วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 00:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 17:46
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนถามหน่อยค่ะ เพราะฝึกอยู่คนเดียวที่บ้าน กลัวจะเริ่มต้นไม่ถูกทาง

วันนี้เดินจงกรม เท้าขวาพุท เท้าซ้ายโธ และนั่งสมาธิ ท่องพุทโธโดยไม่กำหนดลมหายใจ พุทโธๆต่อเนื่องไปเลย มีวอกแวกบ้างบางครั้งแต่ก็ทำไปได้ประมาณ 20 นาทีแล้วก็พอ

การทอ่งพุทโธต่อเนื่องไปเลยแบบนี้โดยไม่กำหนดลมหายใจเข้าพุท ลมหายใจออกโธ แบบนี้พอใช้ได้หรือเปล่าคะ หรือว่าควรทำคู่กับการกำหนดลมหายใจ

ขอโทษถ้าคำถามมันตื้นๆไปหน่อยนะคะ แต่ขอความอนุเคราะห์ด้วย

.....................................................
...ชีวิตนี้น้อยนัก...


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดี คุณ Ich bin nie allein

การเดิน ไปเดินมา
การนั่ง
การเดินกำหนดลมหายใจเข้าออก
การนั่งกำหนดลมหายใจ
การบริกรรมพุทโธไม่กำหนดลมหายใจ
การบริกรรมพุทโธกำหนดลมหายใจ

เป็นสิ่งที่คุณฝึกโดยอ่านจากหลายๆ ตำรา ฟังมาจากหลายๆ แหล่ง
ความรู้มันอัดแน่นแต่ จับจุดไม่ได้ว่า การกระทำแต่ละอย่างมีจุดประสงค์อย่างไร จะำกำหนดจิตเพื่ออะไร
และต่อไปจะทำอย่างไร

อย่างนี้จะเรียกว่า สะเปะสะปะก็น่าจะได้

เอาอย่างนี้นะ ในการปฏิบัติดังเช่นข้างบน คุณ Ich พึงใจพอใจกับการปฏิบัติใดมากที่สุดที่จะทำให้คุณ Ich ไม่วอกแวกมากที่สุด เหมาะกับอัธยาศัยคุณ Ich มากที่สุด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2010, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 17:46
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค่ะ ใช่เลย สะเปะสะปะมากๆ

ถ้าอย่างนั้นจะทำให้มากขึ้นนะคะ ให้รู้ไปเลยว่าทำแบบไหนที่จะได้เห็นผลทางจิตบ้าง

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและขออนุโมทนานะคะ

ไว้จะมารบกวนอีก ^^

.....................................................
...ชีวิตนี้น้อยนัก...


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2010, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 06:15
โพสต์: 136

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมจะบอกว่าวิธีที่พี่ทำถูกแล้วครับผม เพียงแต่พี่เพิ่มจิตที่มั่นคงแน่วแน่และความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง(เอาไว้เป็นองค์เวลาทำสมาธิ)ให้นึกภาพติดเข้าไปในใจตลอดเวลาจำภาพให้ได้ตลอดเวลาถ้าเราทำได้เราค่อยทำสมาธิขั้นต่อไปคือจิตว่างเปล่าครับ coondoy@hotmail.com ปรึกษาได้ครับผม


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2010, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกต้องครับ ครั้งแรกคงยังแยกแยะไม่ค่อยเต็มที่
คงบอกว่า เวลามากกว่าครับและความสม่ำเสมอ
นั่งสมาธิทุกๆวันยิ่งดีครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.ย. 2010, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
วันนี้เดินจงกรม เท้าขวาพุท เท้าซ้ายโธ

พุท-โธ เวลากำหนดในการเดินจงกรม อย่าไปไว้ที่ปลายเท้า ให้กำหนดแนบที่หัวใจจะดูเหมาะสมกว่าเยอะ และพุท-โธเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิและอยู่สูง ควรกำหนดให้สูงกว่าบริเวณเอวขึ้นมา ...
ก้าวเท้าซ้าย จิตเพ่งมองกำหนดพุท ก้าวเท้าขวากำหนดโธ จริงๆจะก้าวซ้ายหรือขวา จิตตามรู้อาการก้าว
ให้ดี แล้วนึกบริกรรมพุทโธตรงหัวใจร้สึกที่หัวใจ และคำว่าพุทโธ ไม่จำเป็นต้องซ้ายพุท ขวาโท ก้ได้เป้น
บริกรรมประคองจิตขณะก้าวเดิน ให้มีความเชื่อมั่นและตั้งใจมากขึ้น ให้รู้ว่าจิตดูการก้าวเท้าไปมีความมั่นคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั่ง และหากทำได้สมาธิส่วนนี้จะส่งเสริมภาวนาในอริยาบถอื่นไปด้วย :b41:

ส่วนการหนดตามลมหายใจว่าพุทโธ ให้ทำตอนนั่งจะดีกว่าครับ เพราะนั่งกายไม่ได้เคลื่อนไหวจะเด่น
ในการหายใจเอาลมเข้าลมออกแล้วเอาจิตปักเบาๆตรงจมูกขณะลมเข้าว่า พุทธ เมื่อลมเข้าไปสุดแล้ว
พอจะออกมากระทบจมูกให้บอกว่า โธ ในใจ ทำแบบสบายไม่เกร็ง ปล่อยวางอารม และความอยากทั้งหมดออกไปจากใจ ทำให้คล้ายว่านั่งอยู่ใกล้ๆหนองน้ำใหญ่ เน้นให้จิตสบายและสดชื่นและตามดูลมหายใจเข้า ออก ให้ทัน ให้มันได้จังหวะน่ะครับ ให้ช้าเหมือนเครื่องสีโรงข้าวสีข้าวเปลือกช้าๆแต่ได้จังหวะและประสิทธิภาพบวกปริมาณมากเลย

ที่สำคัญอย่าเครียดหรือเกร็งหรือเพ่งจนเกินไป เพราะเราใช้ความรู้สึกเพ่งหรือนึกเอา ไม่ได้ใช้ตาเนื้อเพ่ง
จนตัวเกร็งหรือชา :b48:

จิตวอกแวก ถือเปนเรื่องปกติ ถ้าไม่วอกแวกถือเปนเรื่องแปลก นั่งนาน20 นาทีถือว่าพอดี ไม่มากไม่น้อยไปกำลังใช้ได้ ขอแต่ทำบ่อยๆอย่าเบื่อก้พอครับ :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย อินทรีย์5 เมื่อ 01 ต.ค. 2010, 20:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บวชเพื่อพ้นทุกข์ ข้าพเจ้าบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ณพัทสีมาวัดอรัญญิกาวาส อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อเวลา 09.50 น. เหตุดลบันดาลใจที่ให้บวชเพราะความทุกข์บีบคั้นจิตใจและเห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น่ายินดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้ฉายาว่า ปะสันโน หลังจากบวชแล้ว ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกับข้อวัตรปฏิบัติต่างๆตามรอยครูบาอาจารย์โดยหวังเพื่อจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง และมีความปรารถนาจะต้องรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าภายในชาตินี้ให้ได้ แม้ตัวตายก็ขอยอมเอาร่างกายชีวิตจิตใจเป็นเดิมพันไม่เสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งใดๆทั้งสิ้น ข้อปฏิบัติคือฉันอาหารมื้อเดียวเป็นวัตร ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นเป็นวัตร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นวัตรบทบริกรรมภาวนาครั้งแรกข้าพเจ้าใช้คำภาวนาคือพุทโธ ตามรอยครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยพร่ำสอนมาแต่ใหนแต่ไรภาวนาเรื่อยไปทำให้จิตใจสงบบ้างไม่สงบบ้าง บางทีทำให้จิตใจฟุ้งซ่านจิตใจไปอยู่กับสิ่งภายนอกหมด บางครั้งก็ทำให้ข้าพเจ้าหงุดหงิดรำคราญใจกับตนเองคิดว่าทางนี้ไม่น่าเป็นผลเสียแล้ว น่าจะมีวิธีหรือทางอื่นที่จะทำให้จิตใจสงบเร็วกว่านี้และไวกว่านี้อย่างน้อยก็ตัดความฟุ้งซ่านภายในจิตใจก็ยังดี ข้าพเจ้าคิดไม่ออกไม่รู้จะหาทางออกให้กับตนเองอย่างไรดี จนกระทั่งมีวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักท่าน พระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร ท่านได้แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้วิธีการปฏิบัติจิตภาวนาทางสายใหม่ก็คือมหาสติปัฏฐานสี่นั่นเองที่ให้ผลเร็วกว่าและตรงกว่า โดยท่านบอกว่าต้องปฏิบัติจิตด้วยความจริงใจมีความพียรทุกอิริยาบทใช้สติปัญญากำหนดรู้จิตให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใดจะยืน,เดิน,นั่ง,นอน,เหลียวซ้ายแลขวา,การขบการฉัน,การถ่ายหนัก,ถ่ายเบา,ก็ให้มีสติระลึกรู้อยู่กับผู้รู้ก็คือจิตนี่เอง การปฏิบัติทางจิตได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่านพระอาจารย์สุธีร์ท่านได้แนะนำให้รู้จักผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ สิ่งถูกรู้คือสิ่งที่เกิด-ดับ แต่ท่านพระอาจารย์สุธีร์ ให้มีสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ข้าพเจ้าเจริญสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับได้ประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ คืนวันที่ข้าพเจ้าได้ความสว่างกระจ่างแจ้งประจักรแก่จิตใจก็มาถึงในคืนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลาประมาณตีสองกว่าๆ มีความรู้สึกว่าตัวเองมีผู้รู้คอยเป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา รู้สึกอึดอัดรำคราญจิตใจ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญเข้าทำการประหัตประหารกับตัวกิเลสอันมีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ความยึดมั่นถือมั่นในตน โดยมีตัวมหาสติมหาปัญญาเข้าคลี่คลายสถานะการณ์ทะลุทะลวงอย่างเด็ดเดี่ยวอาจหาญเจาะเข้าไปที่อายตนะ๖และขันธ์๕ ได้ความว่า เหตุทุกอย่างเกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต เท่านั้นยังไม่พอตัวมหาสติ,มหาปัญญาไม่ไว้วางใจเข้าทะลุทะลวงสติปัฏฐาน๔ คือกาย,เวทนา,จิต,ธรรม, อย่างอาจหาญแกล้วกล้าไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นจนคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างจึงสงบ ฝ่ายกิเลสศิโรราบหั่นแหลกแตกกระจายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิงอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายสิ้นไปจากจิตใจไม่มีเหลือเรียกว่า กิเลสดับไปจากจิตใจแบบไม่มีเชื้อเหลือ เพราะกิเลสไม่สามารถทนทานต่อธรรมมาวุธคืออาวุธอันทันสมัยได้แก่มหาสติ,มหาปัญญา, ซึ่งเป็นอาวุธที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบ เพื่อรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร กิเลสทั้งหลายเมื่อถูกทำลายด้วยตปะธรรมคือธรรมของพระพุทธเจ้า การงานทางด้านจิตภาวนาเพื่อที่ถอดถอนกิเลสประเภทต่างๆได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เสร็จภารกิจของนักรบผู้กล้าที่ได้ชื่อได้นามว่า สากยะบุตรพุทธชิโนรสอย่างแท้จริง ไม่มีการเสกสรรปั้นแต่งแต่อย่างใดแต่เป็นความจริงล้วนๆ ผู้ที่สนใจต้องการปฏิบัติจิตให้ถึงความพ้นทุกข์สามารถปฏิบัติกันได้ด้วยกันทุกคน ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆทั้งสิ้นเพราะกิเลสมีอยู่ที่จิตที่ใจด้วยกันทุกคนการปฏิบัติก็ปฏิบัติที่จิตที่ใจนั่นเอง ขอให้มีความตั้งใจจริงกับธรรมของพระพุทธเจ้า และจะเห็นพุทธะที่แท้จริงซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า โยธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ได้ความสรุปว่าเหตุทุกอย่างกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต จิตไปยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเราเป็นของๆเรา ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,เขาก็เป็นของเขามาแต่ไหนแต่ไร ทุกอย่างเข้าสู่สถานะการณ์ปรกติ กายก็สักแต่ว่ากาย,เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา,จิตก็สักแต่ว่าจิต,ธรรมก็สักแต่ว่าธรรม,ทุกอย่างเป็นอยู่แล้วตามปรกติไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่ขัดไม่แย้งกัน ดังน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอนไม่ซึมซาบเข้าหากันฉันนั้น ไม่มีเราไม่มีเขา สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มีในจิตในใจอีกต่อไป ทุกอย่างได้ประจักรแจ้งแก่จิตแก่ใจข้าพเจ้าตอนนี้เอง อวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง จบแล้ว พอแล้ว เห็นความจริงชัดเจนแจ่มแจ้งกับจิตใจ พระพุทธเจ้าได้ปรากฏตรงนี้เองหมดความสงสัยเรื่องภพเรื่องชาติเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดโดยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รู้สักแต่ว่ารู้ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป ได้ธรรมบทหนึ่งว่า สัพเพ สังขารา อะนิจจา สัพเพธัมมา อะนัตตา และได้รวมลงสู่ไตรลักษณ์คือ อะนิจจัง,ทุกขัง,อะนัตตา,และจิตก็ได้กลายมาเป็นจิตดวงใหม่ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะไม่มีอุปปาทานนั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจกลั้นปิติไว้ในจิตในใจได้ มันได้ทะลักไหลล้นเป็นสายธารน้ำตาให้กับความโง่เหง่าเต่าตุ่นของตนเองและสัตว์โลกทั้งหลายที่พากันหลงเวียนเกิดเวียนตายหาที่สิ้นสุดยุติลงไม่ได้เกินที่จะพรรณนาอธิบายอย่างไม่อายต่อหน้าฟ้าดิน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวที่จิตที่ใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง บุญคุณพระคุณของพระพุทธเจ้าเกินสุดที่จะพรรณนาเกินสุดที่จะเอื้อนเอ่ย พระคุณของบิดามารดาหาที่สุดจะเปรียบเปรยและยากที่จะทดแทนพระคุณได้และยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ ทุกสิ่งทุกอย่างยืนยันด้วยจิตด้วยใจตนเองเป็น สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาจะพึงรู้เองเห็นเองอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ปัจจัตตัง รู้เฉพราะผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงเท่านั้น ส่วนผู้ที่ปฏิบัติจิตแบบปลอมๆก็เจอแต่ของปลอมที่กิเลสมันเสกสรรให้บรรลุธรรมก็บรรลุธรรมแบบปลอมๆ นิพพานก็นิพพานแบบปลอมๆ พ้นทุกข์ก็พ้นทุกข์แบบปลอมๆ แล้วก็พากันอวดอ้างว่าเป็นนิพพานของจริงเหมือนพวกมืดบอดด้วยปัญญาญาณเห็นกิเลสเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นกิเลส เห็นตะกั่วเป็นทองคำทั้งแท่ง ส่วนผู้ที่ท่านแจ่มแจ้งรู้พระนิพพานด้วยใจแล้ว ท่านได้แต่สงสารและเวทนาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันต้องขึ้นอยู่กับสัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคนด้วย ขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร พระมหาบัณฑิตของข้าพเจ้าที่คอยชี้แนะแนวทางให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร ได้ทำการประหัตประหารจอมกษัตริย์วัฏฏะจักร อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ได้สำเร็จลงได้เกินสุดที่จะบรรยาย พระคุณบุญคุณของครูบาอาจารย์ศิษย์ขอนอบน้อมด้วยจิตด้วยใจไว้หนือเกล้าด้วยชีวิตจิตใจ ที่ยากที่จะพรรณนาจนหาที่สุดไม่ได้ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ลาก่อนและลาขาดภพชาติภพภูมิ อันเป็นสถานที่เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย,ของสัตว์โลกผู้มืดบอดทั้งหลาย ขีณาชาติ ความเกิดได้สิ้นสุดยุติลงในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนี้นี่เอง อะกุปปา เม วิมุตติ ความหลุดพ้นนี้ไม่มีกำเริ่บอีกแล้วตลอดอนันตกาล อะกาลิโก พระทองดี ปะสันโน


โพสต์ เมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านของ k.suthee ต้องอนุโมทนาด้วยจริงใจ เพราะว่ายาวมากและได้ใจความดีเปนพุดถึงทำภาวนา
แบบเจริญสติให้อย่กับตัวเอง ทุกกิจกรรมที่ตัวเองทำ อ่านแล้วยาวจริงๆ ๆๆๆ ทำให้อ่านแล้วต้อง
ค่อยๆอ่านทีละบรรทัด แต่ที่ผมชอบจริงๆคือ 3 ย่อหน้านี้ครับ

อ้างคำพูด:
โดยท่านบอกว่าต้องปฏิบัติจิตด้วยความจริงใจมีความพียรทุกอิริยาบทใช้สติปัญญากำหนดรู้จิตให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใดจะยืน,เดิน,นั่ง,นอน,เหลียวซ้ายแลขวา,การขบการฉัน,การถ่ายหนัก,ถ่ายเบา,ก็ให้มีสติระลึกรู้อยู่กับผู้รู้ก็คือจิตนี่เอง การปฏิบัติทางจิตได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง


อ้างคำพูด:
มีความรู้สึกว่าตัวเองมีผู้รู้คอยเป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา รู้สึกอึดอัดรำคราญจิตใจ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญเข้าทำการประหัตประหารกับตัวกิเลสอันมีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ความยึดมั่นถือมั่นในตน โดยมีตัวมหาสติมหาปัญญาเข้าคลี่คลาย


อ้างคำพูด:
รวมลงสู่ไตรลักษณ์คือ อะนิจจัง,ทุกขัง,อะนัตตา,และจิตก็ได้กลายมาเป็นจิตดวงใหม่ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะไม่มีอุปปาทานนั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจกลั้นปิติไว้ในจิตในใจได้ มันได้ทะลักไหลล้นเป็นสายธารน้ำตาให้กับความโง่เหง่าเต่าตุ่นของตนเองและสัตว์โลกทั้งหลายที่พากันหลงเวียนเกิดเวียนตายหาที่สิ้นสุดยุติลงไม่ได้เกินที่จะพรรณนาอธิบาย


อ้างคำพูด:
มันต้องขึ้นอยู่กับสัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคนด้วย


แต่จริงๆน่าจะกั๊กไว้บ้าง แล้วค่อยทยอยๆเล่าอีกมาทีละย่อหน้า ๆ ๆ จะได้ให้คนเขาอยากติดตาม แต่ม้วน
เดียวจบแบบนี้ก้ดีเหมือนครับ เพราะผมได้อ่านรู้รวดเดียวทั้งหมดเลย


โพสต์ เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วมันถึงจิตถึงใจดีจริงๆครับ มันอิ่มใจ ซาบซึ้งใจ ถึงพระพุทธองค์ที่ทรงเสียสละ

พระองค์เพื่อช่วยผู้คนผู้มีทุกข์ ให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วยความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา

อนุโมทนาครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 20 มี.ค. 2012, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: cool cool

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร