิดความรู้ตัวก่อนที่จะเดิน

สมิทธ์
ผมก็กำหนดยืนหนอ 3 ครั้งครับ แล้วก็เดิน

Walai Lo
ทำแล้วถนัดไหมคะ

สมิทธ์
ก็ถนัดครับ ทำจนชินแล้วครับ เลยไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนดีไหมครับ

Walai Lo
ถ้าต้องการเดินให้ครบ ๖ ระยะก็ได้ค่ะ แต่จริงๆแล้ว หลักการเดินจริงๆคือ เดินรู้เท้า นั่งรู้กาย มีแค่นี้เอง

สมิทธ์
รู้เท้านี่รู้ครับ แต่นั่งรู้กายนี่ยัง

Walai Lo
ทำตามสภาวะไปค่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นอยากทำเพราะความอยาก

สมิทธ์
ครับผม ช่วงนี้สภาวะที่มีก็เป็นสภาวะเบื่อแหละครับ แต่พอเริ่มปฏิบัติก็หาย

Walai Lo
สมาธิมีส่วนช่วยค่ะ สภาวะเบื่อจะมีตั้งแต่สภาวะหยาบจนกระทั่งละเอียด

สมิทธ์ สุขขี
ก็พยายามทำไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ

Walai Lo
ใช่ค่ะ รู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้น เพียงคอยดูเรื่องสมาธิว่ารู้กายได้ไหม

สมิทธ์
ถ้ามันคิดก็ปล่อยไปใช่ไหมครับ

Walai Lo
ใช่ค่ะ

สมิทธ์
ถ้านำเอาการพิจารณามาช่วยได้ไหมครับ

Walai Lo
จะใช้ก็ได้ค่ะ หรือไม่ใช้ก็ได้ เพราะปกติสิ่งที่จิตคิดขณะที่เป็นสมาธิ เป็นการคิดตามความเป็นจริงของสภาวะตัวเราเองอยู่แล้ว เวลาความคิดเกิด ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ จะคิดเรื่องเดิมๆซ้ำๆ แต่การคิดแต่ละครั้งจะมีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สมิทธ์
ครับ ผมก็รู้สึกอย่างนั้น

Walai Lo
นี่แหละค่ะ ที่เรียกว่าจิตคิดพิจรณาตามความเป็นจริง มันจะเห็นรายละเอียดข้อปลีกย่อยชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

สมิทธ์
ครับ ก็พยายามพิจารณาเรื่องสักกายทฺิฐฐิ ให้เห็นตามความจริง นอกนั้นก็มีเพี๊ยนๆเรื่องปรามาสพระรัตนตรัยครับ ก็พยายามแก้ไขอยู่

Walai Lo
อ๋อ เรื่องปกติค่ะ เจอทุกคน

สมิทธ์
ครับผม พอดีดูในเน็ต ก็พอเข้าใจครับ เลยไม่ได้รบกวนถามพี่

Walai Lo
มันเป็นกิเลสน่ะค่ะ ยิ่งเราห้ามไม่ให้คิด มันจะยิ่งคิด เราห้ามเพราะความกลัว เหตุที่กลัวเพราะกลัวมีผลต่อการปฏิบัติ

สมิทธ์
ครับ มีวิธีขจัดมันเร็วๆไหมครับ

Walai Lo
ความอยากไงคะ ความหวังผลใรการปฏิบัติทำให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เป็นแค่คุณคนเดียว

สมิทธ์
ครับบางทีก็คิดเหมือนกันครับ

Walai Lo
ยิ่งคุณให้ค่ากับสภาวะนี้มากเท่าไหร่ มันยิ่งแสดงให้เห็น

สมิทธ์
ดูๆต้องสู้อีกหลายยกครับ

Walai Lo
นี่แค่สภาวะหยาบๆเองนะคะ สตินี่แหละค่ะ ถึงให้ปรับอินทรีย์

สมิทธ์
ครับผม กำลังตัดสินใจว่าปิดเทอมจะไปฝึกครับ

Walai Lo
คุณอยู่แถวไหนคะ

สมิทธ์
ฉะเชิงเทราครับ อ.เมือง

Walai Lo
จะไปปฏิบัติที่ไหนหรือคะ

สมิทธ์
ที่เชียงใหม่ วัดพระธาตุศรีจอมทอง ดีไหมครับ

Walai Lo
ไปไกลจัง

สมิทธ์
พอดีมีน้องที่เชียงใหม่ชวนครับ เห็นว่าเป็นหลานท่านเจ้าคุณครับ

Walai Lo

ไม่ลองฝึกที่ใกล้ๆล่ะค่ะ เมืองชลก็มีค่ะ วัดภัททันตะ สอนแบบเดียวกัน สัปปายะดีด้วยค่ะ อนู่ในหุบเขา

สมิทธ์
มีเพื่อนแนะนำเหมือนกันครับ พี่ว่าเป็นยังไง

Walai Lo
ไปใกล้ๆดีกว่ามังคะ

สมิทธ์
อ่อ ครับ งั้นผมอาจจะเอาที่ชลก็ได้

Walai Lo
วัดนี้ดีนะคะ ใกล้ด้วย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนาน พระวิปัสสนาจารย์ก็มี สัปปายะก็ดี มีห้องพักแยก ถ้าเราไม่ต้องการพักรสมกับใคร คือ ถ้าต้องการเก็บอารมณ์

สมิทธ์
ครับผม เพื่อนผมที่ชลบุรีเขาแนะนำเหมือนกัน

สมิทธ์ สุขขี
ตอนแรกก็คิดจะไปวัดป่าอัมพวันที่ชลบุรี แต่เห็นว่าฝึกเอง ก็เลยสองจิตสองใจ อยากฝึกแบบมีครูบ้างน่ะครับ

Walai Lo
ที่นี่แหละค่ะ ดีแล้ว ใกล้ด้วย

สมิทธ์
ครับผม งั้นผมไปที่พี่แนะนำ ขออนุญาตแฟนไว้แล้ว เขาไปเที่ยวสิงคโปร์ ผมจะไปวัดหลังจากเขากลับมาครับ

Walai Lo
อนุโมทนาค่ะ

สมิทธ์
ขอบคุณมากครับ อนุโมทนากับพี่ด้วยครับ

Walai Lo
สาธุค่ะ


สมิทธ์
จำเป็นไหมต้องเดินแค่ระยะที่ ๑ เดินทั้ง ๖ ระยะเลยได้ไหมครับ

Walai Lo
ดีค่ะ ได้รับข้อความแล้ว
การเดินแต่ละระยะ การเริ่มต้นเหตุที่ให้เริ่มจากระยะที่ ๑ เพื่อปรับอินทรีย์ เมื่อสติตั้งมั่นหรือมั่นคง เดินรู้เท้าชัด ไม่มีส่าย ไม่มีอาการหัวทิ่ม จึงจะเพิ่มเป็นระยะที่๒
แต่ถ้าไปที่วัดมหาธาตุ พระที่สอนจะใช้วิธี ใช้ปากท่อง ส่วนเท้าก็ก้าวตามปากที่ท่องไปด้วย ไม่ได้ใช้ใจรู้ อีกหน่อย คุณไปปฏิบัติที่วัดภัททันตระ จะเข้าใจมากขึ้นค่ะ



16 กันยายน
สมิทธ์
แล้วคำที่พี่เคยพูดกับผมว่า มันจะมีเหตุที่ให้ผมหยุดปากไวใจเร็วเกิดขึ้นก็เป็นจริงจนได้ แต่ก็คิดว่ามันคงจะผ่านไปด้วยดีนะครับ เป็นบทเรียนใหญ่ของความอวดดื้อ ถือดีของผมเอง
วันนี้โดนเต็มๆครับพี่ เราคิด เราพูด มันไม่ได้หมายถึงเขา แต่เขาคิดมาก

Walai Lo
นั่นแหละค่ะ ทุกอย่างมันมีเหตุ

สมิทธ์
ก็ยอมรับครับ ต่อไปการที่จะทำอะไรกระทบใครนี่ ต้องคิดให้มาก ใช้สติให้มาก

Walai Lo
ผู้ที่เข้ามาเส้นทางเจริญสติ กรรมส่งผลไวค่ะ และทุกอย่างคือบททดสอบ ไม่มีข้อยกเว้นว่า จะเพิ่งเข้ามาเส้นทางนี้

สมิทธ์
ครับบทใหญ่เลย แต่ผมไม่อยากเชื่อตัวเอง จะอดกลั้นได้ ปกติผมก็ใจร้อนพอควรครับ

Walai Lo
เข้าใจค่ะ ถ้าคุณตอบโต้หรือพยายามอธิบาย เหตุย่อมไม่จบ

สมิทธ์
ครับ ก็ยอมรับผลของกรรมที่เกิดครับ แต่ก็เป็นบททดสอบที่ดีอันหนึ่งเลยครับ

Walai Lo
ยังไม่จบค่ะ บททดสอบ

สมิทธ์
จะมีอีกหรือครับ บทนี้ผมก็แทบจะแย่เลยนะครับ

Walai Lo
มีค่ะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เจอตลอดค่ะ

สมิทธ์
ครับผม ก็คงต้องพยายามและอดทน ใช้สติเข้าสู้มังครับ

Walai Lo
ทั้งสติและสมาธิ ล้วนเป็นอาวุธ คุณอย่าลืมว่ากำลังสร้างเหตุของการดับทุกข์

สมิทธ์
ครับผม เป็นอาวุธที่ยอดมาก ทำให้ผ่านมาด้วยดี

Walai Lo
ค่ะ เราเท่านั้นที่จะรู้ได้ดีที่สุด

สมิทธ์
ต่อไปคงต้องพยายามดับที่เหตุ ไม่งั้นก็จะมีบททดสอบแบบนี้อีก

Walai Lo
เหตุมีทั้งภายนอกและภายใน ภายในคือกิเลส ที่ส่งผลมาให้เป็นการกระทำที่ภายนอก


สมิทธ์
กิเลสตัวนี้เราจะจัดการหรือควบคุมมันยังไงหรือครับ

Walai Lo
เจริญสตินี่แหละค่ะ แล้วคุณจะรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง เพียงภายนอกคุณอย่าตอบโต้หรือคิดแก้ไขอะไร

สมิทธ์
ครับ จะพยายามใช้สติ สมาธิในการแก้ปัญหา ผมก็ไม่คิดนะครับ จุดเล็กจะทำให้เกิดปัญหามากขนาดนี้ แต่ก้ทำให้ได้รู้ถึงจิตใจคนมากขึ้นครับ

Walai Lo
รู้ชัดในตัวเองดีกว่าค่ะ ภายนอกนั่นเหตุของคนอื่นเขา รู้ชัดภายในตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจภายนอกมากขึ้นเท่านั้น

สมิทธ์
ครับผม แต่บางทีสติมันก็ไม่ทันเหมือนกันครับ คงต้องพยายามอีกมากครับ

Walai Lo
ทำต่อไปค่ะ ยังต้องเจออะไรอีกเยอะ ขึ้นอยู่กับเหตุที่เราทำมา

สมิทธ์
ครับ แต่ผมอันนึงที่สงสัยมานาน แต่ไม่กล้าถาม

Walai Lo
ถามได้ค่ะ สงสัยตรงไหนคะ

สมิทธ์
เรื่องสภาวะกายครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมาย การเห็นสภาวะกาย มีลักษณะหรืออารมณ์อย่างไรครับ

Walai Lo
สภาวะที่เกิดขึ้นขณะจิตเป็นสมาธิใช่หรือเปล่าคะ

สมิทธ์
ครับผม มันเกิดขึ้นเอง หรือเราต้องพิจารณาเอาครับ

Walai Lo
เกิดเองค่ะ สติต้องมากกว่าสมาธิหรือเสมอสมาธิค่ะ

สมิทธ์
ผมขอตัวอย่างนิดได้ไหมครับ

Walai Lo
สภาวะของคุณตอนนี้สมาธิมากกว่าสติ เพราะมีแต่ความสงบ ไม่สามารถรู้ถึงการเคลื่อนไหวในส่วนอื่นๆของกายได้ ถึงได้แนะนำให้คุณเดินก่อนที่จะนั่ง

สมิทธ์
ตอนนี้ก็เริ่มรุ้แล้วครับ แต่ก่อนตอนร่างกายโยกโคลง ผมจะไม่รู้ ตอนนี้จะรู้แล้วครับ

Walai Lo
แล้วจะรู้ชัดในส่วนอื่นๆมากขึ้นค่ะ เช่น ท้องพองยุบ เสียงหัวใจเต้น เสียงการเต้นของชีพจร

สมิทธ์
อันนั้นยังเลยครับ สภาวะลม ก็เริ่มรู้ชัดครับ วันนั้น ลมหาย แต่ไม่จะทำไรต่อ ก็เลยวิ่งหาลมครับ

Walai Lo
วิ่งหาทำไมคะ

สมิทธ์
ไปตามดูครับ

Walai Lo
ลมหายใจไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ละเอียดมากขึ้นแล้วจับไม่ได้เท่านั้นเอง

สมิทธ์
เพิ่งเคยเลยไม่รู้จะทำไงดีครับ ลมก็เลยหยาบอีก แต่ก็มีสติรู้นะครับ ตอนที่ลมหายไป

Walai Lo
เพิ่มเดินขึ้นไปอีกค่ะ แล้วลดนั่ง

สมิทธ์
ถ้ามันเกิดอีก ผมควรทำอย่างไรต่อครับ

Walai Lo
ถ้าลมหาย หายก็ให้รู้ว่าหาย ไม่ต้องไปตามดึงกลับมา แค่รู้พอค่ะ

สมิทธ์
ครับผม ก็ดูเฉยๆใช่ไหมครับ

Walai Lo
แล้วถ้ายังสงบ ไม่สามารถรู้ชัดในกายส่วนอื่นๆได้ ยังคงต้องเพิ่มเดินต่อไปค่ะ แล้วลดนั่ง เพิ่มเดิน ลดนั่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ชัดในการเคลื่อนไหวของกายส่วนอื่นๆ เช่น ท้องพองยุบ

สมิทธ์
ครับผม ต้องฝึกแบบอริยาบทย่อยด้วยไหมครับ

Walai Lo
ถ้าทำได้ ทำนะคะ

สมิทธ์
ครับเดี๋ยวจะลองหาแบบฝึก

Walai Lo
สภาวะของคุณแก้ไขไม่ยาก พียงเพิ่มการปรับอินทรีย์ หมั่นสังเกตุตัวเองเวลานั่ง

สมิทธ์
สังเกตุอย่างไรครับ

Walai Lo
คือ จับเวลาน่ะค่ะ ใช้วิธีตั้งเวลา เช่น เดิน ๑ ชม. นั่ง ๑๐ นาที คอยสังเกตุสภาวะเวลานั่ง

สมิทธ์
ตอนนี้เดิน 40 นั่ง 20 อยู่ครับ แต่นั่งชอบเกิน ไม่ได้ตั้งเวลา

Walai Lo
ลดนั่งลงไปอีกค่ะ เหลือ ๑๐ นาทีพอ ต้องตั้งเวลาค่ะ ไม่งั้นสภาวะคุณจะเป็นแบบนี้

สมิทธ์
ครับงั้นผมจะเดินสัก 50-60นาทีแล้วนั่งให้น้อยลง

Walai Lo
นั่ง ๑๐ นาทีพอนะคะ รู้กายชัดได้เมื่อไหร่ ค่อยเพิ่มนั่ง

สมิทธ์
ครับผม

Walai Lo
ลองดูแบบนี้นะคะ ดูว่าเห็นท้องพองขึ้น ยุบลง ตามลมหายใจเข้าออกไหม

สมิทธ์
ผมไม่ได้ภาวนายุบหนอ จะเกี่ยวไหมครับ ลมก็จับที่ปลายจมูกเป็นส่วใหญ่

Walai Lo
ไม่เกี่ยวค่ะ ไม่มียุบหนอพองหนอ ท้องก็พองขึ้นยุบลงเวลาที่หายใจปกติอยู้แล้วค่ะ
คุณลองสังเกตุดู เวลาลมหายใจหายไป ท้องยังคงพองขึ้นเวลาหายใจเข้า ท้องแฟ่บลงเวลาหายใจออก คุณยังเข้าใจสมาธิไม่ชัดเจน

สมิทธ์
ครับผม ผมจะลองจับดูอีกครับ แต่ผมดูแล้วมันเหมือนหยุดนิ่งไปเลย ก็เลยไม่แน่ใจเท่าไรครับ
แต่สมาธิเราอยู่จุดอื่นจะเกี่ยวไหมครับ

Walai Lo
สมาธิไม่เกี่ยวกับจุดอะไร ถ้าเกิดแล้วเกิดเลย คุณไปจ้องจับ มันฝืน เลยกลายเป็นอั้นลมหายใจ ทำแบบเดิมน่ะค่ะดีแล้ว ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกัน แค่ปรับอินทรีย์อย่างที่แนะนำไป

สมิทธ์
ครับผม จะพยายามอีกครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะรายงานครับผม

Walai Lo
เดี๋ยวคุณไปปฏิบัติที่วัดภัททันตะ คุณจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ ทำแล้วถนัดหรือไม่ถนัด คุณจะรู้เอง

สมิทธ์
ครับผม ยังไงก็ขอบพระคุณมากครับ สำหรับคำแนะนำดีๆที่มีให้ครับ

Walai Lo
ทำต่อเนื่องนะคะ แล้วค่อยมาสนทนากันใหม่


๕ กย.

Walai Lo
เป็นอย่างไรบ้างคะ

สมิทธ์
ยังเหมือนเดิมครับ ไม่ก้าวหน้าเท่าไร

Walai Lo
จะรู้ว่าก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ดูเวลาที่เกิดการกระทบค่ะ ส่วนการปฏิบัติ เพียงทำต่อเนื่องค่ะ ไม่ต้องไปคาดหวัง

สมิทธ์
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรกระทบเท่าไรครับ ก็เลยชี้วัดอะไรไม่ค่อยได้

Walai Lo
การกระทบมีตลอดเวลา เพียงแต่ว่าคุณจะรูัทันหรือเปล่าค่ะ
ส่วนการนั่ง อย่างที่แนะะนำไป เวลาปฏิบัติหลัก ให้ดูเรื่องสมาธิ ว่าเวลาเป็นสมาธิแล้ว สามารถรู้ที่กายได้บ้างหรือเปล่าเท่านั้นเองค่ะ


สมิทธ์
ก็พอรู้บ้างครับเรื่องสภาวะกาย แต่ผมก็คิดว่ายังไม่ค่อยชัดนัก ช่วงนี้มีเผลอหลับด้วยครับ

Walai Lo
ไม่เป็นไรค่ะ รู้มากหรือน้อย ทำต่อเนื่องไป จะรู้ชัดขึ้นเรื่อยๆเองค่ะ

สมิทธ์
คือ พอกำหนดมากไป มันเหมือนจะเร่งน่ะครับ ไม่รู้ว่าทำให้เครียดเกินแล้วหลับหรือเปล่า

Walai Lo
เร่งยังไงหรือคะ

สมิทธ์
คือ พอพยายามพิจารณากายมากๆน่ะครับ ปกติความรู้ชัดนี่ต้องเกิดเองไหมครับ

Walai Lo
เกิดเองค่ะ ไม่ต้องพิจรณาอะไร

สมิทธ์
งั้นผมก็ทำอานา ตามปกตินะครับ

Walai Lo
สติกับสมาธิสมดุลย์เมื่อไหร่ จะรู้เอง ส่วนจะรู้ได้มากหรือน้อยก็อยู่ที่ความสมดุลย์ ทำไปปกติน่ะค่ะ แค่รู้ แล้วดูเรื่องเวลานั่ง เรื่องสมาธิ แล้วคอยปรับอินทรีย์เท่านั้นเอง

สมิทธ์
อานานี่ไม่ต้องกำหนด ยุบหนอ พองหนอ ใช่ไหมครับ

Walai Lo
ทำแบบไหนถนัด ทำแบบนั้น่ะค่ะ

สมิทธ์
กำหนดรู้ ลมเข้า ออก เหมือนปกติได้ใช่ไหมครับ

Walai Lo
ได้ค่ะ แค่รู้ ส่วนท้องพองยุบน่ะ เป็นธรรมชาติของกายที่มีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ถ้าจะรู้เดี๋ยวรู้เองค่ะ

สมิทธ์
ครับผม บางทีกังวลเหมือนกัน ไม่รู้ทำถูกหรือเปล่า

Walai Lo
เข้าใจค่ะ ทำแบบที่บอกไปน่ะค่ะ รู้ชัดในกาย จะรู้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นานมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการทำต่อเนื่อง ไม่ต้องไปจดจ้องดู แค่รู้ไปตามปกติ

สมิทธ์
ครับผม ถ้ามีปัญหาหรือก้าวหน้ายังไงจะบอกคุณพี่นะครับ ตรงรู้นี่บางทียากเหมอืนกันนะครับ

Walai Lo
ยากเพราะรู้มากน่ะค่ะ รู้ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วแค่รู้ รู้แบบปกติ ไม่ต้องไปจดจ้องหรือคอยเพ่งดู คืออะไรเกิด รู้ไปตามนั้นแค่นั้นเอง ส่วนจิตจะรู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้น ไม่ต้องไปฝืน

สมิทธ์
ครับผมจะพยายาม แค่รู้นี่เหมือนง่าย แต่ก็ทำยากทุกทีครับ คอยคิดว่าทำไงต่อทุกทีครับ

Walai Lo
เข้าใจค่ะ เคยเป็นมาหมดแล้วทั้งนั้น สภาวะเลยไม่ไปไหน เพราะไม่รู้ว่าแท้จริงควรทำยังไง สุดท้ายถึงบางอ้อ ติดอยู่แค่ความอยากรู้ แต่ไม่รู้ว่าอยาก แล้วความอยากเป็นตัวปิดกั้นปัญญาให้เกิด

สมิทธ์
ครับผม ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆก็ไม่ง่ายเลยนะครับ จริงๆก็คือให้รู้แค่นั้นนะครับ

Walai Lo
ใช่ค่ะ แค่รู้ จิตจะนึกคิด รู้สึกอะไรยังไง แค่รู้ ไม่ต้องไปกดข่ม การกดข่ม กดข่มแค่เรื่องเหตุภายนอก ให้ระวังตรงนี้เพราะมีผลต่อสภาวะภายใน ทั้งภายในและภายนอกต่างมีเหตุและผลซึ่งกันและกันค่ะ

สมิทธ์
ข่มภายนอกอย่างไรนะครับ ความคิดที่ส่งมาจากภายนอกหรือยังไงครับ

Walai Lo
อ๋อ ภายนอกที่ให้ข่ม หมายถึงเรื่องเหตุค่ะ เช่นเวลามีการกระทบแล้วเกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ โดยเฉพาะความไม่ชอบใจนี่ตัวเหตุใหญ่

สมิทธ์
อ่อ ครับ กระจ่างละขอบคุณมาครับ

Walai Lo
ส่วนภายในใจ รู้สึกยังไง รู้ไปตามนั้น เพราะยังมีกิเลส เป็นเรื่องปกติ ภายนอก อย่าก่อเหตุ ให้ระวัง

สมิทธ์
ครับ บางทีจิตมันปรุงแต่งมาก ก็พยายามใช้สติข่มได้ไหมครับ หรือปล่อยให้มันคิดไป

Walai Lo
ข่มภายนอกค่ะ ภายในปล่อยให้เป็นอิสระ แค่รู้และยอมรับไปตามความเป็นจริงว่ามีกิเลส
ถ้าไปกดข่มกิเลสภายในไม่ให้เกิด สภาวะจะเปลี่ยนไปทันที แต่เป็นกิเลสตัวเดิมมาทดสอบใหม่ จนกว่าเราจะยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เป็นอยู่ สภาวะจะดำเนินต่อไปตามเหตุของสภาวะ

สมิทธ์
อ่อ ครับ ผมถึงว่าทำไมคิดแต่เรื่องเดิมๆ

Walai Lo
เป็นแบบนั้นค่ะ ถ้ายังไม่ปล่อยให้จิตเป็นอิสระ คือ อิสระภายใน ภายนอกหยุดการกระทำ

สมิทธ์
ครับผม คงต้องลองกำหนดใหม่

Walai Lo
ทำไปก่อนนะคะ ไว้ค่อยสนทนากันใหม่ สภาวะต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจและรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้ไปค่ะ ไม่ต้องไปคาดหวัง แต่ถ้ามีคาดหวัง ก็ให้ยอมรับไป ไม่ต้องไปฝืน

สมิทธ์
ครับผม ขอบพระคุณพี่มากครับ สำหรับคำแนะนำ จะพยายามยึดเป็นแนวปฏิบัติครับ

Walai Lo
ค่ะ แล้วเจอกันใหม่ สวัสดีค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร