วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2010, 05:27
โพสต์: 49

อายุ: 0
ที่อยู่: www.ccagthailand.com

 ข้อมูลส่วนตัว


เก่ง เก่ง กันทั้งนั้นเลย นะ

รู้อย่างเดียว ไม่มีประโยชน์ หรอกครับ 84000 พระธรรมขันธ์ เหมือนใบไม้ทั้งป่า
มันคนละเรื่อง กับลงมือทำ ตาม ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วสิ่งที่ท่านอยากจะรู้อยากจะเห็นจะเกิดขึ้นเอง
เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว แม้ ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านก็จะไม่ไปยึดมัน...............นี่ไงที่บอกอยากรู้ อยากจะไป นิพพาน
แต่ไม่เดินตามหนทาง ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วพอนกได้เป็นปลาก็จะรู้เอง หลุ หลุ หลุ

.....................................................
ธาตุ๔ ขันธ์ ๕ ทวาร ๖


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:

มัวแต่ว่า...ศีล..สมาธิ..ปัญญา
ระวังนะ..มันจะพลาดท่าตั้งแต่..ศีล..เอานะ

เก่ง... เก่ง..กันทั้งนั้นเลย..

ศีลข้อ 4..นี้มันละเอียดนะ..เริ่มตั้งแต่ในใจเลยหละ.. :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อนึ่ง ท่านพุทธทาส กล่าวหาพระธรรม อันสูงสุดนี้ว่า ในศาสนาอื่นก็มีอยู่ก่อนแล้ว แปลว่า เย็น,เชื่อง

ฉะนั้น สัตว์เดรัจฉาน ที่นำมาฝึกให้เชื่อง ก็ถือว่า นิพพาน ดังทิฏฐิของท่าน

http://www.buddhadasa.com/shortbook/nippanforall.html

สัตว์ป่าจับมาจากในป่า เช่น ป่า ช้างป่า อะไรป่านี่ มันดุร้ายเหลือประมาณ อันตรายเหลือประมาณ; เขาเอามาเข้าคอกเข้าที่ บังคับฝึกหัดไปจนสัตว์เหล่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว จนช้างป่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้; อย่างนี้ก็เรียกว่า มันนิพพาน



ทิฏฐิของท่านพุทธทาสอาจารย์ใหญ่ของคุณ mes ที่แสดงนิพพานผิด ๆ แบบนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับ ทิฏฐิ ๖๒ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ในหัวข้อใด

ดูแล้วท่านพุทธทาส มีทิฏฐิมากเหลือเกิน

---------------------------------------------------

นอกจากเรื่องพระนิพพาน อาจารย์ใหญ่ของคุณ mes จะไปแปลให้เข้ากับลัทธิอื่น แล้ว

ปฏิจจสมุปบาทธรรม ท่านก็ยังนำลัทธิอื่นเข้ามาปลอมปน เช่น ไปแปลให้เข้ากับเรื่องพระเจ้า เป็นต้น

ดังที่ศิษย์เอกของท่านนำมาลงในกระทู้นี้

viewtopic.php?f=2&t=33627&st=0&sk=t&sd=a&start=30


ในความหมายนี้ ย่อมกล่าวได้ว่า พระโองการของพระเจ้าแห่งไกวัลยธรรม เป็นสิ่งที่ควบคุมบังคับสิ่งทั้งหลายให้เป็นไป ฉะนั้น ทุกชีวิตจะมีสิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" ในฐานะเป็นผู้สร้างและควบคุมสิงสถิตอยู่ในทุกคนทุกๆ อณูแห่งชีวิต. (๑๖๒)

ไกวัลยธรรม คือพระเจ้าในฐานะเป็นกฎ

คำว่า God ในศาสนาคริสต์ ตรงกีบความหมายของคำว่า "กฎ" ในพุทธศาสนา เพราะคำว่า "กฎ" มีความหมายตรงกันกับ "กะตะ" (กต) คำลงท้ายด้วย "ตะ" มีการออกเสียงใกล้เคียงกับภาษาฝรั่ง เช่น ในคำว่า "มะตะ" กับ mortal ซึ่งแปลว่า "ตาย" ในความหมายนี้พอจะอนุโลมได้ว่า คำว่า God มาจากคำว่า "กฎ" หรือ กะตะ ของฝ่ายตะวันออก. (๑๖๓)

สิ่งที่เรียกว่า "กฎ" หมายถึง "ไกวัลยธรรม" อันมีลักษณะ คืออยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง เป็นแม่ของสิ่งทั้งปวง เป็นที่ไหลออกมาของสิ่งทั้งปวง แล้วควบคุมสิ่งทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งทุกเวลา ทุกสถานที่ อันมีลักษณะตรงกันกับสิ่งที่เรียกว่า God ซึ่งหมายถึงพระเจ้า ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า "ไกวัลยธรรม" คือ "พระเจ้า". (๑๖๔)

ไกวัลยธรรม ในฐานะเป็นกฎแห่งอิทัปปัจจยตา

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูความสัมพันธ์ของแก๊ง 3 สหาย

http://www.abhidhamonline.org/Ajan/

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างนี้ต้องบุญมี


ความฝัน ๐๒

โดย. ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร

คัดลอกมาจากหนังสือ..ความฝัน

จัดพิมพ์ไว้เมื่อ วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๑

โพสท์ในลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ เวบมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย เทพธรรม...นำมาฝาก [22 พ.ค. 2549]



เรื่องที่ ๙

ฝันประหลาด

โดยขุนอภิรักษ์จรรยา

พูดถึงเรื่อง “ฝัน” วันหนึ่ง คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้สนทนากับอาจารย์บุญมี เมธางกูร ประธานกรรมการอภิธรรมมูลนิธิ วัดพระเชตุพน ฯ และผู้บรรยายพระอภิธรรมแก่นักศึกษา ประจำวันเสาร์และวันอาทิตย์มาหลายปี ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปศึกษาพระอภิธรรมที่ศาลาโพธิลังกา จนกระทั้งย้ายไปยังตึก (๓ ชั้น) สร้างใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นมา

ในวันนั้นได้สนทนากับท่านหลายเรื่องแต่ตอนท้ายได้พูดถึงเรื่อง “ฝัน” ข้าพเจ้าเล่าให้อาจารย์บุญมี เมธางกูร ฟังว่า

“ผมนี่แปลก ถ้าฝันเห็นพระ (ภิกษุ) ทีไร รุ่งขึ้นเป็นได้พระสมเด็จ (พุฒาจารย์ โต พรหมรังสี) ทุกที"

แล้วข้าพเจ้าก็เล่าถึงเรื่องที่ฝันให้อาจารย์บุญมีฟังถึงเรื่องที่ได้พระสมเด็จ โดยฝันทำนองนี้ถึง ๒ ครั้ง อาจารย์บุญมี เมธางกูร ชักสนใจ จึงขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้โดยละเอียด และว่าท่านจะนำไปลงหนังสือ (คงจะเป็นชุดเรื่องผีสางเทวดา ที่ท่านกำลังรวบรวมพิมพ์อยู่) ข้าพเจ้าได้รับปากท่านว่าจะเขียนให้ เพราะยังจำเหตุการณ์ในฝันได้ดีอยู่ จึงขอเล่าเรื่องที่ฝัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็มีผู้มาบอกให้พระสมเด็จ ฯ ดังต่อไปนี้:

ครั้งที่ ๑ เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๔๙๕ (๒๑ ปีมาแล้ว) ข้าพเจ้ากับเพื่อนข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการอีก ๔ -๕ คนนั่งรถของกระทรวงคันเดียวกัน ได้ไปส่ง ม.ล. ปิ่น มาลากุล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเดินทางไปประชุม ณ ต่างประเทศ ที่สนามบินดอนเมืองประมาณเวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา เมื่อส่งท่านแล้ว ได้กลับมาแวะที่ตลาดศรีย่านเพื่อรับประทานโจ๊ก ขณะที่นั่งรับประทานโจ๊กกันอยู่นั้น มีคุณเยื้อ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้ากองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวง ฯ (ตำแหน่งในขณะนั้น ภายหลังเป็นรองปลัดกระทรวง) ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า

“ท่านขุนพระสมเด็จนี่ นึกๆ ถึงท่านไป แล้วก็จะได้มาเอง ผมได้มาหนึ่งองค์แล้ว”

ข้าพเจ้าก็รับฟังไว้ ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อรับประทานโจ๊ก คนขับรถก็ขับไปส่งตามบ้านต่างๆ ข้าพเจ้าเป็นบ้านสุดท้าย คือ อยู่ที่จุฬาลงกรณ์ซอย ๑๑ ปทุมวัน เมื่อมาถึงบ้านแล้ว ก็อาบน้ำ เข้านอนเวลาประมาณ ๒๒.๓๐ น. คืนนั้นนอนหลับไปประมาณตี ๒ (๒ นาฬิกา) ฝันว่าได้เห็นพระภิกษุ ๓ รูปมาบิณฑบาต ข้าพเจ้าก็ได้ใส่บาตรทั้ง ๓ รูป และได้ใส่บุหรี่การิคลงไปในบาตรด้วย (ข้าพเจ้าเคยสูบบุหรี่การิกบ่อยๆ) ลืมตาตื่นขึ้นมายังจำความฝันได้ดี ยังนึกในใจว่า ฝันเห็นพระคงจะดี แล้วก็นอนต่อไปอีก

ตื่นเอาตอนเช้า พอเวลาประมาณ ๗.๓๐ น. ก็แต่งตัวออกจากซอย มาขึ้นรถประจำทางสายหัวลำโพง-ปากน้ำ เพื่อจะไปบ้านที่ปากน้ำ (อยู่ในตลาดเก่า) มีภรรยาและบุตรบางคนอยู่ โดยอพยพไปอยู่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ราว พ.ศ. ๒๔๘๗ อยู่ในบริเวณตลาด ก็เลยเปิดร้านค้าด้วย ส่วนที่บ้านจุฬา ฯ ซอย ๑๑ ข้าพเจ้าอยู่กับลูกๆ บางคนที่รับราชการ และที่กำลังเล่าเรียนอยู่ ตัวข้าพเจ้าเองในระยะนั้น ประจำทำงานอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อไปถึงบ้านที่ปากน้ำได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีแขกคนหนึ่งไปเยี่ยม แขกผู้นี้เคยเป็นเพื่อนครูด้วยกันมา และภายหลังข้าพเจ้ากลับเป็นผู้บังคับบัญชาเขา เขาเป็นศึกษาธิการอำเภอ ในเขตกรุงเทพมหานคร มีอายุแก่กว่าข้าพเจ้า ๓ ปี เมื่อไปพบข้าพเจ้า นั่งลงสนทนากันอย่างสนิทสนมในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ประโยคแรกที่เขาพูดกับข้าพเจ้าคือ

“ท่านขุน ไม่เล่นพระสมเด็จ ฯ บ้างหรือ ?”

ข้าพเจ้าตอบว่า "โอ ! คุณ ราคามันแพง องค์ละตั้ง ๓-๔ พันบาท (ราคาสมัยนั้น) เล่นไม่ไหวดอก"

ต่อจากนั้นก็ได้สนทนากันถึงเรื่องสารทุกข์สุขดิบ ไปตามภาษาคนที่คุ้นเคยกัน และนานๆ พบกันที

เขานั่งคุยอยู่เกือบชั่วโมงจึงได้ลากลับไป แต่ก่อนจะกลับเขาพูดว่า

“ท่านขุน ! ผมมีพระสมเด็จ ๓ องค์ ผมจะให้ท่านขุนสักองค์หนึ่ง”

ข้าพเจ้าได้ยินคำพูดของเขาก็ตะลึงงง ไม่นึกไปถึงว่าเขาจะกล้าให้ของที่นับถือ และมีค่าสูงสุดอย่างนี้ แล้วเขายังพูดต่อไปว่า

“วันพฤหัส ผมจะมาฝากคุณนายไว้”

ข้าพเจ้าก็กล่าวขอบคุณเขา ในที่สุดเขาก็ลาไป และรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็เดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งข้าพเจ้าประจำทำงานอยู่ โดยปรกติข้าพเจ้ามีสำนักงานอยู่ต่างหากจากศาลากลางจังหวัด และข้าพเจ้าก็พักบนสำนักงานนั้น ชั้นล่างเป็นที่ทำงานของข้าพเจ้า และมีเจ้าหน้าที่รองๆ อีก ๔-๕ คน ทำงานอยู่อีกหลังหนึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ดังนั้น ครอบครัวจึงไม่ได้ไปอยู่ด้วย

พอเช้าวันเสาร์ ข้าพเจ้าก็กลับไปบ้านปากน้ำอีกตามเคย พอไปถึงภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่า ครูชำนาญเอาพระสมเด็จ ฯ มาไว้ให้ ๓ องค์ กับจดหมายฉบับหนึ่งแต่วันพฤหัส (คุณชำนาญ ธีรกุล บ้านอยู่อำเภอบางบ่อ และเคยเป็นศึกษาธิการอำเภอบางบ่อแห่งเดียวจนกระทั้งอายุครบเกษียณ)

ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของคุณชำนาญด้วยความระทึกใจ ในจดหมายนั้นบอกว่าได้ส่งพระสมเด็จมา ๓ องค์ ให้ข้าพเจ้าเลือกเอาองค์หนึ่ง ข้าพเจ้าได้ดูพระสมเด็จทั้ง ๓ องค์ ปรากฏว่า วัสดุที่เจ้าพระคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต สร้างนั้น ไม่เหมือนกัน คือ องค์หนึ่งเป็นสมเด็จถ้ำชา คือ ทำจากที่ใส่ใบชาเป้ตะกั่วสีเทาอมดำ องค์ที่ ๒ เป็นสมเด็จใบลาน ทำจากผงใบลานที่พระท่านเทศน์เผาจนป่นเป็นผงละเอียดสีดำ องค์ที่ ๓ เป็นพระผง เป็นเนื้อผงสีงาช้าง องค์ที่ ๓ นี้ถูกใจ ข้าพเจ้าตั้งใจจะขอรับองค์นี้ไว้

ต่อมาอีก ๒ หรือ ๓ สัปดาห์ คุณชำนาญก็ได้มาขอรับ ๒ องค์ที่เหลือคืน ข้าพเจ้าก็บอกเขาว่า ถ้าคุณเต็มใจให้ผมก็ขอองค์นี้ (คือองค์พระผง) เขาก็ให้โดยดีและแสดงอาการเต็มใจ และบอกต่อไปด้วยว่า พระองค์นี้มีผู้เขาตีราคาไว้ ๒,๐๐๐ บาท (เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕) ข้าพเจ้าได้กล่าวขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก และในที่สุดเขาก็ลากลับ

ข้าพเจ้าได้ย้อนกลับมานึกถึงเรื่องที่ฝันเมื่อคืน ก่อนที่คุณชำนาญมาบอกให้พระ ว่าฝันว่าเจอพระภิกษุ ๓ องค์ ได้ใส่บาตรทั้ง ๓ องค์ แล้วคุณชำนาญก็ได้นำพระสมเด็จมาถึง ๓ องค์ ให้เลือกเอาองค์หนึ่ง แล้วก็ตรงกับคุณเยื้อ วิชัยดิษฐ์ เล่าให้ฟังเมื่อคืนวันไปส่ง ม.ล. ปิ่น มาลากุล ที่ศรีย่าน ว่านึกๆ ไปแล้วก็ต้องจะได้เอง

ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องพระเครื่องมาก่อน เคยสนใจแต่พระบูชา และก็เคยได้มาอย่างประหลาดๆ โดยมิได้นึกฝันตั้งแต่สมัยรับราชการอยู่ต่างจังหวัดลำปางและเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ๓-๔ องค์ ซึ่งรู้สึกดีใจยิ่งกว่าได้เงินได้ทองเสียอีก

อย่างไรก็ดี เมื่อได้พระสมเด็จจากคุณชำนาญมา ข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจพระเครื่องขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เป็นแต่เพียงสนใจเท่านั้น มิได้แสวงหาหรือเช่าซื้อเพิ่มเติมอีก พระสมเด็จ ฯ องค์ดังกล่าว ข้าพเจ้าได้เลี่ยมทองใส่กล่องเป็นอย่างดี และสวมคล้องคอตลอดมาเป็นเวลา ๒๐ ปี และเพิ่งจะให้บุตรชายคนเล็กไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง

ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พระสมเด็จ ฯ องค์นี้มีอภินิหารหลายอย่าง ซึ่งเคยปรากฏแก่ตัวข้าพเจ้ามาแล้วอย่างน้อย ๒ ครั้ง คือ ๑. ใช้รักษาโรคอย่างศักดิ์สิทธิ์ ๒.แคล้วคลาดจากภัยอันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุอย่างน่าพิศวง ถ้าบรรยายเหตุการณ์ทั้ง ๒ ครั้งนี้ก็จะมากเรื่องไป และบางท่านอาจจะไม่เชื่อเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าก็เป็นได้

ครั้งที่ ๒ เหตุการณ์ผ่านมาประมาณปีเศษ ศึกษาธิการจังหวัดอ่างทองได้เปิดอบรมครูขึ้นที่จังหวัด ได้มีหนังสือเชิญให้ข้าพเจ้ากล่าวอบรมและบรรยายให้ความรู้แก่ครู ประมาณเกือบ ๒๐๐ คน ในราวปลายปี ๒๔๙๖ สำนักงานของข้าพเจ้ามีเรือยนต์หลวงอยู่ลำหนึ่ง เป็นเรือเก่าใช้เครื่องน้ำมันก๊าด สร้างมาแต่สมัยพระยาวิภัชวิทยาสาสน์เป็นศึกษาธิการมณฑล ข้าพเจ้านัดคนเรือว่าจะไปวันรุ่งขึ้น โดยเสมียนจดรายงานไปด้วยคนหนึ่ง

คืนวันนั้นข้าพเจ้านอนอยู่บนสำนักงานคนเดียว ชั้นล่างมาครูทำหน้าที่เสมียนนอนอยู่คนหนึ่ง โดยปรกติข้าพเจ้านอนเวลา ๒๒.๐๐ น. ตอนดึกข้าพเจ้าได้ฝันเห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่บาตรเหมือนฝันครั้งก่อน เพราะท่านไม่ได้มาบิณฑบาต ในฝันนั้นข้าพเจ้าจะได้สนทนาอะไรกับท่านบ้างจำไม่ได้เสียแล้ว แต่นึกในใจอยู่ว่า ถ้าฝันเห็นพระภิกษุ ถือว่าเป็นฝันที่เป็นมงคลและนิมิตดีอยู่ ได้แต่นึกเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๘.๐๐ น. เศษ คนเรือก็นำเรือวิภัชน์มาจอดด้านหลังสำนักงาน

ข้าพเจ้าเตรียมกระเป๋าเดินทางและเอาเสมียนประจำสำนักงานไปด้วยคนหนึ่ง นั่งเรือไปสักพักใหญ่ เกือบจะพ้นเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว นึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาได้ จึงพูดกับนายอารี ศาสตร์สาระ (ปัจจุบันเป็นศึกษาธิการอำเภอโท อำเภอคลองสาน) ว่า

“เออ ! นายอารี เมื่อคืนฉันฝันดี ฝันว่าได้เห็นพระภิกษุองค์หนึ่ง ฝันเห็นพระนี่ ถือว่าฝันดี ฝันแบบนี้ฉันเคยได้พระสมเด็จ ฯ มาองค์หนึ่งแล้ว ไปอ่างทองคราวนี่ ฉันมองไม่ออกว่า จะมีอะไรดี”

พูดแล้วก็ทิ้งเสีย มิได้เก็บเอามาถือเป็นอารมณ์อีก

ระหว่างทางได้แวะนมัสการพระนอนป่าโมกข์ และตรวจโรงเรียนประจำอำเภอป่าโมกข์ ถึงตัวอำเภอตอนบ่าย คุณประยูร วีรวงษ์ ศึกษาธิการจังหวัด ให้พักที่ห้องมุขโรงเรียนประจำจังหวัด สะดวกและกว้างดี และการอบรมครูก็จัดขึ้นที่ ณ โรงเรียนนั้นเอง พอตกค่ำรับประทานอาหารแล้ว เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. ข้าพเจ้าจึงได้บรรยายในที่ประชุมครู ถึงเรื่องหน้าที่การงาน การสอน การปกครอง ตลอดถึงความประพฤติของครู การบรรยายใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที จึงเลิกประชุม

หลังจากเลิกประชุมแล้ว กลับมาห้องพักสนทนากับศึกษาจังหวัด ผู้ช่วย และศึกษาธิการอำเภอ อยู่เป็นเวลานาน จึงได้เข้านอนหลับสนิทไปจนเช้ามืด ตามธรรมดาข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าอยู่แล้ว ปรกติตื่นเวลา ๕.๓๐ น. เมื่อตื่นแล้วก็เดินทางลงข้างล่างจะไปห้องน้ำ เดินสวนทางกับครูคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จักว่าอยู่อำเภอโพธิ์ทอง แต่ไม่รู้จักชื่อ

ครูคนนี้หยุดพูดกับข้าพเจ้าว่า “ท่านครับ ผมมีพระมาให้ท่านดู ประเดี๋ยวผมจะไปหาท่าน”

พูดเท่านั้นข้าพเจ้าก็พยักหน้ารับแล้วเดินทางไปยังห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จแล้วออกมาห้องพัก สักครู่ใหญ่ๆ ครูคนที่ว่านี้ก็เข้าไปหาข้าพเจ้าในห้องพัก ขณะนั้นศึกษาธิการจังหวัดได้เข้าไปสนทนาอยู่ก่อนแล้ว ครูคนนั้นก็ได้เอากล่องพระเครื่องออกมาทั้งกล่อง เป็นกล่องสังกะสีสำหรับใช้ใส่สบู่ ดูเหมือนสบู่ตราวัว ๓ ก้อน มีพระเครื่องหลายสิบองค์ และอีกองค์หนึ่งเขาถอดออกจากคอ ลงมาวางปนกับพระอื่นๆ ในกล่องนั้นด้วยพร้อมกับพูดว่า

“ท่านเลือกเอาเถิดครับ เอาองค์ไหนก็ได้”

ข้าพเจ้ามองหน้าเขาด้วยความพิศวง แล้วก็มองดูพระเครื่องในกล่องนั้นที่มีอยู่มากมาย ในที่สุดข้าพเจ้าไปสะดุดตาเข้าองค์หนึ่ง ลักษณะเป็นพระสมเด็จ แต่เป็นรูปสามเหลี่ยม หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “สมเด็จสามเหลี่ยม”

ข้าพเจ้าจึงบอกเขาว่า “คุณเต็มใจจะให้ ผมก็อยากได้องค์นี้” (ชี้ที่องค์ ๓ เหลี่ยม)

เขาก็เอาออกมาถอดจากสร้อยคอที่แขวนพระ ส่งให้ข้าพเจ้า

พระองค์นี้เลี่ยมนากไว้ ข้าพเจ้าบอกว่านากผมไม่เอาดอก ขอแต่พระเฉยๆ ก็พอ เขาจึงแกะเอาพระออกจากที่เลี่ยมนาก ส่งให้ผมด้วยความเต็มใจ ต่อหน้าศึกษาธิการจังหวัด ข้าพเจ้าได้ตอบขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก ศึกษาธิการจังหวัดไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระสมเด็จแท้หรือไม่ จึงให้คนไปเชิญผู้ชำนาญการดูพระเครื่องมา ผู้ชำนาญพระเครื่องนี้ เป็นข้าราชการตำแหน่งคลังจังหวัดอ่างทอง เมื่อท่านผู้นี้เห็นพระสมเด็จสามเหลี่ยม ก็ถามข้าพเจ้าทันทีว่า ‘เขาบอกให้แล้วหรือครับ ?” ถามอยู่เช่นนี้ ๒-๓ ครั้ง

ผมตอบไปว่า “ครับ เขาให้แล้ว”

คลังจังหวัดดูพระแล้วก็บอกว่า “ดีมากครับ”

ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อคราวข้าพเจ้าไปตรวจอำเภอโพธิ์ทอง เมื่อคราวก่อนครูคนเดียวกันนี้ได้เคยเอาพระเครื่องมาให้ถึง ๓ องค์ ยังระลึกถึงเจ้าของผู้ให้อยู่เสมอ

พระสมเด็จสามเหลี่ยมนี้ เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งเป็นคลังภาค ๑ (อยุธยา) คือ ขุนอนุการบรรณกิจ (ทองคำ โกมลมิศร) ว่า มีอภินิหารดีมาก และรักษาโรคได้ด้วย เคยมีคนเช่าซื้อราคาตั้งหมื่นก็หาไม่ได้ ส่วนตัวเขานั้นเพิ่งได้มา โดยเช่ามาเพียงราคา ๑ พันบาทเท่านั้น และเขาบอกข้าพเจ้าว่า เขาจะหาได้เคยมีคนมาบอกให้เช่าในราคา ๑,๕๐๐ บาท แต่ตอนนี้ยังไม่ได้พบตัวกัน เผอิญก็มีผู้มาให้ข้าพเจ้าเสียก่อน เขาเล่าถึงอภินิหารของพระสมเด็จสามเหลี่ยมยืดยาวเกี่ยวกับการรักษาโรค คล้ายกับเรื่องของข้าพเจ้าเหมือนกัน เป็นอันพอจะยืนยันได้ว่า พระสมเด็จรูปสามเหลี่ยมก็ดี สมเด็จรูปสี่เหลี่ยมก็ดี ถ้าเป็นของแท้รักษาโรคได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ และก็เกิดจากประสบการณ์แก่ตัวข้าพเจ้าเองด้วย ดังได้เล่ามาตอนต้นแล้ว

ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นพระภิกษุ ๒ ครั้งๆ แรกเห็น ๓ องค์ และได้ใส่บาตรทั้ง ๓ องค์ รุ่งขึ้นก็มีผู้มาบอกให้พระสมเด็จ โดยนำมา ๓ องค์ ให้เลือกเอาองค์หนึ่ง ครั้งที่ ๒ เห็นพระภิกษุองค์เดียว รุ่งขึ้นก็มีผู้นำพระสมเด็จ (สามเหลี่ยม) มาให้องค์หนึ่ง จึงทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ถ้าฝันเห็นพระภิกษุ หรือฝันเห็นพระพุทธรูป คงจะเป็นนิมิตมงคลที่ดีแน่นอน

อนึ่ง ขอเล่าเรื่องพระสมเด็จอีกสักหน่อย กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้พระสมเด็จพุฒาจารย์โตโดยมิได้ฝันล่วงหน้าก็ยังมีอีก ๒ ครั้ง ครั้งหนึ่งมีผู้นำมาให้ถึง ๓ องค์ แต่ไม่พบตัวข้าพเจ้า เป็นพระสมเด็จสี่เหลี่ยมองค์หนึ่งงดงามพอๆ กับที่ได้องค์แรกอีก ๒ องค์ รูปขององค์สมเด็จเลือนลาง ไม่ใคร่ชัดเจน รายนี้ผู้ให้เป็นศึกษาธิการอำเภอ อีกองค์หนึ่งผู้นำมาให้ข้าพเจ้าไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นครู แต่เป็นข้าราชการกรมชลประทานมีภรรยาเป็นครู ในเขตท้องที่ๆ ข้าพเจ้าปกครอง ทำเรื่องราวเสนอขอย้ายภรรยาเข้ากรุงเทพ ฯ อยู่ร่วมกับสามีผ่านข้าพเจ้า เรื่องผัวเมียอยู่คนละจังหวัดนี้มามากมายและทางราชการก็มักจะช่วยเหลือในโอกาสที่จะช่วยได้ รายนี้ข้าพเจ้าก็ทำไปตามหน้าที่ ทั้งๆ ที่ไม่คุ้นเคยรู้จักทั้งสามีและภรรยา ในที่สุดภรรยาได้ย้ายไปอยู่ร่วมกับสามีสมความประสงค์ เหตุการณ์ล่วงเลยมานานเกือบปี

วันหนึ่งฝ่ายสามีได้ไปหาข้าพเจ้าที่บ้านปากน้ำวันอาทิตย์ เผอิญข้าพเจ้าไม่อยู่ ไปเยี่ยมญาติที่พระประแดง ข้าพเจ้ากลับราวบ่าย ๒ โมงเศษ ชายผู้นี้ยังคงคอยข้าพเจ้าอยู่ตั้งแต่ ๑๐ นาฬิกา จนบ่าย ๒ โมงเศษ เมื่อพบกันแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักเขา เขาก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ช่วยให้ภรรยาเขาได้ย้ายมาอยู่ร่วมกัน

ด้วยความระลึกถึงในความช่วยเหลือที่ข้าพเจ้ามีต่อภรรยาเขาจึงมาหาและนำพระมาให้ ว่าแล้วเขาก็เอาพระออก มี ๕-๖ องค์ ที่สร้อยคอ เขาแขวนพระสมเด็จงามอยู่องค์หนึ่ง เขาทำท่าจะถอดออกมาวางให้เลือก ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ไม่ต้อง คุณเอาไว้บูชาติดตัวคุณไว้เถิด แล้วข้าพเจ้าก็ดูพระที่วางไว้ ก็เห็นพระสมเด็จองค์หนึ่งสวยงามมากแต่ชำรุด คือ หัก ๒ ท่อน จึงคิดเอาองค์นี้ดีกว่า เจ้าของจะได้ไม่เสียดายมาก ในที่สุดข้าพเจ้าก็บอกเขาว่า เอาองค์ที่หัก ๒ ท่อนนี่แหละ เขาก็มอบให้โดยดี ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจเขาแล้วเขาก็ลากลับ

สรุปแล้ว ข้าพเจ้าได้พระสมเด็จอีก ๒ ครั้ง โดยไม่ได้ฝันล่วงหน้า และโดยไม่ได้คิดนึกมาก่อนว่าจะมีผู้นำมาให้ ทั้งๆ ที่คนสุดท้ายนี้มิได้รู้จักและเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลย

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้วานลูกศิษย์นำองค์หนึ่งไปให้ช่างเชื่อมพระ เชื่อมรอยต่อที่หักมาเรียบร้อยแล้ว ดูไม่รู้ว่ามีชำรุดหรือเสียหายตรงไหน แต่สมเด็จองค์นี้มีเรื่องราวยืดยาว ขอเล่าเพียงสั้นๆ ว่า ข้าพเจ้าถูกต้ม เพราะข้าพเจ้าเอาองค์นี้ไปให้พระเถระรูปหนึ่งดู ท่านขอเอาไว้บอกว่าจะตกแต่งให้ดีกว่านี้ เนื่องจากข้าพเจ้าคุ้นเคยกันมาก่อน จึงมอบให้ท่านด้วยความไว้วางใจ แต่แล้วข้าพเจ้าก็ผิดหวังเอาคืนจากท่านไม่ได้ ท่านบอกว่ามีคนยักยอกไปจากท่านอีกทีหนึ่ง ในที่สุดท่านขอชดใช้เงินข้าพเจ้าเพียงหนึ่งพันบาท ซึ่งราคาในขณะนั้นให้เช่ากันประมาณ ๔ -๕ พันบาท ข้าพเจ้าเห็นกับตา ที่ท่านรับเงินค่าให้เช่าพระจากผู้อื่น ข้าพเจ้าจำได้ว่าเหตุการณ์เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ก่อนที่จะเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปเพียง ๑ เดือน

พระภิกษุรูปดังกล่าว ข้าพเจ้าขอสงวนนามท่าน บอกได้เพียงแต่ว่าท่านเป็นพระนิกายมหายาน ในที่สุดข้าพเจ้าขอยุติเรื่องฝันเห็นพระภิกษุกับเรื่องที่ได้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มาโดยมิได้นึกถึง หรือทราบล่วงหน้ามาก่อน และทั้งบางท่านที่ให้ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนดังได้บรรยายมาแล้วแต่ต้นเท่าที่อยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าเพียงเท่านี้

เรื่องที่ ๑๐

ความฝันของสุภาพบุรุษผู้หนึ่งกับศาลพระภูมิ

ท่านสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวพรานนก ฝั่งธนบุรี (ในเวลานั้นราว พ.ศ. ๒๕๐๕) มีภรรยาคนหนึ่ง และมีบุตรหญิงชายหลายคน

สุภาพบุรุษผู้เป็นพ่อบ้าน มีงานอาชีพที่ต้องไปทำเป็นประจำ โดยต้องออกจากบ้านแต่เช้า กลับมาบ้านก็เย็นมากทุกๆ วัน

เขามิได้มีความสนใจในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหารใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งเห็นว่าเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย ไม่ควรเอามาใส่ใจ แต่ภรรยาของเขามิได้คิดเช่นนั้น มีความเห็นตรงกันข้าม มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวนี้เป็นพิเศษ เห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริงๆ และผีสางเทวดาก็มี รวมทั้งเรื่องคาถาอาคมด้วย ดังนั้นจึงไปที่โน่นและมาที่นี่อยู่เสมอ เพื่อหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์วิทยาคมทุกอย่าง ทั้งชอบทำบุญให้ทานเพื่อความสวัสดิมงคลให้ตนและครอบครัวอยู่เสมอ แต่แอบทำเงียบๆ

คืนวันหนึ่ง พ่อบ้านนอนหลับไปแล้วได้ฝันว่า น้ำได้ไหลบ่าเข้ามาท่วมบ้านไหลเข้ามา แล้วเอิบอาบไปโดยรวดเร็ว น้ำที่ไหลเข้ามาเชี่ยวกรากสูงราวสัก ๒ ฟุต ทั้งภายในและภายนอกบ้าน ในฝันนั้นว่าเขารู้สึกตกใจมาก เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยฉับพลันทันที แล้วในขณะนั้นก็ได้เห็นม้าตัวหนึ่งสีดำราวกับนิล ตัวใหญ่โตล่ำสันแข็งแรงมาก เชิดคอสูงอย่างมีสง่าราศี วิ่งเข้ามาจากทางไหนไม่ปรากฏ แต่วิ่งไปบนน้ำ โดยวิ่งวนไปวนมารอบๆ บ้านอย่างรวดเร็ว

ในทันใดนั้นเอง เขาได้เห็นเด็กคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงรูปร่างดี สวยงามน่ารักที่ศีรษะมีผมจุกด้วย วิ่งลุยน้ำเข้ามาในรั้วบ้านเหมือนกัน พอดีในขณะนั้นม้าก็วิ่งมา เขาตกใจมาก เพราะกลัวว่าม้าจะวิ่งมาเหยียบเอาเด็กตาย จึงได้รีบกระโดดเข้าไปตะครุบเอาเด็กคนนั้นมาไว้ที่วงแขน แล้วรีบพาเด็กออกมาให้พ้นทางวิ่งของม้าโดยเร็ว เขามีความรู้สึกตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์เหล่านี้มาก แม้ตื่นขึ้นมาแล้วยังใจสั่นหวั่นไหวอยู่ตั้งนานแล้วคิดว่า คืนนี้เกิดฝันร้ายจริงๆ ไม่เคยฝันดังนี้หรือคล้ายๆ กันนี้มาก่อนเลย

ในวันรุ่งเช้าจึงได้เล่าความฝันให้ภรรยาฟัง แต่เขามีความประหลาดใจมากที่เห็นภรรยากลับชื่นชมยินดีในความฝันนั้น แล้วกล่าวว่า

“บ้านอันเป็นที่อยู่อาศัยของเราหลังนี้ ก็อยู่กันมาหลายปีแล้ว มีความสุขความสบายตามสมควร แต่เราไม่เคยได้สร้างศาลพระภูมิเอาไว้ในรั้วบ้านเลย เพราะคุณเห็นว่าไม่จำเป็น และดิฉันก็ไม่อยากจะขัดใจ

แต่อย่างไรก็ดี ในปีนี้ดิฉันมีความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องตั้งศาลพระภูมิเสียที เพื่อความสวัสดิมงคลของครอบครัว และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเรายิ่งขึ้น

ครั้นจะปรึกษากับคุณก็เกรงว่าจะเกิดขัดใจกัน จึงคิดเงียบๆ โดยมิให้คุณทราบเมื่อเวลาคุณไปทำงานแล้ว

ดังนั้น เมื่อวานนี้เองจึงได้เชิญท่านผู้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้มาทำพิธี มีข้าวของต่างๆ ตามที่เจ้าพิธีสั่งเอาไว้ เช่นมีเจว็ด มีตุ๊กตา มีช้าง ม้า เพื่อเอาไว้ในศาล ตลอดจนมีข้าวของเพื่อร่วมพิธีอีกหลายอย่าง มีข้าวตอกดอกไม้และขนมนมเนยเป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ เทวดาที่ศาลพระภูมิ ท่านเห็นว่าคุณมิได้เลื่อมใส มิได้เชื่อถือ ในคืนวันตั้งศาลนั่นเอง ท่านจึงได้แสดงอำนาจอภินิหารให้คุณได้ประจักษ์ในความฝันเพื่อให้คุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่” ว่าแล้วภรรยาจึงได้เชิญสามีให้ไปดูศาลพระภูมิด้วยกัน

สามีมีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นในศาลพระภูมินั้น นอกจากอื่นๆ แล้ว มีม้า ๑ ตัว (ช้างอีก ๑ ตัว) มีเด็กหญิงหัวจุกนั่งอยู่หนึ่งคนด้วย (มีเด็กอีกหนึ่งคน) เขาจึงคิดในใจว่า “เราจะหมิ่นประมาทในความรู้ความเข้าใจของท่านผู้ใดไม่ได้เสียแล้ว ในเมื่อเราค้นคว้าเข้าไปยังไม่ถึง.”

เรื่องที่ ๑๑

ความฝันของผมเอง (อ.บุญมี เมธางกูร)

ความฝัน ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นมาในค่ำคืนหนึ่งเมื่อ ๔๐ ปีเศษมาแล้ว แม้จะนานแสนนานอย่างไรผมก็ไม่เคยลืมเลย เพราะเป็นความฝันในครั้งแรกที่เกิดเป็นความจริงขึ้นมาอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ในเวลานั้น ผมก็ได้มีแต่ความสงสัย แล้วก็ครุ่นคิดไปต่างๆ นานา แต่ก็หาเหตุผลอะไรไม่ได้แม้แต่สักเล็กน้อย เมื่อเห็นสมควรว่าจะซักถามใคร ก็ซักถามไปรวมแล้วก็หลายท่าน ก็ได้รับคำตอบยังไม่เป็นที่พอใจ เมื่อผมมาศึกษาพระอภิธรรมแล้วจึงได้บังเกิดความเข้าใจจนหายสงสัย

ในเวลานั้น ผมอยู่ในกรุงเก่า ใกล้วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แทบทุกค่ำคืนผมจะข้ามคลองไปบ้านชายชราผู้หนึ่งมีชื่อที่ใครๆ ทั่วไปเรียกว่า “ลุงเสน” เพื่อหัดดนตรี คือ ซอด้วง และไวโอลิน” ดังนั้น ผมจึงเป็นผู้ที่ชอบพอ คุ้นเคย เคารพนับถือลุงเสนและผู้ที่อยู่ในครอบครัวนี้ทุกคนเป็นพิเศษ แล้วผมก็ได้สังเกตเห็นว่า ลุงเสนก็ชอบในอัธยาศัยใจคอของผมเป็นพิเศษด้วยเหมือนกัน

ผมหัดดนตรี โดยอาศัยลุงเสนเป็นครูผู้ฝึกอยู่ประมาณ ๑ ปี จึงได้ย้ายไปอยู่อีกตำบลหนึ่ง เพื่อให้ใกล้กับที่ทำงาน คือโรงเรียนประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยพักอยู่กับน้องชายภายในบ้านเช่าหลังหนึ่ง

ในคืนวันนั้น หลังจากที่ผมได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ประมาณ ๑ ปีเศษ ผมก็ฝันเห็นลุงเสนมาหา เป็นความฝันที่ชัดเจนแจ่มใสติดอยู่ในใจลืมไม่ได้ง่ายๆ ลุงเสนเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางที่แข็งแรงกระฉับกระเฉง ทั้งแต่งตัวก็เรียบร้อย มีสง่าราศี ผมจึงได้ร้องทักว่า

“ได้ข่าวว่าลุงไม่สบาย เวลานี้หายดีแล้วหรือ ผมตั้งใจว่าจะไปเยี่ยม ก็ยังไม่ได้ไป”

ลุงเสนตอบว่า “เวลานี้สบายดีแล้ว”

แม้ว่าจะฝันสั้นๆ เพียงเท่านี้เองก็จริง แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ และประทับใจไม่น้อย เพราะดูลุงเสนค่อนข้างหนุ่มกระชุ่มกระชวยผิดไปจากข่าวที่ได้รับมาว่ากำลังป่วยเจ็บอยู่ ผมตื่นขึ้นมาจากความฝันในเวลาประมาณตี ๑ ของวันใหม่ ผมก็รู้สึกว่าความฝันดังนี้ ทำให้ใจไม่ค่อยจะดี เพราะเคยได้ฟังผู้ใหญ่เล่าว่า ถ้าฝันว่าคนป่วยมาหาแล้ว คนป่วยนั้นจะไม่รอดไปจากความตาย ผมครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็นอนไม่หลับไปจนสว่าง ในเช้าวันนั้นก็เล่าให้น้องชายและผู้ใหญ่หลายคนได้ทราบ ต่างก็มีความเห็นว่า

“ฝันว่าคนป่วยมาหาเช่นนี้ คนป่วยคงจะได้เสียชีวิตไปแล้ว”

ในตอนสายๆ ของวันนั้นเอง ญาติคนหนึ่งของลุงเสนก็มาที่บ้านผมแล้วก็บอกว่า “ลุงเสนได้ตายเสียแล้ว”

ผมก็รีบถามว่า “ตายเมื่อเวลาเท่าใด”

เขาได้ตอบว่า “ตายเมื่อเวลาราวตี ๑ เมื่อคืนนี้”

ความฝันหาได้ยังความน่าอัศจรรย์ใจให้เพียงเท่านั้นไม่ เพราะเมื่อผมไปที่บ้านลุงเสนในเวลานั้นประมาณ ๑๐ โมงเช้า ก็ได้พบกับบุตรสาวของลุงเสนที่นั่นแล้วจึงได้ถามว่า

“บ้านของคุณอยู่ถึงกรุงเทพ ฯ ทราบได้อย่างไรว่าคุณพ่อเสีย”

บุตรสาวของลุงเสนตอบว่า “เมื่อคืนนี้ เวลาประมาณตี ๑ เศษๆ คุณพ่อไปบอกว่า พ่อได้ตายแล้ว ดังนั้น จึงได้จับรถไฟ ๗ โมงเช้าจากหัวลำโพงเดินทางมาบ้านทันที”

ใครๆ ในที่นั้นหลายคนต่างพากันหัวเราะชอบใจ ทั้งรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหลือเกิน ด้วยไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แล้วต่างก็ผลัดกันพูดว่า

“ลุงเสนนี่ไวดี ดีเสียยิ่งกว่าโทรเลขอีก เพราะว่าคนไปส่งโทรเลขบอกไปยังบ้านของลูกสาวอยู่ที่กรุงเทพฯ ยังไม่ทันกลับมาจากการส่งโทรเลขที่จังหวัดเลย วิญญาณของพ่อก็ไปบอกลูกสาวให้มาถึงบ้านเสียก่อนแล้ว"

ในเวลานั้นที่ทำการไปรษณีย์จะเปิดทำการเมื่อเวลา ๓ โมงเช้า กว่าจะได้ส่งโทรเลขไป ลูกสาวก็จับรถไฟจากหัวลำโพงเวลา ๗ โมงเช้า รถไฟเดินทางเพียง ๒ ชั่วโมง จึงมาถึงบ้านลุงเสนที่อยุธยาในเวลา ๓ โมงเช้าเศษนิดหน่อยเท่านั้นเอง ลูกสาวได้พูดว่า ถ้ามีรถยนต์ดีๆ แล้วมีถนน (ในเวลานั้นยังไม่มีถนน) ก็คงมาถึงเสียตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

ลุงเสนตระเวนไปบอกบรรดาญาติมิตรว่าตนตายอย่างรวดเร็วได้อย่างไร หนทางก็ไม่ใช่ใกล้ ปัญหานี้มืดมนอยู่ในใจของผมมานานปี ถ้าไม่ได้เรียนพระอภิธรรมให้มีความเข้าใจ คงตอบคำถามนี้ไม่ได้เป็นแน่.

เรื่องที่ ๑๒

สุภาพสตรีผู้ช่างฝัน

“เป็นความฝันที่เป็นจริง ของอดีตนางพยาบาลคนหนึ่งที่มาศึกษาพระอภิธรรม”

เรื่องของความฝันนั้นเป็นเรื่องที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง แม้กระทั้งจิตแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันชี้ขาดลงไปได้ทีเดียว จริงอยู่ ความฝันนี้ย่อมเกิดขึ้นกับตัวเฉพาะบุคคล หากมีจิตใจคิดฟุ้งซ่าน มีความวิตกกังวล ปรากฏการณ์ต่างๆ นั้นอาจจะไม่เป็นไปตามความที่ฝันก็ได้ ซึ่งผิดกับบุคคลที่มีสมาธิดี ความฝันนั้นอาจเป็นเครื่องบอกความโชคดี ลางร้าย ได้อย่างถูกต้อง แม้แต่ท่านผู้เฒ่าในสมัยโบราณก็ได้มีความเชื่อถือนี้อยู่มาก ถึงกับสร้างเป็นตำราสมุดข่อยไว้ ผู้รวบรวมเห็นว่าเรื่องราวความฝันต่อไปมีประโยชน์อยู่บ้าง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเองสักวันหนึ่ง จึงได้นำมาลงให้ท่านอ่าน

ดิฉันเคยบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันที่เป็นจริงมาแล้วครั้งหนึ่ง คิดว่าท่านผู้อ่านบางท่านคงจะได้ผ่านสายตามาบ้างแล้ว ดิฉันจะเล่าเรื่องความฝันอันแปลกประหลาดซึ่งได้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง ดิฉันขอรับรองว่าความฝันเหล่านี้เป็นเรื่องจริง บันทึกโดยสัจจะตามความเป็นจริงทุกประการ ไม่ได้เสริมแต่งแต่ประการใดเลย

เรื่องที่ ๑ เมื่อดิฉันถูกสุนัขกัด
คืนวันเสาร์ หลานดิฉันได้มาพบที่บ้านและชวนดิฉันไปหาคุณหลวงด้วยกันเพื่อจะให้ท่านนั่งทางใน โดยจะถามเรื่องราวบางอย่าง จากนั้นก็นัดแนะให้ดิฉันไปพบกันที่ท่าพระอาทิตย์ตอนเช้ามืดตี ๔ ของวันอาทิตย์ หลังจากหลานกลับไปแล้ว ดิฉันก็เข้านอน

ดิฉันนอนหลับฝันไปว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากบ้านใหญ่มายืนอยู่หน้าห้องรับแขกที่บ้านของดิฉัน แล้วร้องเรียกชื่อดิฉัน…ว่าถูกล๊อตเตอรี่แต่กลับโบกไม้โบกมือว่าไม่ใช่ ดิฉันมองจากห้องนอนชั้นบนลงมา มองดูผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนดิฉัน ใส่ชุดนอนของดิฉันด้วย เธอเดินขึ้นบันไดตรงมาหาดิฉัน ตรงบันไดห้องดิฉันเป็นห้องพระ จากนั้นเธอก็ฉุดมือดิฉันข้างขวา เอามีดฟันหลังมือทันที

ดิฉันตกใจสุดขีด พลางร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ้ย” ให้สามีดิฉันช่วย จากนั้นดิฉันก็ตกใจตื่น สักครู่ดิฉันได้ยินไทยยามมาตีระฆังหน้าบ้านซึ่งเป็นเวลาตี ๒ พอดี พลางนึกว่านี่เราฝันไป แต่น่ากลัวมาก มือนี้คล้ายยังเจ็บอยู่ ดิฉันนอนนึกว่า ที่จะนัดไปหาคุณหลวงนั้น ท่านคงจะมาห้ามไม่ให้เราไปก็ได้ จากนั้นดิฉันก็ยกมือไหว้พระขอให้ท่านช่วยคุ้มครองรักษา แล้วก็หลับต่อไปอีก (มาทราบตอนสายๆ คุณหลวงท่านเลิกให้คนมารบกวนแล้ว ท่านเหนื่อยมาก ลูกหลานอยากให้ท่านได้พักผ่อน)

ดิฉันตื่นอีกครั้งหนึ่งตอนตีสี่ครึ่ง รีบอาบน้ำแต่งตัวลงบันไดมา เห็นพี่เขยซึ่งเป็นพ่อของหลานอยู่บนบ้านอีกหลังหนึ่งในบริเวณเดียวกัน กำลังรดน้ำกล้วยไม้อยู่ จึงร้องถามไปว่า หลานไปจองบัตรแล้วหรือยัง พี่เขยก็บอกว่าไปจองแล้ว เท่านั้นแหละ สุนัขดำสนิทของพี่เขยวิ่งจู๊ดกระโจนเข้ามางับแขนขวาดิฉัน รอยเขี้ยวฝังอยู่ที่มือสามรู ดิฉันปวดจนน้ำตาไหล ปวดเสียวไปถึงหลังมือ ซึ่งเป็นที่เดียวกันที่ดิฉันฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นใช้มีดฟันที่แขนขวาข้างเดียวกับสุนัขกัด

ดิฉันแปลกใจมากที่ฝันร้ายนี้ห่างกันเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้น ถ้าหากดิฉันออกไปขึ้นรถปากซอยตี ๕ คนเดียว ถ้ามาถูกสุนัขกัดก็คงจะถูกใครจี้หรือทำร้ายเอาก็ได้ ใครจะไปรู้ พี่ๆ น้องๆ เตือนว่า หากฝันอย่างนี้อย่าได้ออกจากบ้านนา

เรื่องที่ ๒ เมื่อโบนัสออก
เมื่อเดือนกรกฎาคม วันที่ ๒๐ กว่า ดิฉันได้ฝันอีกตอนตี ๕ ว่าได้มีเสียงคนผู้ชายมากระซิบบอกว่า “มีข่าวดีจะมาบอก โบนัสจะออกแล้ว”

จากนั้นดิฉันรู้สึกตัวก็ตื่นขึ้นเข้าห้องน้ำ ตอนเช้าพอไปถึงบริษัทก็ได้เล่าให้เพื่อนๆ พยาบาลฟังว่า “พี่ฝันไปว่า โบนัสจะออกแล้ว”

เพื่อนๆ ต่างตอบว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะปีที่แล้วก็เลื่อนไปสามเดือน ปีนี้อาจเลื่อนไปอีกก็ได้ แต่พอถึงวันที่ ๒๙ ทางบริษัทเกิดจ่ายโบนัสพร้อมกับเงินเดือน เพื่อนๆ ที่ร่วมงานต่างพากันดีใจ และแปลกใจที่ดิฉันฝันนั้นกลับกลายเป็นจริงได้ ดิฉันเองได้ไปสอบถามแผนกการเงินถึงเรื่องนี้ ก็ได้ความว่า ฝรั่งที่เป็นผู้จัดการใหญ่นั้น มีธุระด่วนต้องบินไปนอก เลยเซ็นอนุมัติพร้อมไปเลย ปรกติแล้วดิฉันเองไม่รู้เรื่อง เพราะต้องออกไปทำงานนอกออฟฟิศทุกวัน และไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับหน้าที่นี้ ดิฉันเคยฝันเหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่เสมอ จนเป็นที่ขบขันของเพื่อนร่วมงานเสมอว่า ดิฉันฝันแม่นจัง…

เรื่องที่ ๓ เมื่อผู้ตรวจการจากต่างประเทศจะมากรุงเทพฯ
คืนวันหนึ่งได้ฝันไปว่า ในห้องทำงานนั้นมีโต๊ะ ๑ ตัว ดิฉันและเพื่อนพยาบาลอีก ๓ คน ต่างนั่งพร้อมหน้าอยู่ มีผู้แทนบริษัทจากอเมริกา (ซึ่งได้รับตำแหน่งนี้มาหลายเดือนแล้ว) ดิฉันเองยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ชื่อมิสเตอร์ ดีน รูปร่างนั้นเท่าๆ กับคนไทยเรา สันทัด แต่งชุดสากล ในฝันนั้นท่านนั่งอยู่แล้ว ชี้มือมาทางพวกเราว่า

“จะมาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาส เพิ่งจะได้มาคราวนี้เอง” แล้วชี้มือทำนองดุมาทางพวกเรา ๔ คน

ตอนสามโมงเช้า ดิฉันได้เล่าให้น้องๆ ฟังว่า น่ากลัวจะโดนดุเกี่ยวกับเรื่องงานก็ได้ แต่พอประมาณสองโมงกว่าหัวหน้าแผนกได้เดินมาบอกดิฉันที่ห้องทำงานบอกว่า จะมีผู้แทนมาจากนอกให้เตรียมทำรายงานเข้าไว้ เป็นที่แปลกใจกันมาก ดิฉันเองก็แปลกใจจริง ว่าทำไมดิฉันจึงฝันรู้เรื่องนี้ก่อนทั้งๆ ที่เขายังนั่งอยู่บนเครื่องบิน ด้วยสัจจะจริงไม่มีใครบอกมาก่อน พอผู้แทนมาถึง ก็ได้จับมือและแนะนำให้รู้จักกัน ดูรูปร่างแล้วเหมือนในฝันทุกอย่าง

เรื่องที่ ๔ “เลขโชคจากความฝัน”
เมื่อวันที่ ๖ เมษายนซึ่งเป็นวันจักรี ที่ทำงานหยุดหลังตื่นนอนแล้ว ดิฉันก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน นั่งดูโทรทัศน์จนกระทั้งเที่ยง ดิฉันทานอาหารแล้ว ก็เลยนอนเล่นแล้วก็หลับไป วันนี้ดิฉันอยู่บ้านคนเดียวสามีไปเข้าเวร หลังจากนั้นสักครู่ดิฉันฝันว่ามีมือใหญ่โตสองเท่าของผู้ชายมาลูบศีรษะของดิฉัน พร้อมกับมีเสียงผู้ชายกระซิบพูดว่า ๘๐๙๙ ในฝันดิฉันคว้ามือของท่าน เพื่อจะถามว่า ๔ ตัวงวดนี้จะเลิกออก ดิฉันคงจะซื้อไม่ถูกตามเลขที่ท่านให้ แต่แล้วมือท่านก็หายไป ไม่ยอมให้ดิฉันถูกท่าน

หลังจากนั้นดิฉันก็ตื่นอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็ไปเล่าให้พี่สะใภ้ฟัง บ้านพี่สะใภ้นั้นปลูกอยู่ในบริเวณรั้วเดียวกัน แต่ขึ้นคนละหลัง หลังจากคุยกันแล้ว ก็บอกว่าจะไปหาซื้อล็อตเตอรี่โดยเลือกเลข ๘๐๙, ๙๐๘, ๙๘๐ กลับไปกลับมา รุ่งขึ้นเช้าวันศุกร์ที่ ๗ ดิฉันก็ไปหาซื้อเลขเหล่านี้มาเก็บเอาไว้ พอวันเสาร์ที่ ๘ ที่ทำงานหยุดอีก ตอนบ่ายวันนี้ดิฉันจะนอนแต่ข้างบ้านเป็นโรงเรียน เกิดมีการเผาเศษขยะ ควันกระดาษที่เผาเข้ามาทางหน้าต่าง เลยนอนไม่ได้

ดิฉันเลยไปขอพี่สะใภ้นอนที่ห้องหลาน ตอนนั้นบ่ายสองโมง หลังจากที่ดิฉันได้หลับไปได้สักครู่ ดิฉันก็ฝันเห็นมีผู้หญิงชราเดินหลังค่อม ท่านพูดเสียงดังๆ ว่า “นั่นใครมานอนที่นี่”

ดิฉันก็ตอบไปว่า “หนูเองค่ะ”

ท่านบอกว่า “ให้ไปทำบุญซะ”

ดิฉันบอกว่า “ก็ทำอยู่เหมือนกันค่ะ ใส่บาตรรวมกับญาติ”

ท่านว่าการใส่บาตรควรจะแยก อย่าใส่รวมกัน จากนั้นท่านบอกให้ไปทำบุญวัดโพธินิมิตร ให้ทำบุญอุทิศให้แก่ สมพงษ์ สมทรง หรือ สำเนียง ดิฉันจำชื่อผู้หญิงไม่ค่อยชัดเจน

พอดิฉันตื่นก็เล่าให้พี่สะใภ้ฟัง ดิฉันและพี่นัดกันว่า จะไปทำอาหารถวายพระที่วัดโพธินิมิตร ดิฉันเพิ่งเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน พี่เขาบอกว่าอยู่ฝั่งธน ต้องไปสอบถามดู แต่ต้องให้สะพานพุทธซ่อมเสร็จเสียก่อน เลยยังไม่ได้ไปกัน

พอวันที่ ๑๐ เมษายน ล๊อตเตอรี่ออก ดิฉันตรวจเลขท้ายและรางวัลที่ ๑ ไม่ถูก ก็เก็บใส่กระเป๋าไว้ มีอารมณ์หลายๆ วันถึงจะมาตรวจรางวัลสักที

พอวันที่ ๑๑ ตอนเช้าดิฉันก็ไปใส่บาตรใกล้กับที่ทำงาน อุทิศแก่ท่านที่มาให้ฝัน ตอนบ่ายเกิดมีธุระที่ฝั่งธน เลยถามเพื่อนๆ ว่าวัดโพธินิมิตอยู่ไหน จากนั้นดิฉันก็รีบไปที่วัด ปรากฏว่าหน้าซุ้มทางเข้าวัดมีป้ายแขวนบอกทางวัดมีงานฉลองกันอยู่ ดิฉันเดินเรื่อยเข้าไปและยืนดูท่านเจ้าอาวาส ซึ่งมีคนเข้าไปกราบไหว้กันหลายคน

ดิฉันได้ยินท่านเจ้าอาวาสถามหนุ่มน้อยรูปน้อยซึ่งกำลังกราบท่านอยู่ “ไงคุณ ท่านสร้างหนังเรื่องอะไร”

หนุ่มน้อยผู้นั้นตอบว่า “เข็ดจริงๆ ดิ้นให้ตาย”

ดิฉันขำอยู่คนเดียว หนังชื่อแปลกดีแฮะ จากนั้นดิฉันก็ก้มลงกราบพร้อมกับเล่าเรื่องความฝันอันประหลาดให้ท่านฟัง เรียนถามท่านว่า มีไหมค่ะ ชื่อที่เอ่ยในความฝันตามที่บอกมานั้น ท่านมองแล้วบอกว่ามี ๒ คน ซึ่งตายแล้วประมาณ ๓๐ ปี เห็นจะได้ ดิฉันเลยขอถวายปัจจัยไป ๑๐๐ บาท ท่านได้กรวดน้ำให้ดิฉัน

ต่อมาดิฉันได้กราบลาท่านและจะมาเยี่ยมท่านใหม่ พอกลับถึงบ้านก็อาบน้ำ ทานข้าวเสร็จ ก็เลยนึกยังไงไม่รู้ เอาล็อตเตอรี่ที่ซื้อไว้แต่แรกที่ฝันมานั่งตรวจ ดิฉันเกิดสะดุ้งที่ตรวจถูกรางวัลที่ ๔ ทั้ง ๗ ตัว คือ หมายเลข ๔๒๙๒๙๘๐ ดิฉันดีใจจนบอกไม่ถูก และเพื่อความแน่ใจดิฉันเอาหนังสือพิมพ์มาตรวจดูอีกหลายๆ ฉบับ

พี่เขาบอกว่า “ดิฉันมีบุญ ถูกล๊อตเตอรี่บ่อยๆ”

รุ่งขึ้นตอนเช้าดิฉันรีบไปรับเงินสองหมื่นบาท จากนั้นชวนลูกน้องที่ทำงานไปทำบุญกับอีกที่วัดโพธินิมิตร ดิฉันได้ถวายปัจจัยให้ท่านเจ้าอาวาส ๑,๐๐๐ บาท ถวายให้วัด ๑,๐๐๐ บาท อุทิศแด่ท่านที่มาเข้าฝันอีก โดยถวายข้าวห่อไป ๓๐ ห่อ พร้อมกับปัจจัย และถวายพระที่มาสวดให้อีก ๑๐๐ บาท

ดิฉันเคยฟังพระท่านเทศน์ทางโทรทัศน์ว่า ”ทำบุญแล้วตัวเบา ทำบาปแล้วตัวหนัก” จริงของท่าน

เจ้าอาวาสบอกว่า “หนูมีบุญมาก มีวิทยุรับได้ไว แสนคนจะมีคนเดียว”

ดิฉันบอกว่าท่านมีบุญต่างหาก ดิฉันจึงฝันว่าท่านให้มาวัดนี้ ทราบว่ามีดาราภาพยนตร์ ทีวี มากราบไหว้ท่านอยู่เสมอ.

เรื่องที่ ๑๓

ผีมาให้ลาภ

คืนวันหนึ่ง ดิฉันนอนหลับไป แล้วเกิดความฝัน จนดิฉันได้ลาภ แม้จะได้ลาภก้อนไม่ใหญ่โตอะไรนักก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย น่าจะได้จดบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้ให้ท่านผู้อ่านพิจารณาหาข้อเท็จจริงต่อไป

คืนวันหนึ่ง ดิฉันยังจำได้ ดิฉันฝันไปว่าได้พบญาติผู้ใหญ่ที่เป็นหญิง อายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ ที่ได้ตายจากไปนานมาแล้ว ดิฉันยังจำหน้าเขาได้ว่าเป็นใคร แต่ออกจะดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะแก้มตอบมากไปหน่อย ตาก็ลึกโบ๋ไปสักนิด ผมเผ้ายุ่งเหยิงยาวรุงรัง แล้วก็ค่อนข้างผอมและดำคล้ำ คงจะอดๆ อยากๆ มาก เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวก็ขาดวิ่นแทบจะไม่มีชิ้นดี หาสิริมิได้ คงจะยากจนอย่างถึงขนาด คงจะหิวโหยอดโซอย่างเหลือเกินเป็นแน่

เมื่อเขาได้มาเผชิญหน้ากับดิฉันในความฝันนั้น ดิฉันได้ร้องทักเขาออกไป แต่เขามิได้โต้ตอบประการใด ตรงข้ามมาคว้ากระเป๋าถือของดิฉันแล้วก็วิ่งหนี ดิฉันก็เดินตามติดๆ ไปพร้อมกับร้องขอกระเป๋าคืน ว่าในกระเป๋านั้นมีของสำคัญหลายอย่าง เขาก็หันมาดูแล้วก็เดินหนีต่อไปอีกโดยไม่ยอมคืนกระเป๋าให้ ดิฉันก็อ้อนวอนเขามากมายเท่าใดเขาก็ไม่นำพา แต่น่าประหลาดว่าหนทางที่เขาเดินหนีไปนั้น เป็นตลาดเป็นตึกแถว ใครๆ เรียกชื่อว่า “ประตูผี” ใกล้กับเรือนจำที่คลองเปรม กรุงเทพ ฯ นั่นเอง

เขาเอากระเป๋าของดิฉันแขวนไว้เหนือประตูร้านขายของร้านหนึ่ง ดิฉันพยายามเอื้อมมือขึ้นไปหยิบอย่างไรก็ไม่ถึง เขาจึงบอกว่า ขอให้แผ่ส่วนกุศลไปให้กินบ้างซิ เพราะอดอยากเหลือเกิน ถ้าสัญญาว่าจะแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาแล้ว เขาก็จะหยิบกระเป๋าให้ ดิฉันก็ให้สัญญาว่าจะรีบทำบุญแล้วแผ่ส่วนกุศลไปให้โดยเร็ว พอดิฉันพูดขาดคำ เขาก็หยิบกระเป๋าส่งให้ทันที แล้วดิฉันก็ตกใจตื่น

ดิฉันตื่นขึ้นมา ในเวลาตี ๔ ของวันใหม่ แล้วนอนไม่หลับอีกต่อไปจนสว่าง ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของความฝันถึงญาติผู้ใหญ่ผู้นี้ ซึ่งก็ไม่คุ้นเคยถึงสนิทนัก เมื่อตอนเขามีชีวิตอยู่ เป็นคนช่างคิดช่างอ่านและทำมาหากินเก่ง แต่การทำบุญให้ทาน หรือมีความเมตตาอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ยากจนขัดสนหรือผู้ป่วยเจ็บทุพพลภาพนั้นมีน้อย มีแต่ความวิตกกังวลห่วงใยในอนาคต ครุ่นคิดแต่ในเรื่องที่จะทำมาหาได้ไม่พอใช้จ่าย แล้วลูกเต้าจะพากันลำบาก จึงเป็นเหตุให้ทำบุญให้ท่าน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เจือจานต่อผู้อื่นน้อยไป ดังนั้นจึงได้ไปเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหยอดโซและหาสิริไม่ได้ ดิฉันพูดตามความเข้าใจเท่าที่ได้ศึกษาพระอภิธรรมมา

ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า เหตุใด ดิฉันจึงเชื่อว่า ความฝันครั้งนี้เป็นความจริง มิได้เป็นเพียงมโนภาพเท่านั้น ก็เพราะดิฉันมีเหตุผลซึ่งจะขอเล่าต่อไป

ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง ดิฉันบังเกิดความเมตตาสงสารญาติผู้นี้ขึ้นมาอย่างจับใจ ดังนั้นจึงมิได้รอให้ชักช้าเสียเวลาไปเปล่า เพราะถ้าช้าไปแล้วการจะใส่บาตรได้ก็จะต้องผ่านไปจนถึงอีกวันหนึ่ง ก็จะเสียเวลาไป คนกำลังหิวโหยอดโซ คงจะรอคอยอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ ดิฉันรีบเข้าครัวหุงหาอาหาร ดิฉันใช้เด็กไปตลาดซื้ออาหารหลายอย่างมาเพิ่มเติมจนเสร็จเรียบร้อยทันพระที่มาบิณฑบาต ดิฉันใส่บาตรด้วยข้าวและอาหารคาวหวาน โดยดวงจิตผ่องใสและมีความชุ่มชื่นในหัวใจเป็นพิเศษ

ดิฉันใส่บาตรพระไปเกือบสิบองค์ เสร็จแล้วก็มาใช้น้ำเป็นสื่อ ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธินำทางให้ไปถึงญาติผู้นี้ โดยดิฉันออกชื่อญาติผู้นี้ดังๆ หลายครั้ง ดิฉันกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาโดยใช้บทแผ่ตามที่ดิฉันได้จดจำมาจากโรงเรียนพระอภิธรรม ซึ่งแผ่ส่วนกุศลตอนเลิกเรียนทุกๆ ครั้งนั่นเอง แต่ออกชื่อเขามากๆ ดิฉันพูดหลายเที่ยวด้วยกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยิน และกลัวว่าตั้งใจไม่แรงแล้ว เขาจะรับไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ดิฉันโล่งใจและชุ่มชื่นหัวใจที่ได้ทำสำเร็จลงแล้วด้วยดี แล้วหวังว่าเขาคงจะได้รับส่วนกุศลที่ดิฉันมอบให้อย่างเต็มที่ ดิฉันยังตั้งใจเอาไว้ด้วยว่า ต่อไปจะทำบุญแล้วแล้วแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาอีกเรื่อยๆ ไปเมื่อมีโอกาส

และดิฉันไม่ควรลืมบอกท่านผู้อ่านด้วยว่า ดิฉันยังต้องการให้เขาได้รับส่วนกุศลเพิ่มขึ้นอีก ดิฉันจึงได้พูดกับเขาดังๆ ในใจ เมื่อตอนแผ่ส่วนกุศลแล้วว่า ขอให้เขาไปรับส่วนกุศลทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ ที่โรงเรียนมงคลทิพยอภิธรรมมูลนิธิ เวลาเลิกเรียนเขาแผ่ส่วนกุศลกันทุกครั้ง ความตั้งใจของคนจำนวนหลายร้อยคงจะเป็นสมาธิที่มีกำลังทำให้ผู้ตกทุกข์ได้ยากที่เป็นโอปปาติกะทั้งหลายได้รับส่วนกุศลกันมากมาย และเพียงพอตามอำนาจของกุศลของเขาที่ควรจะได้รับ

ท่านผู้อ่านอาจจะถามว่า อะไรเล่าที่มาเป็นแรงบันดาลใจให้ดิฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่า ญาติของดิฉันผู้นี้มาขอส่วนบุญดิฉันจริงๆ

ดิฉันจะไม่เชื่อได้อย่างเล่า เพราะว่าในคืนวันที่ใส่บาตรนั่นเอง ดิฉันก็ฝันไปอีกว่าเขาได้มาหา เห็นหน้าตาท่าทาง ตลอดจนเครื่องแต่งตัวก็ทราบได้ว่า เขามีความสุขสบายเพียงใด หน้าตาแจ่มใส แม้ดวงตาจะลึกโบ๋ แต่ก็เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบสดชื่น หวีผมเรียบร้อย เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวล้วนแต่สวยงามและใหม่ๆ ทั้งนั้น

ดิฉันเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจ เขากล่าวขอบคุณดิฉันที่ได้ช่วยให้เขาได้รับสิ่งของทุกๆ อย่างตามที่เขาต้องการ แล้วเขาก็อวยพรให้ดิฉันมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ก่อนที่จะจากกัน เขาก็ไม่ลืมที่จะบอกตัวเลขให้ดิฉันด้วย

ในวันรุ่งขึ้น ดิฉันก็ไปซื้อล็อตเตอรี่เอาไว้ เพราะดิฉันยังจำได้ ดิฉันแน่ใจว่าจะต้องถูกอย่างแน่นอน แล้วก็ถูกจริงๆ เสียด้วย แม้ว่าจะได้เงินจำนวนไม่มากมายอะไรนัก แต่ดิฉันก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ของชาวพุทธเป็นอย่างดีแล้ว นอกจากนั้น ดิฉันยังภาคภูมิใจและเป็นสุขใจเป็นล้นพ้น เพราะในความฝันทั้ง ๒ ครั้งนี้กับการถูกล็อตเตอรี่ได้เข้ามารองรับความจริงจากปรมัตถธรรมที่อาจารย์ได้พร่ำสอนอยู่ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ว่า...

การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริงๆ ผู้เกิดเป็นโอปปาติกะปฏิสนธิ คือ เป็นเปรต อสุรกาย และเทวดานั้น ก็มีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่อดประหลาดใจไม่ได้ก็คือ ผีก็รู้จักตอบแทนบุญคุณเป็นเหมือนกันหรือ

ดิฉันคิดว่าอาจมีบางท่านที่ได้อ่านเรื่องความฝันของดิฉันแล้ว คงจะมีความต้องการบทแผ่ส่วนกุศลที่อาจารย์โรงเรียนพระอภิธรรมได้เขียนขึ้นบ้าง จะได้แผ่ไปยังญาติมิตรของท่านแล้วได้ของต่างๆ มากมายหลายอย่าง ทำให้ผู้รับมิได้ขาดตกบกพร่องในสิ่งที่จำเป็น ทั้งยังทำให้ผู้แผ่ได้มหากุศลญาณสัมปยุต คือได้กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาบารมี เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

ดิฉันต้องขอลาจากไปก่อน ขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านจงหลับสบายแล้วฝันดี และขอให้มีลาภด้วย.

คำปรารถนา และแผ่ส่วนกุศล

ขอให้กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว มีการบริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ศึกษาเล่าเรียน และเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงได้เป็นพลวปัจจัย ให้บังเกิดผลแก่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูอาจารย์ ญาติพี่น้อง สัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนโอปปาติกะ ที่ปฏิสนธิอยู่ในภูมิต่างๆ ผู้ซึ่งมีกรรมชักนำให้เป็นไป มีกรรมนำให้เวียนเกิดเวียนตาย ได้ความทุกข์ และเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับผลของกุศลที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว โดยมีน้ำใสสะอาดดื่ม มีอาหารบริโภคสมบูรณ์ มีที่อยู่อาศัยที่ถูกใจ มีเสื้อผ้าและเครื่องใช้สอยครบทุกอย่าง ขอให้มีดวงจิตแจ่มใส ปราศจากโรคภัย ทั้งมีสติปัญญาสามารถถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้โดยรวดเร็ว

ขอให้ผลของกุศลที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว จงได้เป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้ามีสุขภาพสมบูรณ์ มีจิตแจ่มใส มีสติปัญญาแตกฉานในพระไตรปิฎก และถึงซึ่งสันติสุข คือพระนิพพานโดยเร็วเถิด

สัพเพสัตตา อเวรา อัพยาปัชฌา อนีฆา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ

(แผ่ส่วนกุศลตามนี้แล้ว ถ้าจะเจาะจงให้ถึงท่านผู้ใดก็ว่าซ้ำใหม่หลายๆ เที่ยวก็ได้)

เรื่องที่ ๑๔

ผีภรรยามาทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจ

จากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

ข้าพเจ้า จะขอเล่าความฝันอันน่าอัศจรรย์ของข้าพเจ้า เป็นความฝันที่กระทบกระเทือนใจมานานปี จนบัดนี้ก็หาได้เสื่อมคลายลงไปไม่ ทั้งยังเป็นความฝันที่ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจ หันกลับมาสู่ทิศทางที่ข้าพเจ้าเคยหันหลังให้ ซึ่งเกือบจะสายเกินไป แต่น่าประหลาดอะไรเช่นนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้มาเปลี่ยนใจของข้าพเจ้าอย่างสิ้นเชิงได้จริงๆ บัดนี้ข้าพเจ้าเดินในหนทางถูกต้องแล้วโดยอาศัย ‘ผี” ผู้ซึ่งเป็นภรรยาของข้าพเจ้าเอง

ข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านประธานกรรมการของอภิธรรมมูลนิธิฟัง ท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านสาธุชนทั้งหลาย ท่านจึงได้ให้เขียนเรื่องนี้ขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยความหวังว่า ท่านผู้ใดที่ยังมีความเห็นผิดในเรื่อง “ผีสางเทวดา” แล้ว เรื่องนี้อาจจะช่วยได้บ้าง เพราะอาจทำให้ท่านที่ไม่เคยเชื่อถือเรื่อง “ผีสางเทวดา” อย่างหนักแน่นมั่นคงมาก่อน เกือบความคลางแคลงใจขึ้นมาบ้างก็ได้ เพียงเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่า ผีสางเทวดาไม่มีลดลงไป เพียงเท่านั้นก็คงจะทำให้ข้าพเจ้าได้กุศลไม่น้อยเลย

ข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่ภายในจังหวัดธนบุรีนี่เอง มีงานทำเป็นหลักฐาน ต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้า แล้วกลับบ้านเอาตอนเย็น เป็นไปอยู่เช่นนี้วันแล้ววันเล่ามานานปี

ต่อมาภรรยาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไป ทิ้งข้าพเจ้ากับบุตรธิดาหลายคนเอาไว้ให้เผชิญกับชาตะชีวิตต่อไป แต่อย่างไรก็ดี หลังจากได้ทำงานศพเรียบร้อยแล้วประมาณ ๒ ปี ต่อมา จึงได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น

ในคืนวันหนึ่ง ยามดึกสงัด ข้าพเจ้าได้ฝันไป เป็นความฝันที่ชัดเจนแจ่มใสอย่างเหลือเกิน เป็นความฝันที่ทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้นระทึกใจ ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นภรรยาของข้าพเจ้าคนที่ตายไปลอยมาได้ในอากาศ ทางปลายเท้าของเตียง ในตอนแรกนั้นห่างไกล แต่ก็ลอยใกล้เข้ามาทุกทีๆ

รูปร่างหน้าตาของเขาช่างน่าเกลียดน่ากลัวเสียเหลือเกิน เพราะดวงตาใหญ่แดงลึกโบ๋ กลอกไปกลอกมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าออกคล้ำดำมืดปนด่างขาว ปากก็แดงและยิ้มเสยะอย่างประสงค์ร้าย ผมยาวรุงรังปัดมาข้างหน้าและห้อยไปข้างหลังอยู่ยุ่งเหยิง พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นภรรยาของข้าพเจ้า

เขาลอยเข้ามาทีละน้อย ๆ อย่างช้าๆ ด้วยท่าทางแข็งขันเอาจริงเอาจังและประสงค์ร้าย เขากำลังยื่นมือทั้งสองที่ปลายนิ้วมือหงิกงอแต่มีเล็บที่แหลมคมมาทางข้าพเจ้า ในฝันนั้นรู้สึกว่าเขาจะฆ่าข้าพเจ้าจริงๆ ด้วยความพยาบาทมากร้าย รู้สึกว่ากรงเล็บอันแหลมคมของเขาค่อยๆ ยื่นใกล้เข้ามาทีละน้อยๆ พร้อมกับพูดอย่างดุดันว่า

“ตายจากกันไปตั้งนาน ไม่เห็นทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้กินบ้างเลย”

ข้าพเจ้าตกใจอย่างสุดขีด พยายามจะลุกหนีไปอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็ไม่มีความสามารถที่จะขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าได้แต่ร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า อย่าเข้ามาอำไพ ! อย่าเข้ามาอำไพ ! (ชื่อสมมติ) เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากปากของข้าพเจ้าด้วยความตกใจกลัวอย่างที่สุด ดังก้องไปทั่วบ้านในยามค่ำคืนที่ดึกสงัด ภรรยาคนใหม่และบุตรธิดาที่อยู่ในห้องใกล้เคียงพากันตื่นตกใจ ต่างลุกขึ้นมาไถ่ถามกันยกใหญ่ ข้าพเจ้าก็ได้แต่บอกไปว่า “ฝันร้าย” เท่านั้น

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาด้วยความงงงันและรู้สึกหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง หัวใจก็ยังเต้นระรัวราวกับกลองที่ถูกตีอย่างแรง ระลึกถึงเหตุการณ์ฝันร้ายที่ผ่านไปหยกๆ แล้วใจหายด้วยใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ความฝันครั้งนี้ ดูๆ ก็เหมือนกับเป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา และประการสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องยอมรับก็คือว่า ผีภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวถูกต้องทุกอย่าง ข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ทั้งไม่เชื่อด้วยว่าตายแล้วจะไปเกิดชาติหน้าได้ เวรกรรมอะไรจะตามไปถึง

ในเรื่องพระพุทธศาสนาข้าพเจ้าไม่กระดิกหู เรียนอยู่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยม ๘ ข้าพเจ้าก็ท่องได้ ว่ากตัญญูคืออะไร ควรตอบแทนคุณของพ่อแม่ประการใด แต่ไม่มีใครให้เหตุผลอะไรมากกว่านี้ ข้าพเจ้าเรียนจบมัธยมบริบูรณ์จนสำเร็จมหาวิทยาลัย ก็ไม่เห็นมีอาจารย์คนไหน หรือมีหลักสูตรอยู่ในที่ใดที่จะสอนให้ข้าพเจ้าเข้าใจในเหตุผลอันลึกซึ้งของชีวิต ข้าพเจ้ามีความเข้าใจเอาง่ายๆ ว่า มันสมองนั่นเอง เป็นตัวแสดงออกซึ่งความรู้สึกนึกคิดและสั่งการงานให้เป็นไปต่างๆ เคยเรียนมาจากโรงเรียนตั้งแต่เล็กยังน้อย ครูชั้นไหนๆ ก็สอนเหมือนๆ กันทั้งนั้น และจะให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มีความเข้าใจว่า เมื่อคนตายลงไปแล้วจะเกิดอีกไม่ได้แน่ ก็ฝังจมเป็นดินหรือเผาเป็นเถ้าถ่านไปเท่านั้นเองจะเอาอะไรไปเกิดได้อีกเล่า และวิญญาณคืออะไร ก็ไม่เห็นมีใครพิสูจน์ได้สักที ได้แต่พูดกันไปสนุกๆ ด้วยความเชื่ออย่างมั่นคงดังนี้เอง ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยได้ทำบุญ ปีหนึ่งจะได้ใส่บาตรสักครั้งสองครั้ง ตามที่ภรรยาจัดแจงให้เมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนาและขอรับสารภาพด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าไม่เคยแผ่ส่วนกุศลให้แก่ใครๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำแผ่ก็ไม่เป็นเสียด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ผีสางนางไม้ที่ไหนจะมาได้ส่วนกุศลได้

อย่างไรก็ตาม ความฝันครั้งนี้ออกจะประหลาดอยู่ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่า “ความฝันคืออะไร” มาก่อนเลย ทั้งไม่เคยคิดด้วยว่าความฝันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลอะไร แต่เมื่อความฝันเกิดขึ้นมาดังนี้แล้ว จะเพิกเฉยละเลยเสียก็ไม่สมควร ภรรยาที่ตายไปแล้วตั้ง ๒ ปี มาชี้หน้ากล่าวอ้างว่า “จากกันไปตั้งนาน ไม่เห็นทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้กินบ้างเลย” ข้าพเจ้าจะเฉยเมยอยู่ไม่ได้เสียแล้ว

ในเช้าวันรุ่งขึ้น ภรรยาของข้าพเจ้ามีความประหลาดใจ เพราะได้รับคำบอกเล่าจากข้าพเจ้าว่า ให้เตรียมอาหารใส่บาตรพระเช้าวันนี้สัก ๒-๓ องค์ แล้วในที่สุดข้าพเจ้าก็ใส่บาตรพระ ๒-๓ องค์สมประสงค์ในเช้าวันนั้นเอง ข้าพเจ้าใส่ไปพลาง ใจก็นึกถึงความฝัน และนึกถึงผีภรรยาของข้าพเจ้าไปด้วย ข้าพเจ้าช่างแสนโง่จริงๆ ในเรื่องนี้ คิดว่าทำเท่านี้คงจะเป็นการเพียงพอแล้ว

ต่อมาอีกหลายวัน เหตุการณ์ในคืนวันฝันร้ายก็มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอีกในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง เสมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ผีภรรยาของข้าพเจ้าได้ลอยอย่างช้าๆ เข้ามาหาอีก หน้าตาดุร้ายยิ่งกว่าเก่า พร้อมทั้งชี้หน้าข้าพเจ้าว่า ไม่ทำบุญไปให้บ้างเลย

ข้าพเจ้าตื่นเต้นและตกใจกลัวอย่างสุดขีด ร้องตอบไปว่า ได้ทำบุญไปให้แล้ว ไม่ได้รับหรือ

ผีภรรยาของข้าพเจ้ากลับท้วงว่า “ทำบุญเฉยๆ จะได้รับอย่างไร”

ข้าพเจ้าจึงต้องร้องตะโกนสัญญาไปอย่างรีบร้อน “อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา จะส่งส่วนกุศลไปให้ใหม่”

เมื่อตื่นขึ้นมา ข้าพเจ้าก็เฝ้าครุ่นคิดอยู่ไม่รู้วาย ข้าพเจ้าพร่ำพรรณนาว่าขออย่าได้มารบกวนอีกเลย ช่างน่ากลัวอย่างเหลือเกิน อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้ามีความเสียใจว่า เพราะอยู่ในความฝัน จึงถามถึงทุกข์สุขตลอดจนความเป็นไปของเขาไม่ได้ หาไม่แล้วเราคงจะได้ความรู้เรื่องของผีบ้าง

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาด้วยความอัศจรรย์ใจ จะว่าผีไม่มีเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว เขามาทวงส่วนกุศลที่ข้าพเจ้ามิได้แผ่ไปจริงๆ เขารู้ได้อย่างไร แล้วทำไมจึงมาทวงถามได้ถูกต้อง ถ้าผีมิได้มีจริงๆ

ในวันต่อมา ข้าพเจ้าต้องรีบไปถามผู้หลักผู้ใหญ่ถึงบทกรวดน้ำ แล้วทำบุญกรวดน้ำไปให้ผีภรรยาของข้าพเจ้าเสมอๆ โดยออกชื่อเขาทุกครั้ง แล้วตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ก็หลายปีแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เคยฝันถึงเขาอีกเลย

ความฝันดังที่ได้เล่ามานี่เอง ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดพิจารณาในปัญหาของชีวิตในแง่มุมต่างๆ เป็นอันมาก โดยตั้งคำถามว่า ความฝันคืออะไร และผีภรรยาข้าพเจ้ามาทวงส่วนกุศลจริงหรือไม่ ถึงอย่างไรความฝันทั้งสองครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้านิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เสียแล้ว ข้าพเจ้าเริ่มค้นคว้าตำรับตำราทั้งทางโลกและทางธรรมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งหาโอกาสตระเวนไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อเสาะหาคำอธิบาย

บัดนี้ ข้าพเจ้ามิได้มีความสงสัยอะไรอีกแล้ว ในเรื่องของผีสางเทวดา หรือการเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนเรื่องของเวรกรรม เพราะได้อ่านหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิตจากอภิธรรมมูลนิธิทุกเล่ม แทบทุกเล่มข้าพเจ้าอ่านหลายเที่ยว ทั้งได้เคยไปฟังการบรรยายที่โรงเรียนมงคลทิพยอภิธรรมมูลนิธิ อยู่เสมอ แม้การปฏิบัติวิปัสสนา ข้าพเจ้าก็ได้ลองดูบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อหาความรู้ความเข้าใจ อาจารย์ผู้บรรยายพระอภิธรรมได้เปลี่ยนทางเดินของชีวิตให้แก่ข้าพเจ้าใหม่

ท่านเชื่อหรือไม่ว่า จะเป็นไปได้จริงหรือประการใด เดี๋ยวนี้นอกจากข้าพเจ้าจะแผ่ส่วนกุศลแล้ว ข้าพเจ้าเฝ้าอธิษฐานถึงผีภรรยาของข้าพเจ้าอยู่เสมอ ขอเชิญให้เขาได้มาอ่านหนังสือเรื่องของชีวิตจากอภิธรรมมูลนิธิทุกๆ เล่ม เมื่อได้เล่มใหม่มาข้าพเจ้าก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ จะต้องบอกให้เขาทราบทุกๆ ครั้ง เพราะว่าเป็นประโยชน์เหลือหลาย นอกจากนั้นข้าพเจ้าเฝ้าอธิษฐานใหม่ ขอพบเขาอีกสักครั้งจะได้ถามถึงความเป็นไปต่างๆ ในเมืองผี ก็ยังไม่สำเร็จเลย

ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องนี้เอาไว้เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านสาธุชนทั้งหลายบ้างสมควร ถ้าผลกุศลใดๆ เกิดขึ้นเพราะความปรารถนาของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้กุศลนั้นจงได้แก่อำไพผีภรรยาของข้าพเจ้า และผู้ร่วมความทุกข์ทั้งหลาย ตลอดจนโอปปาติกะทุกๆ ท่าน ขอให้อิ่มหนำสำราญแล้วมีความสุขความสบายโดยทั่วกัน.

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครทราบบ้างว่า

ศิษย์เอกของ แนบ นีรานนท์คือ

บุญมี เมธางกูร

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%B5++%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5&hl=th&sa=2
จากเมล็ดพันธุ์กรรม(โครตอภิมหาอมตสัสสตทิฐอขิงมูลนิธิอภิธรรม)



อาจารย์บุษกร : ขอประทานโทษนะคะ ก่อนที่ท่านจะเข้ามาที่นี่ ท่านมีพื้นฐานทางด้านการปฏิบัติมาด้านไหนบ้างคะ



พระภิกษุ : เคยปฏิบัติสมาธิมา ก่อน ยังกำหนดไม่ค่อยถูก



อาจารย์บุษกร : ท่านต้องเข้าใจสักนิดนะคะว่า สมาธิต่างกับวิปัสสนา ถ้าคุณพ่อคือพระอาจารย์บุญมี เมธางกูรยังอยู่ท่านก็จะบอกว่า สมาธิต่างกับวิปัสสนาราวฟ้ากับดิน เพราะสมาธินั้นเราทำเพราะต้องการความสงบ และในช่วงหลังมานี้คนไปฝึกสมาธิกันมากมายก็เพื่อให้มีความจำดี จะเห็นว่า มีความต้องการเข้าร่วมอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความต้องการคืออะไรคะ? ความต้องการคือตัณหา และตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะถ้าเกิดไม่สงบขึ้นมา ผู้ต้องการนั่นแหละจะทุกข์มาก และทุกข์นี้ก็รวมถึงการเกิด คือ ชาติ ปิ ทุกขา เพราะผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ


<< ย้อนกลับ - ต่อไป >>

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


นี่หรือคือ อาการของผู้ถึงท่านพุทธทาส ที่นี้ เดี๋ยวนี้

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบนมัสการพระคุณเจ้า ท่านแม่ชี และผู้มีเกียรติทุกท่านค่ะ



อาจารย์บุษกร เมธางกูร วันนี้มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับท่าน และปิติใจที่ได้มาพบท่านผู้มีความพากเพียรดำเนินชีวิตอยู่ ที่เรียกว่า กำลังสร้างชีวิตสร้างทางของตนเองไปสู่ทางพ้นทุกข์เป็นที่น่ายินดีและน่าอนุโมทนาจริงๆ ว่า หลายท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ เป็นผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติแห่งนี้มาหลายครั้งแล้ว และกิจที่ทำได้ยาก ท่านก็กำลังเพียรทำอยู่ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจมาคุยเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนา และซักถามพูดคุยกันเพื่อจะได้สร้างความรู้ให้กว้างขวางขึ้น และบอกเหตุผลซึ่งกันและกัน เพราะเมื่อมีคำถามแล้วมีการโต้ตอบกัน ผู้ที่นั่งอยู่แต่ไม่ได้ถามก็จะได้ความรู้ความเข้าใจไปด้วยค่ะ




วันนี้คงจะไม่มีการเริ่มต้นสอนพื้นฐานอะไรแล้วนะคะ และบางครั้งที่ได้มาต้อนรับพระวิทยากรต่างๆ อย่างเช่น พระเมธีวรญาณ ที่ท่านมาบรรยายเมื่อต้นเดือน ท่านก็ได้ให้ข้อคิด ข้อแนะนำ และกระบวนการแห่งการคิดที่ดีไว้แล้ว ก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายที่ได้ฟังแล้วได้นำไปปฏิบัติอย่างไรกันบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่ท่านต้องคอยสังเกต





ทำไมจึงมาเข้าปฏิบัติ? และทำไปเพื่ออะไร?



ในเรื่องของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ยากและไม่ยุ่ง แต่จะยากและจะยุ่งกับชีวิตของผู้ปฏิบัติก็ตรงที่ว่า "เราไม่เข้าใจ" คือ มนสิการไม่ถูกต้องนั่นเอง



บางคนการที่เพิ่งเข้าปฏิบัติใหม่ๆ แล้วไม่รู้จักรากฐานของการปฏิบัติ ก็จะทำให้ผลประโยชน์หรือผลที่ควรได้น้อยลง ฉะนั้น ก่อนอื่นก็จะขอเกริ่นสักนิดว่า เรามาทำอะไรกันที่นี่ ทำไมจึงมาเข้าปฏิบัติ และทำเพื่ออะไร ให้เข้าใจถูกต้องก่อน เพราะในชีวิตประจำวันของคนเรา ตั้งแต่เกิดมานั้น เราสะสมความวิปลาสธรรมกันมามากมายไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้เชื่อว่า มีชาติหน้ามี มีชาติที่แล้ว ฉะนั้นวัฏฏสงสารของเราจึงหมุนเวียนอยู่เนื่องด้วยอวิชชาคือความไม่รู้นั่นเอง.


ความไม่รู้ในที่นี้ ไม่รู้ในเรื่องราวของชีวิตตามความเป็นจริง แต่ขอพูดเฉพาะ ที่การปฏิบัติก็คือในส่วนของ วิปลาสธรรม เห็นผิดไปจากความเป็นจริง.

ความเป็นจริงนั้น ชีวิตเป็นของไม่ดี เราก็เห็นว่าเป็นของดี เรียกว่า สุภวิปลาส

ความเป็นจริงนั้น ชีวิตเป็นของไม่มีความสุข แต่เราเห็นว่าสุข เรียกว่า สุขวิปลาส

ธรรมชาติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตใครมีแต่ความไม่เที่ยงแต่เราเห็นว่าเที่ยง เรียกว่า นิจจวิปลาส

ธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมดนี้ เราไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นอนัตตา เราเห็นว่าเป็นตัวเรา เป็นต้น เป็นอัตตาตัวตน เรียกว่าอัตตวิปลาส

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งสอนว่า..

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา

สพฺเพ สงฺขารา ทุกขา

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา



สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหมดไม่สามารถบังคับบัญชาได้



เป็นสัสสตทิฐิ

พระพุทธเจ้ทรงสอนว่า

ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

เอาตามคำสอนข้างบน

ถามว่ามูลการณ์หรือเริ่มแรกแห่งชีวิตคืออะไร

ผิดหลักอิทัปปัจจยตา

เป็นเทวนิยมหรือมหายาน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.abhidhamonline.org/sw.htm


ไว้อาลัยแด่ "ปรมาจารย์" แห่งพระอภิธรรม

วงการศึกษาพระพุทธศาสนาได้สูญเสียปรมาจารย์แห่งพระอภิธรรมไปท่านหนึ่ง เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔ คือ ท่านพระครูศรีโชติญาณ เจ้าอาวาสวัดศรีประวัติ และในฐานะที่ท่านเป็นประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ ของมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิด้วย ทางมูลนิธิ ฯ จึงขอสดุดีเกียรติประวัติเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของท่าน ณ โอกาสนี้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อเสือ

ปฐมวัย

หลวงพ่อเสือ เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ ที่ จ. ชลบุรี โยมบิดา ชื่อ นายแสวง โยมมารดาชื่อ นางลำเจียก

ด้วยบารมีที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ ทำให้หลวงพ่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็ก เมื่อได้มีโอกาสติดตามพ่อแม่ไปวัดตอน๕ - ๖ ขวบ และได้ฝึกหัดทำสมาธิ จึงได้รับรู้ถึงความสงบสุขอันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ

อายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหลวง จ.ชลบุรี และได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ออกธุดงค์ หลังจากนั้น ๗ วัน ท่านจึงแยกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามลำพัง
ในปีต่อมาหลวงพ่อได้ธุดงค์ไปสกลนคร พระอาจารย์ที่นั่นได้แนะนำให้เดินทางไปพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มออกเดินทาง ผ่านอุดรธานี ไปจนถึงพม่า อาศัยพักอยู่ที่วัดโชติการาม โดยมี พระอาจารย์โชติกะธรรมจริยะ คอยแนะนำ และให้ความสะดวกตลอดเวลา ๖ เดือน

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านก็ธุดงค์กลับไปที่พม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยพักอยู่ที่วัดซันคยองวิหาร ถึง ๒ ปี ณ ที่นี้หลวงพ่อได้พบกับ ท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้คอยแนะแนวทางการปฏิบัติธรรม การศึกษาพระไตรปิฏกให้

....หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้เดินทางไปที่ลังกา ได้พบและศึกษากับ ท่านญาณโปนิกมหาเถระ


----------------------------------------------------------------------------------------

มัชฌิมวัย

กลับจากลังกาแล้ว หลวงพ่อได้พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว ๓ ปีเศษ
ต่อจากนั้นได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวเขา บนดอยปุย สอนธรรมะ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวเขา เป็นเวลาถึง ๙ ปี จึงเดินทางกลับมาบ้านเกิด ที่ชลบุรี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้งการให้ธรรมะ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๔๕ ปี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา

ต่อมามีชาวบ้าน ต.สิบเอ็ดศอก อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ และนิมนต์ให้ท่านอาศัยอยู่ จนในที่สุดสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่า “วัดไผ่สามกอ” ตามสัญญลักษณ์ที่มีต้นไผ่เหลืองที่ขึ้นอยู่ ๓ กอ หน้ากุฏิของท่านที่ชาวบ้านปลูกถวายนั่นเอง

มีเรื่องเล่าว่า…
หลวงพ่อไม่เคยสรงน้ำเลย แต่ทุกวันเวลาท่านอยู่ในห้องผู้ที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียน้ำเหมือนไหลจากฝักบัว และร่างกายของหลวงพ่อก็เปียกเอง ทั้งยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก
เมื่อถึงวันเกิดของท่าน ผู้คนจะหลั่งไหลมาสรงน้ำท่าน เวลาท่านเดินลงจากกุฏิ ฝนจะตกลงมาพอดีทุกครั้ง ท่านจึงได้ฉายาว่า “พระวิรุฬหผล”

เมื่อตอนอายุได้ ๕๕ ปี ท่านได้ธุดงค์ไปประเทศลังกาเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในรายละเอียดเพิ่ม



-------------------------------------------------------------------------------------

ปัจฉิมวัย

ก่อนมรณภาพ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้า ท่านจึงได้เตรียมตัวพร้อม โดยเรียกลูกศิษย์มาถ่ายรูปของท่านไว้ ให้ทำความสะอาดศาลา และเรียกมาประชุมฟังธรรม

หลังจากนั้นท่านก็เริ่มป่วย มีไข้ทวีขึ้นทั้งวันทั้งคืน
เมื่อถึงวันโกนท่านก็ลุกขึ้นจากที่นอน สั่งให่ช่วยกันปลงผม ซึ่งชาวบ้านก็พูดเตือนว่าคนเป็นไข้เขาห้ามตัดผล แต่ท่านก็พูดให้คติว่า
“คนเราถ้าถึงเวลาตายแล้ว ถึงจะปล่อยให้ผมยาวเพียงไหน ชีวิตก็ยาวต่อไปไม่ได้”

ก่อนมรณภาพ ๔ วัน หลวงพ่อได้สั่งว่า ท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง ๔ วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ ๔ วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้อง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่า หลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนา มีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา
มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบ ปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว


วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณครับ คุณ mes ที่นำประวัติของท่านมาเผยแพร่

และนี้คือ ข้อคิดของท่านครับ

http://www.sriprawat.net/p.swf

ท่านสอนเสมอว่า

ไม่มีใครทำให้เราโกรธ มีแต่เราโกรธเขาเอง

เก็บดีไปใช้ เก็บชั่วไปละ



-------------------------------------------

คุณ mes ครับ มีสิ่งดี ๆ ที่ท่านสอนไว้ดีมากครับ ผมพยายามเก็บไปใช้ครับ

แม้ผมจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

หากคุณ mes และทุกท่านที่เข้าไปอ่าน ก็สามารถเก็บสิ่งดี ๆ ไปใช้ได้นะครับ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิม

ก่อนสอนคนอื่นดูแลตัวเองก่อนดีไหม

ห้อยความพยาบาทติดตัวเป็นคนบ้าเอาตัวไม่รอดเป็นที่น่าสมเพช

ทำตัวเหมือนพวกโรคจิต

ตามเวปมีใครอยากคุยมั้ง

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.antiwimutti.net/forum/index.php/topic,445.0.html
วิโมกข์
Full Member

Re: ลานธรรม หายไปไหนครับ?
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2010, 08:27:54 AM »อ้างถึง แอบไปดูลานธรรมจักรมา หน้าเก่าลานธรรมไปที่นั่นหลายอยู่
แล้วก็ไปกล่าวปรามาสท่านพุทธทาสอีกแล้ว ไม่รู้กล่าวว่าหลวงปู่มั่นอีกหรือเปล่า
เขาเคยกล่าวว่า นิพพานในแบบพระอาจารย์มั่น และท่านพุทธทาสเป็นอัตตโนมติท่านเอง
ตรงนี้ไม่ต้องวิจารณ์ต่อนะคะ
แค่้ต้องการยกให้เห็นว่า ก่อนเกิดเรื่อง ลพ ปราโมทย์
ลานธรรมเคยปล่อยให้มีการโพสต์อย่างนี้ได้ โดยโทษเบามาก
ต่างกับเรื่องป่าละอู ฯลฯ อย่างชัดเจน...แล้วก็มาบอกว่า
"จะสนับสนุนให้คุยธรรมะ โดยไม่พาดพิงตัวบุคคล.."

เราเอง(ความรู้สึกส่วนตัวนะ) รู้สึกว่า รู้ตัวเมื่อสายไปหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ปล่อยให้มีการโพสต์กันขนาดนั้น แต่เนื่องจากไม่ใช่อาจารย์ตัว
จึงไม่ได้เดือดร้อน แล้วพอเป็นอาจารย์ตัว ก็อย่างที่ทราบๆ กันอยู่

สำหรับเรา ถ้าเค้าจะเปลี่ยนจริงๆ คงขอให้เค้าทำให้เห็นจริงๆ เสียก่อน
ถึงจะพอเชื่อได้ เพราะที่ผ่านมามันช่างมีอะไรมากมาย จนเราไม่รู้สึกว่า
เจตนาดีๆ ที่ลานธรรมบอก มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริง เพราะการกระทำมันตรงกันข้าม

นอกจากนี้ ถึงแม้ช่วงหลังที่ลานธรรมเปิดให้คุยธรรมะได้กว้างขึ้น ต่างจากจุดประสงค์เดิม
ที่ตั้งขึ้นเพื่อพูดคุยในกลุ่มเดียวกัน แม้จะกล่าวว่า คุยแนวไหนก็ได้ (ที่ถูกต้อง)
แต่ถ้าติดตามไป จะพบว่า เขาก็จะวกกลับไปที่แนว ลพ ปราโมทย์
ถ้าใครพูดถึงแนวอื่นขึ้นมา โดยเฉพาะพูดเรื่องการทำสมถะ ทำสมาธิ
ก็จะมีคนมาเขียนทำนองว่า กลับไปดูกายดูใจ เดี๋ยวสติมาเอง
ทำสมถะจะเนิ่นช้า, ทำแบบอื่นจะเพ่ง, จะไปกำหนด, ไปจงใจดู ฯลฯ
สุดท้ายถ้าจะคุยกับพวกเขาก็ต้องคุยแบบที่พวกเขาคุย มีอะไรๆ เกิดขึ้นก็ให้ไปส่งการบ้าน
ไปให้หลวงพ่อดูให้ ฯลฯ จนหลังๆ เรารู้สึกว่า แบบนี้มันเปิดกว้างยังไงหว่า ??

ก็บ่นไปตามประสาคนเคยเล่นเวปโน้นน่ะ เผื่อบางคนไม่่ค่อยได้เล่นหรือได้เข้าไป
จะพอได้ฟังเค้าความเดิมบ้าง (ก็ไม่เดิมมาก เป็นช่วงสองสามปีที่ผ่านมา)

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
:b8: ขอบคุณครับ คุณ mes ที่นำประวัติของท่านมาเผยแพร่

และนี้คือ ข้อคิดของท่านครับ

http://www.sriprawat.net/p.swf

ท่านสอนเสมอว่า

ไม่มีใครทำให้เราโกรธ มีแต่เราโกรธเขาเอง

เก็บดีไปใช้ เก็บชั่วไปละ



-------------------------------------------

คุณ mes ครับ มีสิ่งดี ๆ ที่ท่านสอนไว้ดีมากครับ ผมพยายามเก็บไปใช้ครับ

แม้ผมจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

หากคุณ mes และทุกท่านที่เข้าไปอ่าน ก็สามารถเก็บสิ่งดี ๆ ไปใช้ได้นะครับ


พระท่านสอนดีครับ

แต่คนชั่วช้าอย่างเหลิมไม่นำมาใช้

ผมพูดตรงนี้ได้เลย

ไม่เกินอีกหนึ่งขวบปี

ชีวิตเหลิมต้องพบความวิบัติถึงน้ำตาร่วงแน่นอน

นี่คือคำยืนยัน

ไม่เกินหนึ่งปี

เงาแห่งวิบัติตามเหลิมทันแน่

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร