วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


July 16

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนปิดร้านไปปฎิบัติ เดิน20นาที นั่ง10นาที
เช้ามาปฎิบัติ รอบแรกเดิน 30นาที นั่ง15นาที รอบสอง เดิน30นาที นั่ง10นาที
เดินรู้เท้า นั่งรู้ลมกับกาย ผมขออนุโมทนากับการทำทานทั้ง2ครั้งให้กับเขาทั้งสองด้วยนะครับ
ผมมีความคิดหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ก็มีความคิดอย่างนึงเข้ามา มันเป็นเหตุ

ดูคนอื่นเพียง 10 เปอรเช็น ดูตัวเอง 90 เปอรเช็น ดีไหมครับ

walai ดูตัวเองให้มากๆ อย่าส่งจิตออกนอก ดูทำไมคนอื่น ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์
มีแต่กิเลสเขา แล้วเราน่ะหลงเอากิเลสเขาที่เราเห็น มาปรุงเป็นกิเลสของเรา ยามสติไม่ทัน


July 17

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนปิดร้านขึ้นไปปฎิบัติ เดิน15 นาที นั่ง15นาที
เช้ามาปฎิบัติ เดิน1ชม นั่ง15นาที การเจริญสติเนี่ยสุดยอดเลยครับ
วันนี้นะครับถ้าผมไม่มาเจริญสตินะครับ เกิดเรื่องให่ญแน่ครับ
พอดีสิ่งที่มากระทบเรามีสติเลยคิดว่ามันเป็นเหตุ ขอบคุณครับอาจาร


July 18

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนปิดร้านขึ้นไปปฎิบัติ เดิน45นาที นั่ง15นาที
เช้ามาปฎิบัติ เดิน1ชม นั่ง15นาที มีอาการเคลิ้มเล็กนอ้ยครับ
ผมได้อ่านในบล็อกที่คุณเขียนละเอียดและชัดเจนครับ
ขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้กับผมเกี่ยวกับการปฎิบัติ ขอบคุณมากครับอาจาร


July 19

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนปิดร้านขึ้นไปปฎิบัติ เดิน30นาที นั่ง 15นาที
เช้ามาปฎิบัติ เดิน1ชม นั่ง15นาที ทีแรกผมมีคำถามจะถามแต่พออ่านในบล็อกแล้วมีคำตอบให้ผมแล้ว
ตั้งแต่ผมมีการกระทบกับเจ้านายผมตีค่าความคิดไปเอง ทำไปทำมาเรากับมาดูตัวเราเองที่แท้
ความไม่พอใจเกิดจากการไม่ได้ดังใจเรา สอบตกแบบไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย ขอบคุณครับอาจาร




says: 2วันนี้ผมอ่านในบล็อกได้อะไรอีกมากเลยครับ
ผมลองคลิกเข้าไปอ่านพระไตรปีดก ฉบับประชาชน อ่านไม่เข้าใจ ต้องรออาจารสอนอีกทีนะครับ

walai says: เมื่อสภาวะถึงแล้ว จะอ่านเข้าใจเองค่ะ ไม่ต้องให้ใครมาสอนหรอกค่ะ
ตอนนี้มีหน้าที่คือทำ

การสนใจสิ่งนอกตัว ไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ มีแต่จะทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน
เกิดความสงสัยด้วยความอยากรู้ไปเปล่าๆ การปฏิบัติมีแค่นี้แหละค่ะ รู้อยู่ในกายและจิตของเรา

says: ใช่ครับ

walai says: ส่วนเรื่องการไปรู้นอกตัวน่ะ อันนั้นรอให้รู้จริงก่อน เห็นจริงก่อน จึงจะเข้าใจในรู้นอกตัว
เพราะรู้ในตัวไม่มีความแตกต่างจากตำราลย

การที่ไปรู้นอกตัวมาก แต่สภาวะยังไม่ถึง หรือยังไม่เห็นจริง ล้วนเป็นการคาดเดาทั้งนั้น
แล้วตีความเอาเองว่าต้องหมายถึงอย่างนี้ๆ

เรามีหน้าที่คือคอยดูตัวเอง คอยปรับอินทรีย์ให้เขากับสภาวะ แล้วตัวสภาวะเขาจะนำเราไปเอง
เรามีหน้าที่คือ เมื่อเกิดการกระทบ รู้ แล้วดู ไม่ไปให้ค่า หน้าที่มีแค่นี้

ส่วนวิชาการ ถ้ายังไม่เห็นตามสภาวะ มันจะกลายเป็นวิชาเกิน
มีแต่จะไปสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เพราะเกิดการยึดติดในสิ่งที่คิดว่ารู้

ถ้าสร้างเหตุมา เมื่อถึงเวลา จะต้องมีเหตุให้ได้ศึกษา
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องนี้ไว้นะคะ มีในพระไตรปิฎก ซึ่งมันก็เข้าหลักของเหตุและผล

ฉะนั้น ไม่ต้องไปสนใจ เอาตัวเอง เอาในตัวนี่ให้รอดก่อน
ว่ายน้ำยังไม่แข็ง แล้วจะไปหอบอะไรให้พะรุงพะรัง ยิ่งเป็นเหตุให้จมน้ำไปได้

says: ผมอ่านที่คุณคุยกับคุณหมูนะครับ ผมก็เพิ่งทราบเหมือนกันครับ

walai says: เรื่องเจริญสติกับเจริญสติปัฏฐานน่ะหรือคะ

says: ครับ

walai says: กันไว้น่ะค่ะ เวลาสนทนา บางคนยึดติด อ้างว่าจะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ต้องอริยะเท่านั้น
พอพูดถึงเจริญสติก็อ้างไปเรื่องอื่นๆอีก

การเจริญสติ เราใช้ในกรณีที่ยังอยู่ในขั้นฝึกฝน เพราะเรายังไม่สามรถแยกออกจากฐานทั้ง ๔ ได้
เรียกว่ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี่เรียกว่า สติ ยังอยู่ในขั้นฝึกฝน

เมื่อกำลังของสติ สัมปชัญญะพัฒนาและมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้เราได้รู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นสภาวะได้ละเอียดมากขึ้น คือมีสติ สัมปชัญญะ
รู้อยู่ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ได้ชัดเจนมากขึ้น จึงจะเรียกว่า เจริญสติปัฏฐาน ๔

ส่วนการเจริญสติปัฏฐานน่ะ นี่เป็นการพัฒนาไปอีกขั้น จะเข้าใจถึงเหตุและผล ปัจจัยของเหตุที่เกิดขึ้น
และผลที่ได้รับ มันคนละสภาวะกัน อันนี้แยกตามสภาวะ ส่วนด้านปริยัติน่ะ เขาจะกล่าวไปโดยรวม
เห็นไหมคะ แค่มี ๔ กับ ไม่มี ๔ สภาวะเปลี่ยนไปแล้ว
สักวัน เมื่อสภาวะคุณละเอียดมากขึ้น คุณจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เอง

says: ครับ ตอนนี้ผมยังฟังไม่เข้าใจ ผมต้องทำไปเรื่อยๆๆก่อนนะครับ

walai says: ค่ะ เคยเป็นมาก่อน เข้าใจค่ะ เมื่อก่อนก็แยกรายละเอียดแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ

says: ถ้ามีความอยากก็จะมีแต่ความอยากไปเรื่อยๆๆๆ

walai says: ใช่ค่ะ อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากสอน บรรดาความอยากทั้งหลาย
ล้วนเป็นตัวปิดกั้นปัญญาไม่ให้เกิด เป็นเหตุทำให้ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้

says: แค่เห็นตามความจริงที่จิตคิดนะ ไม่ใช่เล่นนะครับ

walai ถึงบอกไงคะ จะต้องไปอยากทำไม ในเมื่อรู้ถึงผลที่จะต้องได้รับ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่

say ครับใช่

walai ทำไปเรื่อยๆ ทำตามกำลัง ทำตามสภาวะ ทำแค่นี้แหละ ถ้าขยันมาก ก็ปล่อยตามขยัน
ก็มันอยากขยันนี่นา ถ้าขี้เกียจ ก็ปล่อยตามขี้เกียจ อาจจะทำน้อยลง ก็คือยังทำ เรียกว่าทำตามสภาวะ
ไม่ต้องไปหาเหตุว่าทำไม ทำไปเรื่อยๆ ทำตามกำลัง ทำตามสภาวะ ทำแค่นี้แหละ

ถ้าขยันมาก ก็ปล่อยตามขยัน ก้มันอยากขยันนี่นา ถ้าขี้เกียจ ก็ปล่อยตามขี้เกียจ
อาจจะทำน้อยลง ก็คือยังทำ เรียกว่าทำตามสภาวะ ไม่ต้องไปหาเหตุว่าทำไม

say เห็นตามความเป็นจริงที่จิตคิด

walai นั่นแหละค่ะ ใช่เลย ตามความเป็นจริงที่จิตมันคิด ตามที่รู้สึก

say แต่บางทีคิดไม่ดี

walai คิดไม่ดี กำหนดรู้หนอไปค่ะ จิตจะบันทึกไว้
ที่เราต้องอาศัยการกำหนดไปก่อน เนื่องจากสติเรายังไม่ทัน กำลังของสติเรายังไม่มากพอ

say ครับใช่เลยเหมือนเมื่อวานที่ผมเจอ

walai วันใดกำลังของสติมากพอ รู้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะดับไปเอง
โดยไม่ต้องไปกำหนดอะไรเลย

say ใช้รู้หนอแต่ยังมีคา

walai สติคุณ ก็เหมือนคนใหม่ๆทุกคนแหละค่ะ อาศัยการกำหนดนำทางไปก่อน มีก็ให้รู้ว่ามีค่ะ
เดี๋ยวได้คำตอบเอง ถึงเวลา ร้องอ๋อเลย มันมีเหตุ โดยไม่ต้องให้ใครมาชี้แนะหรือมาบอกกับเรา
ว่าอะไรถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ เพราะพอรู้ถึงเหตุแล้ว ไม่มีทั้งใช่และไม่ใช่ ไม่มีทั้งถูกหรือผิด
ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุเราทำไว้ทั้งนั้น ทีนี้อาการคาใจหายหมด

เราพูดแค่ที่เราคิดว่า เราควรพูด แต่ถ้าเริ่มมีข้อโต้แย้ง เงียบดีกว่าค่ะ เพื่อเหตุใหม่จะได้ไม่เกิดขึ้น
เราไม่มีหน้าที่ไปแก้ไขทิฏฐิหรือความคิดเห็นของใครๆ เรามีหน้าที่คือดูตัวเอง

คุณมีครอบครัว เหตุของการกระทบเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ จึงต้องอาศัยขันติให้มาก ขันติคือความอดทน
อดกลั้นนี่ เขาเรียกโสรัจจะ ทั้งอดทนอดกลั้น ที่ไม่ไปตอบโต้ เมื่อเกิดข้อโต้แย้ง

say ครับใช่เลย บางทีสีหน้าเรายิ้ม แต่ข้างในไม่ใช่ครับ

walai เข้าใจค่ะ ถึงบอกไงคะ ต้องใช้ทั้งความอดทนและอดกลั้น
เพื่อจะไม่ไปสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นทั้งเขาและเรา ไม่ใช่แค่เราคนเดียว

say จริงครับ ตอนนี้นะครับถ้าเป็นไปได้ผมรับฟังอย่างเดียว จะได้ไม่สร้างเหตุทั้งเขาและเรา

walai เรารู้แล้ว แต่เขายังไม่รู้ จงมีแมตตาและให้อภัยต่อความไม่รู้นะคะ

say:ครับตอบได้ถูกใจ

walai เมื่อไม่มีการตอบโต้ สภาวะนั้นจะจบลงไปด้วยตัวของสภาวะเอง
แล้วคุณจะเจอโจทย์ตัวใหม่ต่อ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2010, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


21 กรกฎาคม

เมื่อคืนปิดร้านไปปฎิบัติ เดิน20นาที นั่ง10นาที
เช้ามาปฎิบัติ เดิน10นาที นั่ง10นาที ขอบคุณครับอาจาร


22 กรกฎาคม

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนปิดร้านไปปฎิบัติ เดิน20นาที นั่ง10นาที
เช้ามาปฎิบัติ เดิน30นาที นั่ง10นาที
ผมได้เข้าไปอ่านในบล็อกแล้วขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้กับผมและสั่งสอนผม
แต่ตอนนี้ผมก็ปฎิบัติตามที่คุณบอก รับฟังให้มากพูดให้น้อย ขอบคุณครับอาจาร



say: วันนี้รู้สึก เบื่อๆๆ เหงาๆๆๆยังไงไม่ทราบครับ

walai สภาวะจะให้คำตอบเองค่ะ รู้สึกยังไง ให้รู้สึกไปตามนั้น
หากอาการเกิดขึ้นมาก อยู่กับปัจจุบันไม่ได้ กำหนดรู้หนอลงไปค่ะ
มันจะมีแต่เหตุๆๆๆๆและเหตุมาแสดงให้เราดู มันมีแต่ทุกข์ มีแต่ความน่าเบื่อหน่าย

เดี๋ยวสภาวะสุขมาแสดงละ ทำแล้วเกิดความสุขมากๆ สภาวะเขาทดสอบกิเลสเราตลอดเวลา
จนกว่าเราจะปล่อยวางลงไปได้จนหมดใจจริงๆ เราจะรู้ว่ามันมีความรู้สึกเหล่านี้อยู่ แต่เราไม่ไปยึดติดกับมัน

say: ครับ ผมก็แค่รู้ ไม่ยึดติด เพราะรู้ว่ามันไม่เที่ยง

walai เราต้องผิดพลาดก่อนที่จะรู้ ผ่านการทำร้ายคนอื่นๆโดยไม่รู้ว่าไปทำร้ายเขา ไปเบียดเบียนเขา
ทำให้คนอื่นๆน้ำตาตก แม้จะทำไปโดยไม่เจตนา กรรมนี้ส่งผลหมด สภาวะเขาสอนเราทุกๆเรื่อง
สติ สัมปชัญญะ ทำให้เราย้อนไประลึกถึงเรื่องราวสิ่งต่างๆที่ผ่านๆมา เรามีแต่ความผิดพลาดมาตลอด

say: ครับใช่เลย

walai ทุกข์นะคุณ หาทุกข์เข้าหาตัว เพราะกิเลสบังตา คิดว่าทุกข์นั้นๆ ทำให้เราสุขได้
แล้วก็สุขจริงๆ สุขเพราะคิดว่าสุข คิดเอง เออเอง ที่แท้ผลมันคือทุกข์ทั้งดุ้น ทุกข์แต่ไม่รู้ว่าทุกข์

say: ครับ จริงอย่างที่คุณว่านะครับ อ่านอะไรก็แล้วแต่ให้ดูจิตตัวเองด้วยว่าเป็นยังไง

walai ใช่ค่ะ กิเลสมันไว ต้องดูให้ทัน ดูไม่ทันไปแล้ว ปรุงแต่ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 23:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


23 กรกฎาคม

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนปิดร้านไปปฎิบัติ เดิน20นาที นั่ง10นาที
เช้ามาปฎิบัต เดิน1ชม นั่ง15นาที ขอบคุณมากครับอาจาร


27 กรกฎาคม

สวัสดีครับอาจาร โทษนะครับผมไม่ได้ทำการบ้านส่ง เมื่อคืนปิดร้าน
ไปปฎิบัติเดิน 30นาที นั่ง 10นาที เช้ามาปฎิบัติ เดิน1ชม นั่ง15นาที นั่งยังมีเคลิ้มอยู่ครับ
พอดีมีอยู่ 1วัน ผมไม่ได้ปฎิบัติ จริงดังที่คุณว่าเลยครับตอ้งทำต่อเนื่อง
เพราะหลังจากวันที่ผมไม่ได้ปฎิบัตินะครับ เหมือนเริ่มใหม่เลยครับ
อ่านในบล็อกทุกครั้งมีความรู้เพิ่มขึ้นทุกทีขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้กับผม ขอบคุณครับอาจาร


29 กรกฎาคม

สวัสดีครับอาจาร ชว่งนี้ไปอยู่โรงพยาบาลเฝ้าเจ้านายนะครับ
แต่ก็ปฎิบัตินะครับไม่ให้ขาดช่วง หาเวลาทำในชว่งเหมาะสม ประมาณอย่างละ5นาทีนะครับ
แต่ไม่ได้สมาธิมากนะครับแต่ก็ทำครับ การผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดีคุณหมอเอามาให้ดู
ข้างในของคนเราก็เหมือนหูมนะครับ เรานึกถึงกระเพาะหมู เครื่องในหมู
ถ้าไปวางขายสงสัยมีคนชื้อไปกินแน่

ช่วงนี้เดินรู้เท้านะครับ นั่งรู้กาย แต่ไม่ชัดเหมือนเมื่อก่อน เป็นยังไงก็รู้ ดูไปคิดว่ามันไม่เที่ยง
อ่านในบล็อกไม่ได้คุยกับคุณนานเลยนะครับ อยากโทรหาแต่กลัวไปกวนในช่วงจังหวะไม่เหมาะนะครับ
แซวนิดนะครับ ชว่งนี้ดุจังเลยครับ อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นขอบคุณครับที่ให้ความรู้กับผม
ขอบคุณครับอาจาร

02 สิงหาคม

สวัสดีครับอาจาร เมื่อคืนขึ้นไปปฎิบัติ เดิน20นาที นั่ง5นาที เช้ามาปฎิบัติ เดิน40นาที นั่ง10นาที
มีอาการเคลิ้มครับ แต่มาอาทิตยนี้ผมปฎิบัตินะครับเหมือนคนไม่มีอะไรเลย จะว่าไม่มีสติก็ไม่ใช่
รู้เท่าที่สติทันนะครับ มีหลุดบ้าง พอหลุดก็รู้ แต่มีความคิดเกิดขึ้นมานะครับว่า เราปฎิบัตน้อยลง
เลยทำให้เกิดสภาวะที่เหมือนกับคนทำใหม่ๆๆๆ

เดินก็รู้เท้าแต่ไม่ชัด นั่งก็รู้ลมแต่ไม่ชัด ผมก็ว่ามันไม่เที่ยง ไม่เป็นไร ทีแรกผมว่าจะโทรไปหาแล้วครับ
แต่มาอ่านในบล็อก ตามความเข้าใจผมนะครับ ผมก็รู้ตามที่มีสภาวะเกิดขึ้นเหมือนไม่เคยปฎิบัติมาเลย
ถามผมว่าผมคิดไหมครับผมบอกเลยว่าคิดครับ เมื่อก่อนทำได้ดี แต่อาทิตย์นี้ไม่ใช่เลยครับ
ยังคิดจะเลิกเลยครับ แต่ก็รู้คิดไปถ้าเราไปให้ค่ากับมันเราทุกข์ ก็รู้ว่าอาทิตยนี้สับสนวุ่นวาย
เราก็ปฎิบัตไปเรื่อยๆๆๆ ทำตามที่เวลาจะอำนวยให้ ขอบคุณครับอาจาร

walai say ผลของการทำไม่ต่อเนื่อง จะเป็นแบบนี้แหละค่ะ
ตราบใดที่จิตยังไม่ตั้งมั่นและยังไม่มีกำลังมากพอ ก็จะเจอสภาวะเหมือนเริ่มต้นใหม่แบบนี้แหละค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


20 ตค.53

say ตอนนี้ผมติดเกมส์น่ะครับ เล่นเป็นเพื่อนกับเด็กๆ
การปฏิบัติก็ย่อหย่อนลง รู้กายได้น้อยลง

สุขที่แท้จริง ทุกอย่างล้วนมีเหตุค่ะ ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น

say เดี๋ยวนี้เดินได้น้อย นั่งแค่ 10 นาทีเอง

สุขที่แท้จริง เดินมาก เดินน้อย นั่งมาก นั่งน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญค่ะ
สภาวะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แตกต่างไปตามเหตุที่แต่ละคนกระทำมา
คุณไปให้ค่ากับสิ่งเหล่านี้เอง มันเป็นเพียงแค่สภาวะค่ะ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน
ให้ดูยามที่เกิดการกระทบ

say เดี๋ยวนี้เดินๆแล้วชอบง่วงนอน

สุขที่แท้จริง ไม่เที่ยงค่ะ ง่วงมั่ง ไม่ง่วงมั่ง เรื่องธรรมดา
ไปหาเหตุมีแต่จะเป็นความสงสัย แล้วทำให้ฟุ้งซ่านไปโดยใช่เหตุ

ถ้าง่วงก็ให้กำหนดนั่งลง ไม่ต้องไปเดินต่อ เห็นว่าง่วงๆแบบนี้เถอะ
บางทีพอนั่งลง จิตเป็นสมาธิเฉยเลย ถึงบอกไงคะ ไม่ต้องไปให้ค่ากับสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น

ถ้านั่งแล้วง่วง ก็ทำแค่นั้นแหละ หายใจยาวๆกำหนดจิตแผ่เมตตากรวดน้ำไปเลย
ไม่ต้องไปนั่งต่อ ค่อยๆปรับเปลี่ยนตามสภาวะไป เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ที่สำคัญคือ ความรู้สึกตัวต่างหาก ทำสะสมไปค่ะ

ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงหรอกค่ะ อย่าไปจับให้มั่นคั้นให้ตาย มีแต่การให้ค่าไปเปล่าๆ
สภาวะจะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทุกอย่างคือการเรียนรู้ ให้ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2011, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๓ กพ.๕๔


เจ้าของร้านเกมส์ เขามองว่าเขามีเวลาน้อยมากสำหรับเวลาที่ทำเต็มรูปแบบ คือเดินกับนั่ง เขาจะมีเวลาทั้งหมด ๔๐ นาทีโดยประมณ

เราบอกกับเขาว่า มันเป็นสภาวะของคุณ เหตุของคุณสร้างมาแบบนี้ นี่คุณกำลังเปลี่ยนแปลงเหตุของคุณ

ฉะนั้นไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องเวลา แค่คุณรู้ชัดอยู่ในกายได้ โดยจิตไม่วิ่งแล่บไปข้างนอก นั่นน่ะกุศลเกิดแล้ว เพราะจิตตอนนั้น มันไม่มีไปคิดว่าร้าย ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ แต่มันมีตัวรู้เกิด ตัวปัญญาเกิด ตัวนี้แหละกุศลแท้ ที่ไม่มีอามิสบูชาเจือแต่อย่างใด เป็นกุศลที่สะอาดและบริสุทธิ์จริงๆ

เขาบอกว่า ตอนนี้ ยิ่งทำ เขายิ่งเห็นความคิดของเขาชัดมาก

สภาวะตรงนี้ เราอยากจะบอกกับผู้ที่เจริญสติทุกๆคนว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ปฏิบัติมาถึงจุดๆหนึ่งแล้ว สิ่งแรกที่ทุกคนจะเจอเหมือนๆกันหมดคือ เห็นและรู้ชัดในความคิดของตัวเอง

ทั้งๆที่เมื่อก่อน ก่อนที่จะทำนี้ ความคิดต่างๆนั้นมีไหม มันมีของมันและมันเป็นแบบนั้นของมันอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นที่เราเห็นจะเห็นแค่แว่บๆแล้วผ่านไป เราไม่เคยเห็นมันชัด ถึงแม้เราไม่ได้ตั้งใจดูความคิดนั้นๆก็ตาม แต่มันจะเห็นและรู้ชัดในความคิดนั้นๆ

เหตุเนื่องจาก ตัวสัมปชัญญะเกิดในตัวบุคคลนั้นนั่นเอง ถ้าไม่มีตัวสัมปชัญญะเกิดเราจะไม่เห็นหรือรู้ชัดในความคิดแบบนี้ได้ มีแต่ไหลไปอดีตมั่ง ไหลไปตามอนาคตมั่ง มันไปของมันเรื่อย

แต่สภาวะตรงนี้ เมื่อคิดเราจะรู้และเห็น แล้วความคิดนั้นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตัวเก่าหายไป ตัวใหม่เกิดต่อ ถ้ารู้กายได้ จิตจะกลับมารู้กาย

เพราะความเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ ย่อมดึงกลับมารู้ที่กายได้ ไม่ปล่อยให้จิตไหลไปอดีตมั่ง อนาคตมั่ง ยืดยาว

เมื่อกลับมารู้กายได้บ่อยๆ กำลังของสติ สัมปชัญญะมากขึ้น สมาธิย่อมมีกำลังมากขึ้นตาม ต่อไปไม่มีการต้องไปดึงจิตกลับมา จิตเขาจะกลับมารู้ชัดที่กายเอง มันจะเป็นไปตามสภาวะ

อีกคำถามที่เขาถามมาคือ เวลาเดิน เวลาที่เกิดความคิด เขาพยายามดึงจิตให้มารู้อยู่กับการเดิน ต้องการให้รู้ชัดในการเดิน ทำแบบนี้เขาทำถูกแล้วใช่ไหม?

เราถามกลับไปว่า คุณทำเพื่ออะไรล่ะ ที่ว่าต้องการให้รู้ชัดในการเดินน่ะ เวลาเกิดสภาวะพวกนี้ ต้องดูให้ทัน ความอยากมันแทรกตลอดเวลา โดยเฉพาะความอยากที่เป็นกุศลจะมีสภาวะที่ละเอียดมากๆ ยากที่จะรู้ทันได้

เราต้องหมั่นถามตัวเองทุกๆครั้งที่เกิดสภาวะที่ต้องการให้รู้ชัดไม่ว่าจะในการเดินหรือให้รู้ชัดในกายก็ตาม เราต้องตั้งคำถาม ถามตัวเองเสมอๆว่า เราทำเช่นนั้นเพื่ออะไร คำตอบที่ตอบกลับมานั่นแหละ คือตัวสภาวะที่แท้จริง

กำลังสติ สัมปชัญญะของแต่ละคนไม่เท่ากัน ล้วนแตกต่างไปตามเหตุที่ทำมา ฉะนั้นจะรู้ชัดในกายได้มากหรือน้อย แตกต่างกันไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องดูให้ทัน

เราเพียงทำเพราะเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ทำให้ต่อเนื่องนี่แหละ อุบายหรือวิธีให้รู้อยู่ในกายและจิตของแต่ละคนนั้น แล้วแต่เหตุของใครของมัน

เพียงทำต่อเนื่องไปนี่แหละ กำลังของ สติ สัมปชัญญะจะแข็งแรงหรือมีกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเอง ทำสะสมไป กิเลสน่ะ สามารถทำให้เกิดได้ทั้งสุขและทุกข์ แค่เรารู้อยู่กับมัน รู้ว่ามันมี และยอมรับ นี่ชื่อว่าผู้หลงน้อยลงแล้ว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม เมื่อเกิดกามราคะที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ควรทำอย่างไร? จำเป็นต้องใช้พิจรณาอสุภะเข้าช่วยไหม?

ตอบ

คุณต้องเรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวของคุณเอง ลองทำดูในสิ่งที่คิดอยู่ จะใช้การพิจรณาเข้าช่วยก็ได้ ลองทำแล้วถึงจะรู้คำตอบ สภาวะของแต่ละคนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา นี่เป็นเหตุของคุณเอง

แต่สำหรับตัวเราเองนั้น ใช้วิธีดู และรู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น เกิดความรู้สึกกับสภาวะนั้นๆอย่างไร ยอมรับไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิต เพราะมันคือ กิเลสของตัวเราเองที่มีอยู่

ยอมรับไปตามนั้น แล้วเจริญสติต่อไป แล้วสภาวะนั้นๆจะจบลงไปด้วยตัวของสภาวะเอง โดยที่เราไปคาดเดาอะไรไม่ได้เลย

ใหม่ๆอาจจะทำใจได้ยากในการยอมรับตามความเป็นจริงที่เรานั้นเป็นอยู่ เพราะสิ่งที่มากระทบอาจมีผลต่อจิตของเรามากมาย

แรกๆต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ข่มเอาไว้ก่อน จากข่มแรกๆ มันจะรู้สึกเบามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปมันจะแค่รู้ ไม่ต้องไปกดข่มอะไรอีกเลย

สภาวะนี้มีความอยากแฝงอยู่ อยากให้หายจากสภาวะที่เป็นอยู่ เมื่ออยากจึงเป็นทุกข์ เลยหาทางแก้ไข ถึงแม้ความอยากตัวนี้จะเป็นกุศลก็ตาม

เพียงเรายอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เราเป็นอยู่ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นการกระทำออกไป แล้วเจริญสติต่อไป เมื่อสติรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิต การปรุงแต่งนั้นๆย่อมดับหายไปเอง


เพียงแต่ที่เราให้เขาทดลองด้วยตัวเอง ไม่งั้นเขาจะมีข้อค้างคาใจว่าอะไร ทำไม อย่างไร การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรียนรู้จิตของตัวเอง แต่ไม่ได้ปล่อยให้เกิดเป็นการกระทำออกไป



เรามักจะยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำพระโมคคัลานะในเรื่องความง่วง พระองค์ทรงให้พระโมคคัลานะเรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวเอง แต่หลายๆคนที่ยังไม่รู้ กลับเข้าใจไปว่า นั่นคืออุบายในการรักษาจิตในขณะที่เกิดความง่วง

เราเองก็เคยเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น จริงๆแล้วพระองค์ไม่ได้ให้อุบายอะไรเลย เพียงแต่ทรงปิดข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัยทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในตัวของผู้ปฏิบัติ โดยการ ให้เรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวเอง แล้วจะได้คำตอบทั้งหมดโดยหมดข้อสงสัย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2011, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถาม

say การที่ชีวิตคู่จะอยู่ร่วมกันได้ ต้องมีศิลเสมอกันใช่หรือเปล่าครับ?

walai say พูดได้ ๒ สภาวะนะคะ คือคนทั่วๆไป กับคนที่เจริญสติ

ถ้าคนทั่วๆไป ถ้าศิลไม่เสมอกัน อาจจะอยู่ด้วยกันตลอดไปได้ยาก

แต่สำหรับคนที่เจริญสติ ต้องอยู่ได้ทุกสภาวะ ไม่ว่าคู่ของตนนั้นเป็นอย่างไร แก้ต้องแก้ที่ตัวเรา ไม่ใช่ไปกล่าวโทษคู่ของตัวเอง

การที่คิดว่าตัวเองมีศิลมากกว่าคู่ของตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ นั่นคือ การยกตนข่มท่าน คิดว่าตัวเองดีกว่าเขา นำมาเป็นข้ออ้างในการเลิกกัน อันนี้ไม่ถูกต้องนะที่ไปคิดแบบนั้น


say จิตของผมมันนิ่งๆมาสักพักหนึ่งแล้ว จากที่เคยพูดเล่นหัวกับภรรยา มันไม่มีความรู้สึกอยากทำแบบนั้นอีก ผมจำเป็นต้องกลับไปทำเพื่อให้ภรรยารู้สึกสบายใจไหม คือ ผมค่อนข้างจะทำเฉยๆกับเขา ซึ่งบางทีผมกลัวว่าเขาคิดว่าผมโกรธเขา

walai say เป็นตัวของตัวเองค่ะ ไม่ต้องไปฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง

say วันก่อนภรรยาผมเขาเก็บของจะไปทิ้ง ซึ่งผมเห็นว่าของบางอย่างมีประโยชน์กับคนอื่น ผมเลยบอกกับเขาว่า น่าจะเลือกของที่ยังใช้ได้ให้คนอื่นไป เขาตวาดผมว่าผมไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เรื่องของเขา เหมือนกง ( พ่อผม ) ไม่มีผิด

walai say ก็จำไว้ค่ะ อะไรที่เขาพูดมาแล้ว อย่าไปทำอีก เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา

say ผมรู้มาว่าภรรยาผมเข้าไปบ้านหลังนั้น ที่มีเล่นการพนันกัน ซึ่งภรรยาเคยเล่นมาก่อน ผมเลยบอกกับเขาว่า ถ้าจะเล่น ผมไม่ว่าแต่เล่นให้มันน้อยหน่อย อีกอย่างคุณก็จะลาออกจากงานมาอยู่บ้าน ทีนี้คุณจะว่างมากกว่าเดิม

ผมโดนเขาตวาดว่า ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เรื่องของเขา เงินของเขา ผมเลยบอกว่างั้นคุณบริหารเงินของคุณให้ดีก็แล้วกัน ผมควรทำอย่างไรดีครั้บ?

walai sayอะไรที่เขาไม่ชอบ แล้วเป็นเหตุให้เขาก่อเหตุใหม่กับคุณ ในเมื่อคุณรู้แล้ว คุณต้องหยุด ในเมื่อพูดในสิ่งที่ควรพูดไปแล้ว ถ้าเขายังทำ นั่นเรื่องของเขา คุณมีหน้าที่แผ่เมตตา กรวดน้ำให้คนในครอบครัวของคุณ ทั้งลูกคุณ ภรรยาของคุณ

คุณอย่าลืมว่า อาชีพของคุณไม่สุจริต คุณเบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่น ทรัพย์ที่ได้มาย่อมต้องมีเหตุให้เสียไป ตามเหตุของทรัพพย์ที่ได้มา

การเปิดร้านเกมส์ ผิดศิลข้ออทินนา ตัวคุณเองศิลก็ไม่สะอาด อาชีพคุณก็ไม่สะอาด ทรัพย์ที่ได้มาย่อมไม่สะอาด คุณได้มาเท่าไหร่ก็ต้องสูญเสียไปหมด ลองสังเกตุให้ดีๆ

say ผมต้องเลิกกิจการร้านเกมส์ไหมครับ ลงทุนไปเยอะ

walai say คุณทำเพื่ออะไรล่ะ ปิดเพื่ออะไร แล้วคุณจะไปประกอบอาชีพอะไร คุณทำเพราะต้องการให้ศิลสะอาดใช่ไหม เพราะคิดว่าชีวิตที่เป็นทุกวันนี้เพราะเหตุจากเรื่องนี้ใช่ไหม

ถ้าคุณปิดร้านเกมส์ เพราะกลัวศิลไม่สะอาด กลัวมีผลต่อการปฏิบัติ นั่นคือ ความอยาก อยากบรรลุธรรมเหมือนที่ได้ฟังเขาพูดต่อๆกันมาว่า ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ ต้องมีศิลที่สะอาด นี่ความอยากเห็นไหม อยากมี อยากได้ อยากเป็น

หน้าที่ของคุณคือ เจริญสติต่อไป ไม่ต้องไปคิดแก้ไขอะไรทั้งสิ้น แก้ที่ตัวคุณเอง เรื่องภรรยาและลูก ล้วนเคยสร้างเหตุร่วมมากับคุณ คุณต้องแก้ที่ตัวคุณเอง ไม่ใช่ไปคิดแก้ไขสภาวะ เรื่องศิลไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือ จิตของคุณต่างหาก

มีสติรู้เท่าทันต่อกิเลสที่เกิดขึ้นไหม อะไรที่ภรรยาคุณไม่ชอบ คุณอย่าไปยุ่งกับเขา พูดครั้งเดียวแล้วจบ ทุกอย่างมีเหตุ ผลจึงเป็นเช่นนี้ ทำต่อไป เรื่องร้านเกมส์ไม่ต้องไปวิตกกังวล เมื่อถึงเวลาจะต้องเลิก เดี๋ยวมีเหตุให้เลิกเอง

say ตอนนี้ผมรู้ชัดในกายได้ พร้อมๆทั้งรู้ถึงความคิดที่เกิดขึ้น ตอนนี้ความคิดเกิดขึ้นมากมาย แต่ไม่ได้ไปรู้สึกรำคาญอะไร กายก็รู้ด้วย ความคิดแบบไหนคือตัวปัญญาครับ?

walai say ความคิดแล้วแต่เราจะให้ค่า ถ้าว่าในแง่ของตัวปัญญา ความคิดนั้นๆต้องเป็นไปในแง่ คิดแล้วเห็นแต่เหตุและผล คิดแต่เรื่องกิเลสของตัวเอง คิดแล้วมีแต่ถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่น นี่คือ สภาวะความคิดที่คิดแล้วเป็นปัญญาในการถ่ายถอนอุปทานแบบหยาบๆ

ถ้าคิดแล้ว มีแต่คิดเรื่องคนอื่นๆ มีแต่คิดเพ่งโทษคนอื่นๆ คิดแล้วคิดว่าตัวเองรู้มากหรือดีกว่าคนอื่นๆ คิดแบบนี้มีแต่การสร้างเหตุของการเกิด ไม่ใช่การสร้างเหตุของการดับที่เหตุ ต้องดูความคิดที่เกิดขึ้นให้ทัน หรือดูความรู้สึกเวลาที่ผัสสะเกิดให้ทัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร