วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 23:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


- สถานที่ปฏิบัติธรรม
แนะนำรายชื่อสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั่วประเทศ
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=9

- รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=30



กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
"

อริยะบุคคลขั้นโสดาบันก็ยังไม่มีศีลที่บริสุทธิ ทำได้เพียงข้อเดียว คือ งดสุรา เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ศีลข้อนี้เป็นการทำผิดอย่างหยาบที่สุด (กายกรรม) เหล้าไม่เข้าปากก็ไม่ผิด ส่วนศีลข้ออื่นเป็นการทำผิดที่ละเอียด คือ ทั้งทางกาย วาจา ใจ หรือพูดง่ายๆ ว่า แค่คิดก็ผิดแล้ว

ข้อที่กลาวมาข้างต้นนี้..ก็ถูกต้องแล้วหรือ??..ครับ..คุณปฐมกรรม


อ้างคำพูด:
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ อวิชชายังถูกกำจัดไม่หมด หญิงแลเห็นชายชายแลเห็นหญิง หรือดูหนังเห็นพระเอกหล่อนางเอกสวย ใจมันก็ไปแล้ว อริยบุคคลเว้นพระอรหันต์ จึงยังผิดศีลได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีพระอรหันต์เท่านั้นที่มีศีลบริสุทธิ์

...


คงต้องเข้าไปเรียนมาใหม่ให้ถูกต้อง..แล้วมั้งครับ..อย่างไรจึงเรียกว่า..ผิดศีล

ใจ..ที่ขยับจะผิดศีล..นั้นมันกิเลส..มันเป็นตัวอวิชชา
ส่วน..ใจ..ที่ระงับดับ..ความอยากที่จะผิดศีล..นี้มันเป็นสัมมาวายามะคือเพียรชอบ..ข้อที่ 2 ใน 4 ข้อ..เป็นมรรค..

หากใจคิดผิดศีลไปก่อนแล้ว..แล้วกลับใจไม่ทำ..แม้เป็นความด่างพร่อย..แต่ศีลก็ยังสมบูรณ์อยู่..ไม่ขาด..

ผิดศีล..กับ..มีกิเลส...และ..ศีลบริสุทธิ..กับ..จิตบริสุทธิ..อย่าเอามาบนกัน..นะครับ
พิจารณาดูให้ดี

โสดาบัน..ยังมีกิเลสอยู่..แต่ศีลของท่านสมบูรณ์..
ท่านใช้ศีลคุมกิเลสไม่ให้ออกมาเพ้นพ่านทางกาย..เบียดเบียน..ให้เป็นที่เดือดร้อนชาวบ้านชาวช่องเขา..นะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 27 ก.ย. 2010, 23:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติ คือ เหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ ทุกอย่างต้องประกอบด้วยเหตุปัจจัยมาประชุมกัน ดั่งคำว่า "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ"

ศีล คือ การประพฤติทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นเป็นเหตุเป็นปัจจัย การผิดศีล ประกอบด้วยการผิดทางกระกระทำ การพูด และการคิด เป็นอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความเห็นในทางที่ผิด คือ โลภะ โทสะ โมหะ ที่อยู่ในใจ หรือ กองสัญญาที่เป็นส่วนของอวิชชา

ศีลของโสดาบันบุคคล เกิดจากการข้ามความเห็นไปได้ (ละสักกายะ) ที่กล่าวกันว่า ศีลของโสดาบันมั่นคง เพราะมันสั่งมาจากจิตใต้สำนึก หรือมาจากสัญญาที่เป็นส่วนของวิชชา แต่เนื่องจากโลภะ โทสะ โมหะ ยังไม่หมดไปจากใจ เพียงแต่เบาบางลง หรือส่งอิทธิพลต่อความคิดลดลงเท่านั้น

แต่เมื่อเหตุปัจจัยของการทำผิดศีลยังไม่หมด ยังส่งผลต่อความคิดได้อยู่ โสดาบันบุคคลจึงผิดศีลได้อยู่ โดยเฉพาะการผิดอย่างละเอียด แต่ชีวิตปกติจะไม่ทำผิดศีลโดยเฉพาะอย่างหยาบ แต่หากโสดาบันโดนกระทบแรงๆ หรือประมาท ก็ทำผิดได้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด

ส่วนข้อสุราเมรัย เป็นการผิดเพียงอย่างหยาบอย่างเดียว ชัดเจนว่าเหล้าไม่เข้่าปากก็ไม่ผิดแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเป็นศีลข้อเดียวที่พึงจะรักษาให้บริสุทธิ์ได้

ถ้าไม่โกหกตัวเอง พิจารณาธรรมตามธรรม จึงมีแต่อรหันต์เท่านั้นที่จะมีศีลที่บริสุทธิ์ได้ เพราะท่านดับ โลภะ โทสะ โมหะ ได้หมดไม่เหลือ ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรที่จะทำให้ท่านทำผิดศีล ทั้งอย่างละเอียด อย่างกลาง หรืออย่างหยาบ

ในขณะโสดาปัตติมรรค ผู้ธัมานุสารีหรือสัทธรานุสารี มีปัญญาสัมมาทิฏฐิขั้นต้น คือ รู้จักบุญ รู้จักบาป ฯ ก็เริ่มมีศีล แต่ไม่มั่นคง เพราะยังประกอบด้วยความเห็นผิดมาก ยังต้องรักษาศีล เมื่อปฏิบัติถึงโสดาปัตติผล ศีลก็มั่นคงขึ้นมา หรือเป็นผู้มีศีล แต่ยังไม่บริสุทธิ์ ต่อเมื่อถึงอรหันตผลศีลจึงจะบริสุทธิ์จริงๆ หรือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

สรุปว่า ถ้าฝึกตนถูกทางถูกธรรม ศีลจะเกิดขึ้น และบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลังของปัญญาที่เพิ่มขึ้น เพราะปัญญาเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดศีล หรือ ความคิดเห็นที่ถูกเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดพฤติกรรมที่ถูก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ให้อริยสาวกละศีลและพรต ให้ปฏิบัติไป ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 00:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: เห็นด้วยกับคุณ Supareak Mulpong ค่ะ แต่อธิบายไม่ถูก เคยได้ยินมาเหมือนที่คุณพูด คุณอธิบายนี่ละค่ะ เห็นด้วยจริง ๆ คนเราต้องมีศีล รักษาศีล ไม่ตะหนี่ ไม่ริษยา ไม่ทุศีลค่ะ ขอบคุณข้อความดี ๆ ที่แบ่งปันค่ะ :b8: :b8:

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="Supareak Mulpong"]"จงเป็นผู้มีศีลเถิด" พระพุทธองค์ตรัสวลีนี้ หมายถึง ศีลขันธ์อันเป็นอริยะ

อริยะบุคคลขั้นโสดาบันก็ยังไม่มีศีลที่บริสุทธิ ทำได้เพียงข้อเดียว คือ งดสุรา เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ศีลข้อนี้เป็นการทำผิดอย่างหยาบที่สุด (กายกรรม) เหล้าไม่เข้าปากก็ไม่ผิด ส่วนศีลข้ออื่นเป็นการทำผิดที่ละเอียด คือ ทั้งทางกาย วาจา ใจ หรือพูดง่ายๆ ว่า แค่คิดก็ผิดแล้ว

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ อวิชชายังถูกกำจัดไม่หมด หญิงแลเห็นชายชายแลเห็นหญิง หรือดูหนังเห็นพระเอกหล่อนางเอกสวย ใจมันก็ไปแล้ว อริยบุคคลเว้นพระอรหันต์ จึงยังผิดศีลได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีพระอรหันต์เท่านั้นที่มีศีลบริสุทธิ์

tongue
อย่างนี้คุณจขกท ก็น่าจะเป็นอริยะบุคคลขั้นโสดาบัน ไปแล้ว...
...ถ้าการปิดอบายภูมิ ง่ายขนาดนี้ เหตุไฉน การกำเนิดของสัตว์เดรัจฉานจึงมากมายกว่าการกำเนิดเป็น "มนุษย์"
อยากถาม คุณจขกท ว่าการจะปฏิสนธิเป็น "มนุษย์" ต้องทำเหตุเช่นไร
และวัตถุประสงค์ของการถือศีล 5 เพื่ออะไร...

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกพราหมณถือศีล ๕ เพื่อที่จะทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายขึ้น ศีลแบบนี้ ไม่ได้ทำให้พ้นนรกเดรัจฉานไปได้ เพราะไม่ได้ดับเหตุของการลงทุคติภูมิลงเลยแม้แต้น้อย (โลภะ โทสะ โมหะ) เป็นเพียงการกดข่มไว้ที่ปลายเหตุเท่านั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า การเชื่อว่า สามารถบริสุทธิ์ได้ด้วยศีล เชื่อว่าสามารถพ้นนรกได้ด้วยศีล เป็นสีลพตปรามารส ที่เชื่อกันว่า ถือศีบครบแล้วจะได้กลับมาเกิดเป็นคน ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ชีวิตมีจำนวนมาก ที่มาเกิดเป็นคนกันในตอนนี้ เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นอะไรต่อมิอะไรมานับปีไม่ถ้วน กว่าจะกลับมาเกิดเป็นคนได้ ก็ต้องรอให้ใช้บาปหมดจนบุญเหลือมากกว่าบาป เหมือนที่พระพุทธองค์อุปมาในเรื่องเต่าตาบอด

การกตายจากคนแล้วกลับมาเกิดเป็นคนนั้น เป็นเรื่องยากที่สุด ต้องบุญสูงสุด คือ สำเร็จเป็นอริยบุคคล เป็นผู้มีศีล ในที่นี้หมายถึงศีลในมรรค ๘ (สัมมาวาจา สัมมากำมันตะ สัมมาอาชีวะ) เป็นศีลที่เกิดจากโลกุตระปัญญา (สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ) พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อริยสาวกคือผู้ที่พ้นแล้วจากภัยเวรทั้ง ๕ ประการ พ้นนรกเปรตเดรัจฉานแน่นอน นอกจากนั้นส่วนมากตายไปแล้วลงนรกเหมือนถูกจับโยนลงไป

พวกถือศีล คือ พวกไม่มีศีล พวกที่มีศีล ไม่ต้องถือ ไม่ต้องแบก ... ศีลแปลว่าปกติ หรือ พฤติกรรมของคน มาจากนิสัย และนิสัยมาจากการสั่งสมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมานับชาตินับภพไม่ถ้วน เก็บไว้ในความทรงจำ ซึ่งจิตใช้เป็นฐานของความรู้ความคิด เป็นฐานข้อมูลที่กลับมาสั่งคนให้คิดให้ทำไปตามข้อมูลที่สะสม เพราะฉะนั้น คนเราจริงๆ จึงสั่งตัวเองไม่ได้ มันมีข้อมูลในจิตเป็นตัวสั่ง ... ตัวเราจริงๆ นั้นจึงไม่มี

พระพุทธองค์ตรัสให้อริยสาวกปฏิบัติเพื่อประหาร โลภะ โทสะ โมหะ ไป ให้ละศีลและพรต เมื่อโลภะ โทสะ โมหะ ลดลงไปทีละนิด ศีลก็จะเกิดขึ้นกับผู้นั้นทีละนิด ผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสมควารแก่ธรรม รู้จักใช้ปัญญาประหารกิเลส ก็จะมีศีลขึ้นมาในระดับจิตใต้สำนึก จึงไม่ต้องถือศีล หรือกลายเป็นคนดีโดยถาวร โลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนทำชั่วและเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะฉะนั้น ศีลจึงถูกอุปมาเหมือนเครื่องประดับในธรรมวินัยนี้ มันเป็นเพียงเป็นผลพลอยได้จากการเดินทางไปนิพพานเท่านั้นเอง

ในพระไตรปิฏก ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้รักษาศีลเพื่อเป็นอุปการะต่อการวิปัสสนา ท่านตรัสสอนพระอริยสงฆ์ ศีลที่ว่่า หมายถึงศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่ใช่ศีล ๕

พวกที่ให้คนไปถือศีล คือ พวกที่ไม่รู้จักศีล ไม่รู้จักที่มาของศีล เข้าใจว่า คนจะดีได้ด้วยศีล เลยกลายเป็นการออกข้อกำหนดหรือข้อบังคับ ดูดีๆ แล้ว เหมือนการตีกนอบตีกรงให้คนอยู่ เหมือนจับปูใส่กระโด้ง ธรรมชาติของปูที่ไม่อยู่นิ่ง เหมือนกับธรรมชาติของจิตที่ต้องเป็นไปตามอำนาจของกิเลส เป็นการฝืนธรรมชาติ

ก็แปลว่า คนพวกนี้มองคนอื่นเป็นเดรัจฉาน มองตัวเองเป็นพระเจ้า เพราะไปสั่งเขา เพราะไปตีกรงให้เขาอยู่ เพราะไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริง พอคนดีไม่ได้ ก็มีแต่ข้อสงสัย ว่า ทำไมศีลแค่ ๕ ข้อทำไม่ได้(ฟะ) และจะเริ่มมองคนต่างความคิดเป็นศัตรู

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 00:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนจะดี..มันก็มีที่มาที่ไป..

คนหมดกิเลส..ก็มาจากคนมีกิเลส..นั้นแหละ

ทีนี้..คนมีกิเลส..จะหมดกิเลสได้นี้...มันก็มี..1..2..3...เป็นฐานให้ก้าวขึ้นที่สูงไปเรื่อย ๆ

ไม่มีฐาน...ยอดก็ตั้งอยู่ไม่ได้

กว่าจะเป็นอธิศีล....มันก็มาจากความเพียรพยายามรักษาศีลนี้แหละ...

แต่คนที่เอาแต่กอดฐาน..ไม่ก้าวต่อ..มันก็ไปไม่ถึงยอดนะซิ....นี้แหละ..สีลลัพตปรามาส..มันหลงผิดซะก่อน

อีกอย่าง...ก็เรื่องการเกิด...

ชาติมี..เพราะ..มีภพ...

ภพมี..เพราะ..มีอุปาทาน

อุปาทานมี..เพราะ..มีตัณหา

หากยังมีตัณหา...อุปาทาน ..อยู่..ภพก็ย่อมยังมีอยู่...ทั้งสุคติภูมิและทุคติภูมิ..ก็อยู่ในภพนี้นี่แหละ

การจะได้ไปภพไหน..ก็อยู่ที่จิตขณะนั้นมีอุปาทานในภพใด

โอกาสที่จะมีอุปาทานหรือ..ความยึด..ในสิ่งใด ๆ ได้นั้น..ก็ขึ้นอยู่กับว่า..เราคุ้นเคยกับอะไรมากกว่ากัน

คุ้นเคยกับอะไรมาก ๆ หรือแรง ๆ ..โอกาสที่มันจะยึดก็มีมากกว่าอย่างอื่น

นี้งัย..ที่คนฉลาดแล้วเขาจึงสอนให้คนที่ยังไม่ฉลาด....ให้หมั่นรักษาศีล..มั่นทำบุญทำทาน..มีปฏิบัติภาวนา...ทำให้บ่อย ๆ ..ให้เป็นนิสัย...

แม้ศีลจะยังไม่เป็นอธิศีลอย่างพระอริยะเจ้า...แต่ทำความดีจนเป็นนิสัย..จิตจับความดีได้ง่าย..โอกาสไปดีก็มีสูง...

หรือแม้แต่..เกิดจิตตก...ไปทุคติ...แต่ก็ไปได้ไม่นานหรอก...บาปกรรมมันก็มีแรงกับไม่แรงเหมือนกัน...เมื่อกรรมหมด..บุญก็เข้ามาสนองได้..บุญที่เคยทำใว้เมื่อยังไม่ใช้ก็ไม่ได้หายไปไหน

ส่วนที่ว่า..ต้องสำเร็จอริยะบุคคลแล้วจึงเกิดมาเป็นคนได้นั้น....เป็นความเห็นที่ผิด

อริยะบุคคลนี้คือตั้งแต่..โสดา..สกทาคา..อนาคา..จนถึง..อรหันต์...นะจึงเรียกอริยะบุคคล

ถ้าอย่างนั้น..คนทุกคนที่อยู่บนโลกนี้..มิเป็นอริยะบุคคลไปหมดแล้วรึ...ก็เกิดได้เป็นคนทุกคนแล้วนิ

ดังนั้น...
อ้างคำพูด:
การกตายจากคนแล้วกลับมาเกิดเป็นคนนั้น เป็นเรื่องยากที่สุด ต้องบุญสูงสุด คือ สำเร็จเป็นอริยบุคคล


จึง..ไม่ถูกต้อง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นพูดกันเรื่องศีล ก็ขอเข้ามาสนทนาเรื่องศีลด้วย
[ในกรอบของศีล ๕ เพราะศีล ๕ นี้ว่าด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น]

คนที่ทำผิดศีล ๕ เป็นเรื่องปกตินี่พูดได้ง่าย เพราะตัณหามันหนัก
พออยากมากมันก็พร้อมที่จะสนองความอยากโดยไม่คำนึงความเดือดร้อนของคนอื่น
ว่าง่ายๆคือพร้อมที่จะเบียดเบียนเพื่อให้"กู" ได้อะไรมาซักอย่าง

ทีนี้ลองมาดูคนที่ถือหรือมีศีล ๕ กันบ้าง
บางคนมันมีความอยากถึงขนาดที่ต้องการจะเบียดเบียนคนอื่น
แต่ในทางกลับกันก็มีความกลัวว่าถ้าทำไปแล้วจะเกิดผลเสียตามมาทีหลัง
หรือกลัวว่าตายไปจะตกนรก หรือแม้แต่ว่าคิดว่าเพียงแค่การถือศีลจะทำให้ตนหลุดพ้นได้
อันนี้เรียกได้ว่าแบกศีล คือมีศีลเป็นกรงไว้ขังตัวเอง
ถึงแม้ว่าอาจจะดูไม่ดีนักแต่ก็ยังดีกว่าคนที่ทำผิดศีลเป็นว่าเล่น เพราะก็ยังไม่ก่อความเดือดร้อนให้สังคม
ถึงกระนั้นคนกลุ่มนี้ถือว่ายังล่อแหลมเพราะก็พร้อมที่จะทำผิดศีลได้ไม่ยาก

คนบางกลุ่มเขาก็มีความอยากอยู่เหมือนกัน มีความต้องการที่จะเบียนเบียนอยู่บ้าง
แต่เขาเห็นโทษของความอยาก เห็นข้อดีของการถือศีลว่าเป็นไปเพื่อการฝึกฝนพัฒนาตนเองเพื่อความเป็นอิสระ
คนกลุ่มนี้มีศีลเป็นเชือกไว้ผูกไว้ให้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ในยามที่จำเป็น
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ศีลเป็นฐานในการฝึกฝนพัฒนาสมาธิ ต่อด้วยปัญญา
คนกลุ่มนี้ย่อมดีกว่าคนสองกลุ่มแรก เพราะถือศีลด้วยปัญญา(ทางโลก)
ถึงอาจจะผิดศีลได้ถ้าเผลอ แต่ก็ย่อมน้อยกว่าคนกลุ่มที่สองเพราะถ้าไม่เผลอเขาก็ไม่ผิดศีล

คนอีกกลุ่มก็มีความอยากอยู่เหมือนกัน แต่มันไม่พอที่จะไปเบียดเบียนใคร
เพราะเขาเห็นชัดซึ่งโทษของความอยาก ได้ทำการลดละความอยากด้วยสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นมา
จึงมีความอยากน้อยเกินกว่าที่จะต้องผิดศีลผิดธรรมเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา
พวกเขาเห็นว่ายังมีหนทางอื่นอีกมากมายที่สามารถหาของที่เขาต้องการได้โดยไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน
ถึงแม้จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาก็พร้อมที่จะทำใจยอมรับในจุดนั้น
เรื่องเผลอไปผิดศีลนี่คิดว่าไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีเหตุปัจจัยเพียงพอที่จะไปทำเช่นนั้น

คนกลุ่มสุดท้ายคือหมดสิ้นแล้วซึ่งตัณหา (ทั้ง 3 ประเภท)
เมื่อไม่มีแม้แต่ตัณหา เรื่องทำผิดศีล หรือมีเจตนาไปเบียดเบียนคงไม่ต้องพูดถึง

ก็ขอให้ทุกท่านลองพิจารณากันเองก็แล้วกันครับ


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 02 มี.ค. 2011, 06:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
แม้ครั้งที่หนึ่ง แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม

แว่นส่องความเป็นพระโสดาบัน

อานนท์ ! เราจักแสดง ธรรมปริยายอันชื่อว่าแว่นธรรม ซึ่งหาก อริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้ ในข้อที่ตนเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว, ในข้อที่ตนเป็นพระโสดาบันผู้มีอันไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาล เบื้องหน้า ดังนี้.
อานนท์ ! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม ในที่นี้ เป็นอย่างไร เล่า ?
อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระพุทธเจ้า....ในองค์ พระธรรม.... ในองค์พระสงฆ์.... และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า คือเป็นศีล ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่าน สรรเสริญ เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ และเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ.
อานนท์ ! ธรรม ป ริย าย อัน นี้แล ที่ชื่อ ว่า แว่น ธรรม ซึ่งหาก อริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้, ดังนี้แล.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๐-๔๕๑-๑๔๗๙-๑๔๘๐.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
อานนท์ ! เราจักแสดง ธรรมปริยายอันชื่อว่าแว่นธรรม ซึ่งหาก อริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้ ในข้อที่ตนเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว, ในข้อที่ตนเป็นพระโสดาบันผู้มีอันไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาล เบื้องหน้า ดังนี้.
อานนท์ ! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม ในที่นี้ เป็นอย่างไร เล่า ?
อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระพุทธเจ้า....ในองค์ พระธรรม.... ในองค์พระสงฆ์.... และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า คือเป็นศีล ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่าน สรรเสริญ เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ และเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ.
อานนท์ ! ธรรม ป ริย าย อัน นี้แล ที่ชื่อ ว่า แว่น ธรรม ซึ่งหาก อริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้, ดังนี้แล.

:b8: :b8: :b8:

เพิ่มเติม
[๑๔๘๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราชการาม ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
ภิกษุณีสงฆ์ ๑๐๐๐ รูป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว
ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุณีเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็น
ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ประกอบ
ด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
ประการนี้แล ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
เบื้องหน้า.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลที่เป็นกุศล มีเหตุปจจัยมาจาก กุศลเหตุ ๓ (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) หรือเกิดจากจิตที่เป็นกุศล
ศีลที่เป็นอกุศล มีเหตุปจจัยมาจาก อกุศลเหตุ ๓ (โลภะ โทสะ โมหะ) หรือเกิดจากจิตที่เป็นอกุศล

ศีล ไม่สามารถเกิดจากการถือศีล เพราะศีล คือ ผลของนิสัย นิสัยมาจากสัญญาอันมีอารมณ์ ๖ เป็นเหตุปัจจัย

การถือศีล เพราะถือตามๆ กันมา ถือเพราะลาภยศ ถือเพราะกลัว ถือเพราะญาติ ถือเพราะชีวิต เป็นปริยันศีล

อริยบุคคล ตายไปแล้ว เกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นเทวดาทันที นอกจากนั้น ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นอะไรต่อมิอะไรนับชาตินับภพไม่ถ้วน กว่าจะกลับมาเป็นคนได้ก็ต้องรอให้บาปลดลงจนเหลือน้อยกว่าบุญ จึงจะกลับมาเกิดเป็นคนได้ ...

มีแต่พราหมณ์เท่านั้นที่ให้ไปถือศีล ถ้าเป็นพุทธต้องมีศีล คือต้องมาจากปัญญาสัมมาทิฐิ

ปัญญาอย่างหนึ่ง เรียกว่า สัมมาทิฐิที่ยังมีอาสาวะอยู่ คือ รู้เรื่องบุญบาปฯ ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ดีได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำให้พ้นโลกไปได้

ปัญญาสัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ คือ รู้รูปนามตามความเป็นจริงว่า มันเเป็นเพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วแตกสลาย ไม่สามารถบังคับบัญญชาได้ ฯ ปัญญาแบบนี้สามารถใช้ดับ โลภะ โทสะ โมหะ ที่เกิดกับจิตปัจจุบันได้ทันที โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเราได้พิจารณาอารมณ์ด้วยอาการนี้ เมื่อไม่มีความอยาก ก็ไม่มีการอยากได้อยากเอา ไม่ขโมย เมื่อไม่มีความไม่พอใจ ก็ไม่โกรธไม่คิดจะฆ่า ฯ ดับมันตรงต้นเหตุของความชั่วได้ทั้งหมดตั้งแต่มันเริ่มจะงอก .... ศีลที่เกิดจากปัญญาแบบนี้ เป็นอริยศีล

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 14:57
โพสต์: 32

แนวปฏิบัติ: กำหนดรู้
งานอดิเรก: วาดรูป
สิ่งที่ชื่นชอบ: .......กำลังค้นหาต่อไป
ชื่อเล่น: โป้ ครับ..
อายุ: 14

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านอย่างเดียว ไม่เคยเห็นนัยะ ต้องปฏิบัติ ด้วยสิ เขาจริงเรีียกว่ารู้จริง

.....................................................
เมตตะคุนัง อะระหัง เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 00:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เกลือมันโดนลิ้นผม ผมก็รู้ได้ว่า ลิ้นได้รับรสอะไรแปลก ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ารสอะไร มีผู้รู้มากบอกว่า เออ.. นั้นแหละเกลือที่มีรสเค็ม ผมถึงรู้ว่า อ๋อ.. แบบนี้เองที่เขาเรียกว่าเค็ม แล้วตอนนี้ ถ้าจะให้ผมไปบอกอีกคนว่าเกลือเค็มอย่างไร มันจะไปบอกได้อย่างไรละครับท่าน

ศีลที่เกิดจากวิปัสสนา นิสัยที่ไม่ดีๆ หายไปเองแบบไม่กลับมา วันๆ ไม่คิดจะทำอะไรไม่ไดีเป็นปกติ ไม่มีเรื่องอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจ แบบนี้เรียกปฏิเวธหรือเปล่าละครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 03:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


งั้นก็เป็นอริยะแล้วละซิ....

ก็เคยเห็นบอกว่า...แค่งดศีลข้อ 5 ได้ก็เป็นอริยะได้แล้ว..นิ
:b32: :b32: :b32:

Supareak Mulpong เขียน:

อริยะบุคคลขั้นโสดาบันก็ยังไม่มีศีลที่บริสุทธิ ทำได้เพียงข้อเดียว คือ งดสุรา เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ศีลข้อนี้เป็นการทำผิดอย่างหยาบที่สุด (กายกรรม) เหล้าไม่เข้าปากก็ไม่ผิด ส่วนศีลข้ออื่นเป็นการทำผิดที่ละเอียด คือ ทั้งทางกาย วาจา ใจ หรือพูดง่ายๆ ว่า แค่คิดก็ผิดแล้ว


โอ้วว...ไม่ใช่จะเลยโสดาไปแล้วรึนี้...ดูนี้ซิ
:b32: :b32:
Supareak Mulpong เขียน:
ศีลที่เกิดจากวิปัสสนา นิสัยที่ไม่ดีๆ หายไปเองแบบไม่กลับมา วันๆ ไม่คิดจะทำอะไรไม่ไดีเป็นปกติ ไม่มีเรื่องอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจ แบบนี้เรียกปฏิเวธหรือเปล่าละครับ?


ขออภัยที่นิสัยไม่ดี smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มีที่ใหน งดศีลได้แล้วบบรลุโสดา มีแต่ดับทุกข์ได้ด้วยปัญญา ถึงจะมีศีลตามมมา แต่ผู้บริบูรณ์ด้วยศีลหรือศีลบริสุทธิ์ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


รักษาศีลให้ศีลมารักษาใจเรา ให้ไกลจากกิเลศอย่างอยาบ เพื่อความไม่เบียดเบียน ตนและผู้อื่น

การรักษาศีลเป็นสิ่งที่ดี เป็นมนุษย์สมบัติ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ต้องบำเพ็ญศีลบารมี

ขอให้ทุกคนหันมาถือศีลมากๆ นะครับ :b40:


ความไม่เบียดเบียนนี่ดีจริงๆหนอ ความไม่เบียดเบียดนี่ดีจริงๆ
:b39: :b39: :b39:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร