วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 21:37
โพสต์: 54

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
...
ว่าจะกดโมทนา..ให้ซะหน่อย..ดันมากลัว....... :b32: :b32:

กลัวไม่เข้าเรื่องเน๊าะ :b9: :b9:


:b12: :b12: :b12: :b12:

กลัวดี...นัก นี่แนะ...โม' ..ซะเลย

:b4: :b4: :b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Kamonchanok เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 11:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 11:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




36455_1.gif
36455_1.gif [ 2.89 KiB | เปิดดู 4546 ครั้ง ]
:b12: :b17: อิอิ...หรือว่าจะมีคน...มีดวงตาเห็นธรรม...ตามที่คุณคนดีที่โลกลืมแสดงไว้...

ที่ว่า...เราทุกนล้วนเป็นคนคนเดียวกัน...แต่แยกอณูออกมาเล่นเกมค้นหาตัวเอง

:b10: เอ...ดูแล้วไม่น่าใช่... :b13: :b13:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 12:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าออกทะเลนักสิคะ

คุยเรื่องปฎิบัติก็ดีอยู่หรอก

แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้ก็ไปคุยที่อื่นเถอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




image.jpeg
image.jpeg [ 33.59 KiB | เปิดดู 4524 ครั้ง ]
noohmairu เขียน:
:b32: ประกาศรายชื่อ(USER) ผู้ที่ถูกคุณป้า walaiporn กล่าวหาว่าใช้ไอพีเดียวกันกะ noohmairu ละจ้า :b32:


001 enlighted

002 คนดีที่โลกลืม viewtopic.php?f=1&t=30822

003 เช่นนั้น

004 กบนอกกะลา


005 Bwitch

006 sirisuk



ขอเชิญทุกท่านติดตามชมการสำรอกความเพี้ยนของคุณป้านักดูสภาวะระดับหนึ่งได้เลยจ้า


:b10: :b23: :b10: :b23: :b10: :b23:


อิอิ

:b8: อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:


ข้าพเจ้าก็ตรวจดูแล้วเช่นกัน…ก็ยังไม่พบว่ามีตรงไหน...
ที่ทำให้คุณวลัยพร…มีความเห็นว่า sirisuk เป็นคนๆ เดียวกับหลาย ๆ ยูสเซอร์เนม ที่กล่าวมา

ใครเห็นช่วยบอกด้วยค่ะะ….จะได้ชี้แจงให้กระจ่าง

ตั้งแต่เข้ามาเว็บธรรมจักรนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยไปข้องแวะกับคุณวลัยพรเลย ยิ่งทำให้มองไม่เห็นเข้าไปอีก
อีกอย่างก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะต้องทำเช่นนั้น จุดประสงค์ที่เข้ามาคือศึกษาธรรมเพื่อหลุดพ้น
และแบ่งปันธรรมเท่าที่ตนรู้ ไม่เคยต้องการสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้



หากจะถือเอาโพสข้างล่างนี้เป็นเหตุให้เข้าใจไปอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าอ่านเอาอรรถเอาธรรม จากโพสนี้ไม่ได้
ซ้ำร้ายยังมองเจตนาเป็นอื่นไปอีก
ข้าพเจ้าก็คงไม่ถือสาเอาความอะไร เพราะน่าเห็นใจมากกว่า


sirisuk เขียน:

สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
noohmairu เขียน:
:b32: ประกาศรายชื่อ(USER) ผู้ที่ถูกคุณป้า walaiporn กล่าวหาว่าใช้ไอพีเดียวกันกะ noohmairu ละจ้า :b32:


001 enlighted

002 คนดีที่โลกลืม viewtopic.php?f=1&t=30822

003 เช่นนั้น

004 กบนอกกะลา


005 Bwitch

006 sirisuk



ขอเชิญทุกท่านติดตามชมการสำรอกความเพี้ยนของคุณป้านักดูสภาวะระดับหนึ่งได้เลยจ้า


:b10: :b23: :b10: :b23: :b10: :b23:


อิอิ

:b8: อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:


ข้าพเจ้าก็ตรวจดูแล้วเช่นกัน…ก็ยังไม่พบว่ามีตรงไหน...
ที่ทำให้คุณวลัยพร…มีความเห็นว่า sirisuk เป็นคนๆ เดียวกับหลาย ๆ ยูสเซอร์เนม ที่กล่าวมา

ใครเห็นช่วยบอกด้วยค่ะะ….จะได้ชี้แจงให้กระจ่าง

ตั้งแต่เข้ามาเว็บธรรมจักรนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยไปข้องแวะกับคุณวลัยพรเลย ยิ่งทำให้มองไม่เห็นเข้าไปอีก
อีกอย่างก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะต้องทำเช่นนั้น จุดประสงค์ที่เข้ามาคือศึกษาธรรมเพื่อหลุดพ้น
และแบ่งปันธรรมเท่าที่ตนรู้ ไม่เคยต้องการสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้



หากจะถือเอาโพสข้างล่างนี้เป็นเหตุให้เข้าใจไปอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าอ่านเอาอรรถเอาธรรม จากโพสนี้ไม่ได้
ซ้ำร้ายยังมองเจตนาเป็นอื่นไปอีก
ข้าพเจ้าก็คงไม่ถือสาเอาความอะไร เพราะน่าเห็นใจมากกว่า


sirisuk เขียน:

สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)


สติเสื่อมแล้วหรือไง คุณ sirisuk

อย่าเอาความไร้ปัญญาของคุณมาโพสในนี้

ที่นี่ไม่ได้ดราม่ากับใครทั้งนั้น

สำรวมตัวเองหน่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วถ้าจะตอบกระทู้นะ sirisuk

อย่าก็อปมาตอบ

ช่วยพิมพ์อะไรใหม่ๆลงไปด้วย แบบนี้มันทำให้บอร์ดรก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:

สติเสื่อมแล้วหรือไง คุณ sirisuk

อย่าเอาความไร้ปัญญาของคุณมาโพสในนี้

ที่นี่ไม่ได้ดราม่ากับใครทั้งนั้น

สำรวมตัวเองหน่อย


kanalove เขียน:
แล้วถ้าจะตอบกระทู้นะ sirisuk

อย่าก็อปมาตอบ

ช่วยพิมพ์อะไรใหม่ๆลงไปด้วย แบบนี้มันทำให้บอร์ดรก


หุหุ มีแรงกลับมาสำรอกต่อแล้วหรอจ้า :b32:

กิเลสมีเท่าไหร่สำรอกออกมาให้เยอะๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยนะจ้า

ไม่ต้องกลัวว่าบอร์ดจะรกละจ้า

เก็บเอาไว้ในใจเธอจะรกด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ นะจ้า :b22:



อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้นยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท

สติ เป็นธรรมมีอุปการะมาก คือทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง สตินั้นหากนำมาใช้กับทางโลกทั่วไปก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ การคิดอ่านย่อมเป็นระบบ จิตย่อมมีสมาธิในการทำกิจการงานใด ๆ อารมณ์มักจะเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรือทุกข์ใจอะไรมาก ๆ กล่าวโดยรวมคือย่อมเกื้อกูลชีวิตประจำวันทางโลกได้อย่างดีซึ่งเป็นประโยชน์ ที่เห็นได้ชัดเจน ถ้ารู้เนือง ๆ มาก ๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะได้ประโยชน์จากทางธรรมด้วย การที่เรามีสติอยู่เนือง ๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ทำอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็เพื่อให้สติเกื้อกูลต่อการ “เห็นความจริง” ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือกายกับใจจุดหมายของการรู้ก็เพื่อ ให้เห็นความจริง อันได้แก่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ากายและใจของเรานั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา

สติ เป็นคุณธรรมที่เกิดเองไม่ได้ ต้อง ทำให้เกิดขึ้นด้วยการฝึกฝนรวบรวมจิตใจให้นิ่งแน่วด้วยวิธีต่างๆ เช่นการเจริญวิปัสสนาคือการฝึกตามมหาสติปัฏฐานสูตร ทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนาคือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6

หลักการเจริญสติสามารถกระทำได้ในทุกอิริยาบถ การเจริญสติ มิใช่เพื่อให้จิตนิ่งถาวรอันเป็นการเพ่งแบบสมาธิ คือ จิตนั้นต้องรู้เอง มิใช่จงใจดักรู้ จิตเผลอไปก่อนค่อยตามรู้ทีหลัง ว่าเผลอไปแล้วแต่ไม่ไปบังคับจิตให้หายเผลอ รู้แบบสักว่ารู้ รู้แบบไม่เพ่ง ไม่เผลอ แต่ก็ไม่ประคอง จิตที่มีสติ รู้ตัวต้องนุ่มนวล อ่อนโยน รู้ตื่น เบิกบาน คล่องแคล่ว ควรแก่การงาน รู้แบบซื่อๆ รู้แบบสบายๆ รู้แล้วจบลงที่รู้ แต่ไม่จงใจให้จบ รู้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง แต่ไม่จงใจประคองรักษาความเป็นกลาง รู้โดยสภาวะ จิตมีสภาวะใดๆก็รู้ทัน รู้แบบไม่ต้องเคร่ง ต้องเครียด ซึม ทื่อ แค่เพียรทำเหตุให้ถึงพร้อมโดยไม่จำเป็นต้องหวังผล รู้ตามความจริงที่เกิดอย่างที่เป็น รู้สภาวะที่เกิดจริงๆตามความเป็นจริง ไม่ช่วยสมมุติเพิ่ม รู้คือรู้ ไม่ใช่ความคิด อย่าอยากผลักไสความชั่ว อย่าอยากรักษาความดี เพราะจะเหนี่อยและเครียด จงรู้กายใจตามจริงว่าเผลอคิดชั่ว คิดดีก็รู้ทัน จิตที่เผลอคิด มันก็ห้ามไม่ได้เพราะจิตทำงานเอง ทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา จิตก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา สติก็บังคับให้เกิดตามใจอยากไม่ได้ สติจะเกิดก็เพราะมีเหตุ ด้วยการฝึกตามรู้มีสติบ่อยๆ การพยายามจงใจรู้จึงมิใช่สติ แต่เป็นความโลภอยากได้สติ เลยสร้างสภาวะเลียนแบบสติ สติเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง ไม่คงที่ แม้สติก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา แม้ความนิ่งก็เป็นอนิจจัง มีเหตุก็ฟุ้ง ไม่มีเหตุก็ดับ การบังคับจิตให้นิ่งเป็นการฝืนธรรมชาติของจิต แม้เผลอมีอารมณ์ก็ไม่นานเปลี่ยน อารมณ์ใดๆที่ถูกรู้จะอยู่ไม่ได้เพราะจะมีแต่สภาวะรู้เท่านั้น จึงอย่าหวงแหนสติ จิตจะดีไม่ดีก็จงรู้อย่างที่เป็น สติคือการรู้อย่างอิสระ ไม่ยินดียินร้าย วางใจกลางๆ ยอมรับความจริงในความเจริญหรือความเสื่อมของสรรพสิ่ง คลายความยึดมั่นถือมั่น อย่างเช่นนั้นเอง

ผู้มีสติย่อมไม่มีคำพูดที่ดูแคลนผู้อื่น
ผู้มีสติย่อมไม่หมิ่นเกียรติผู้อื่น
ผู้มีสติย่อมพูดแต่สิ่งดีเป็นมงคลแก่ผู้อื่น
และผู้มีสติย่อมรับรู้ว่าตนกำลังทำอะไร

เป็นผุ้ปฏิบัติธรรมอันดีแก่กันในทางธรรม ใยต้องมาเถียงไปมาให้ ผู้อื่นดูแคลน
หากต่างฝ่ายต่างละ ต่างลด จะมิจบหรือ?

ไม่ต้องสนว่าใครเริ่มก่อน แต่เลิกแล้วต่อกันเสียเถอะ เป็นผู้ที่เจริญแล้ว น่าจะได้ "สติ" กันไม่มากก็น้อย





กิเลส แปลว่า สิ่งเกาะติด สิ่งเปรอะเปื้อน สิ่ง สกปรก

กิเลส คือ สิ่งที่แฝงติดอยู่ในใจแล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว มีอุปมาเหมือนสีที่ใส่ลงไปในน้ำทำให้น้ำมีสีเหมือนสีที่ใส่ลงไป ใจก็เช่นกัน ปกติก็ใสสะอาด แต่กลายเป็นใจดำ ใจง่าย ใจร้ายก็เพราะมีกิเลสเข้าไปอิงอาศัยผสมปนเปอยู่

กิเลสที่ชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจคนมากที่สุด คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะกิเลสชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจของคน จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสาสวะ หรือ อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต


ประเภท ของกิเลส

1. อโนตตัปปะ ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต
2. โทสะ ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ
3. โมหะ ความหลงใหล ความโง่
4. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
5. ทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ
6. วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ
7. โลภะ ความพอใจ ชอบพอ เต็มใจ ในโลกียอารมณ์ต่างๆ
8. ถีนะ ความหดหู่ เงียบเหงา
9. อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด ทุจริต
10. มานะ ความ ทะนงตน ถือตัว เย่อหยิ่ง



หรือใยตัวท่านทั้งหลาย ยังละซึ่งกิเลส ทางวาจาและทางจิตใจมิได้
การกระทำที่กระทบกระแทกกันไปมา...นั้นก็บ่งบอกให้รู้แล้ว...


หากจะเป็นผู้ที่จะเจริญ ก็น่าจะยับยั่งชั่งใจกันได้....

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


noohmairu เขียน:
kanalove เขียน:

ไม่ได้เป้นอะไรก็อย่ามาเป็นตัวเป็นตนในกระทู้นี้

จขกท.ไล่แล้วก็ไม่ยอมออกไป

แบบนี้เขาเรียกว่าหน้าด้าน


หุหุ เจ้าของกระทู้ตายแล้วหอบกระทู้ไปด้วยให้ได้นะจ้า


อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b4: :b17: :b4:

คิกๆ สามเกลอหัวขวด ปลายหวีเหี่ยว หิ้วหม้อไป หิ้วหม้อมา
:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
ตอนนี้ก็มีกระทู้แฉพฤติกรรมของคนๆหนึ่งออกมาแล้วล่ะคะ

viewtopic.php?f=1&t=30713&p=191480#p191480

เราไม่อยากจะยุ่งกับคนพรรคนี้เลยละคะ...

ตอนนี้ก็มีอีกสิ่งที่อยากจะบันทึก แต่ดูเหมือนว่าจะบันทึกในช่วงเวลาที่กระทู้นี้ตกเป็นเป้าโจมตีของคนแบบนั้นไม่ได้

ถ้าไงก็ไว้โอกาสหน้าคะ


จะสำรอก ขยอก ขย้อน เอาซะโอกาสนี้เลยก็ได้จ้ะ
นะจ๊ะ นะจ๊ะ


~สามเกลอหัวขวด~
:b48: แก่บรรลัย~ใจแตก~ต้องขึ้นคาน :b48:

:b32: :b12: :b13:
รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
สาวิกาน้อย เขียน:
kanalove เขียน:
ยินดีที่ได้รู้จักคะ ^ ^


คุณ kanalove หายไปไหนตั้งนานค่ะ cool
:b8: สวัสดีปีใหม่ไทย วันสงกรานต์จ้า :b4:

ก็อยู่แถวๆนี้น่ะคะ

เจอดราม่านิดๆก็ขอเข้าไปจิ้มจุ่มหน่อย ทำนองว่ามีเป้าหมายคือกำจัดคนชั่วออกไปจากสังคมไทยน่ะคะ

สวัสดีวันปีใหม่ไทยคะคุณสาวิกา ^ ^


เธอชอบจิ้มจุ่ม Confirmed!

สันดานชอบแถกไปทั่วทุกกระทู้
เจตนาเพียงแ่ค่ประจาน คติประจำใจชั่วๆ ของตัวเธอเอง

..............................
พฤติกรรมของ Bwitch ที่ต้องการแฉ
viewtopic.php?f=1&t=29616
ได้เวลาประจานคนเลว(+โง่) พฤติกรรมติดผู้ชาย
ให้สังคมทั่วโลกได้รับรู้

กระทู้แฉ สันดานหยาบคายของ Bwitch ภาค 2
viewtopic.php?f=1&t=30713&st=0&sk=t&sd=a&start=90
(หน้าด้าน ไม่อาย ให้มันรู้ไป)
.....................................

เชิญตามสบายนะจ๊ะ แม่สามเกลอหัวขวด :b17: :b32:


รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
sirisuk เขียน:
noohmairu เขียน:
:b32: ประกาศรายชื่อ(USER) ผู้ที่ถูกคุณป้า walaiporn กล่าวหาว่าใช้ไอพีเดียวกันกะ noohmairu ละจ้า :b32:


001 enlighted

002 คนดีที่โลกลืม viewtopic.php?f=1&t=30822

003 เช่นนั้น

004 กบนอกกะลา


005 Bwitch

006 sirisuk



ขอเชิญทุกท่านติดตามชมการสำรอกความเพี้ยนของคุณป้านักดูสภาวะระดับหนึ่งได้เลยจ้า


:b10: :b23: :b10: :b23: :b10: :b23:


อิอิ

:b8: อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:


ข้าพเจ้าก็ตรวจดูแล้วเช่นกัน…ก็ยังไม่พบว่ามีตรงไหน...
ที่ทำให้คุณวลัยพร…มีความเห็นว่า sirisuk เป็นคนๆ เดียวกับหลาย ๆ ยูสเซอร์เนม ที่กล่าวมา

ใครเห็นช่วยบอกด้วยค่ะะ….จะได้ชี้แจงให้กระจ่าง

ตั้งแต่เข้ามาเว็บธรรมจักรนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยไปข้องแวะกับคุณวลัยพรเลย ยิ่งทำให้มองไม่เห็นเข้าไปอีก
อีกอย่างก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะต้องทำเช่นนั้น จุดประสงค์ที่เข้ามาคือศึกษาธรรมเพื่อหลุดพ้น
และแบ่งปันธรรมเท่าที่ตนรู้ ไม่เคยต้องการสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้



หากจะถือเอาโพสข้างล่างนี้เป็นเหตุให้เข้าใจไปอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าอ่านเอาอรรถเอาธรรม จากโพสนี้ไม่ได้
ซ้ำร้ายยังมองเจตนาเป็นอื่นไปอีก
ข้าพเจ้าก็คงไม่ถือสาเอาความอะไร เพราะน่าเห็นใจมากกว่า


sirisuk เขียน:

สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)


สติเสื่อมแล้วหรือไง คุณ sirisuk

อย่าเอาความไร้ปัญญาของคุณมาโพสในนี้

ที่นี่ไม่ได้ดราม่ากับใครทั้งนั้น

สำรวมตัวเองหน่อย


ต๊ายยยย....
เธอรู้จักคำนี้ด้วยหรือจ๊ะ นาง kan-a-love ณ ลึกสุดนรก
เห็นโผล่หัวไปกระทู้ชาวบ้านเขาก็ไปขยอกขย้อนพิษเน่าๆ ไว้

กระทู้ยาพิษเยี่ยงนี้อีกหลายๆ อัน
สมควรจะถูกโยนลงกระถังได้แล้วนะคร้าาาาา
คนอ่อนปัญญา แวะเข้ามาอ่าน เผลอกดโมนา..
คงลื่นปรื้ดดดด ลงนรกพร้อมชีทันที
เฮ้ออออ เวรกรรม

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มค. 51

ช่วงนี้ มีเด็กมาทำกรรมฐานทุกวัน มี 6 คน

พระธรรมเทศนา ท่านพ่อลี

" มนสฺสโลเก " มนุษย์ทั้งหลาย ที่มีวิญญาณครองอยู่ในโลก คนจำพวกใด ที่เราเห็นว่า
ควรสงเคราะห์เขาได้โดยธรรม ก็ไม่ควรนิ่งดูดาย ช่วยทางกายไม่ได้ก็สละทรัพย์แทนตัว ตั้งจิตเมตตา
ปรารถนาดีแก่คนทั้งหลายทั่วไป คนต่ำอย่าเหยียบย่ำให้จมดิน ได้แก่การดูถูกกัน คนสูงอย่าฉุดลงมา
ในเบื้องต่ำ คืออิจฉาริษยา กลัวเขาดีกว่าตัว ควรทำใจของตนให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร เราควรเมตตา
คนเบื้องสูง มีบิดา มารดา พระราชาเป็นต้น ที่เรียกว่า " เมตฺตาปารมี "

เราควรสงสารปรารถนาดีแก่เพื่อนมิตรสหาย ควรช่วยเหลือทางกาย วาจา ใจ เป็นต้น ที่เรียกว่า
" เมตฺตาอุปปารมี "

เราควรแผ่ไมตรีจิต ทำความสนิทเสมอเสมือนบุตรที่รักในอก ในคนและสัตว์เบื้องต่ำ ที่เป็นศัตรูให้เรามี
จิตเมตตาภาวนาอุทิศกุศลแผ่ให้ตามสมควร เมื่อทำจิตได้เช่นนั้น ท่านเรียกว่า " เมตฺตาปรมตฺถปารมี "


9 มค.
รู้ไว้แค่ตัวเอง รู้นั้นย่อมดับสิ้นไปพร้อมกับเวลาที่ตัวเองตาย หลายๆท่านที่เราได้สนทนามา
ทั้งญาติธรรมที่ได้เคยร่วมปฏิบัติกรรมฐานมาด้วยกัน และอีกหลายๆท่านที่ได้สนทนากันทาง
อินเตอร์เน็ต บางคนเฝ้าค้นหาคำตอบว่านี่คืออะไร นั่นคืออะไร มันเป็นคำถามที่ได้คำตอบไม่รู้จบ
เพราะต่างคนต่างรู้ ต่างก็ตอบแบบที่ตัวเองเข้าใจ แบบที่ตัวเองรู้ แบบที่ตัวเองทำแล้วทำได้ถนัด

ถาม 100 คนก็ได้ 100 คำตอบ อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง แตกต่างกันไปบ้าง แต่จะให้เหมือนกันที่สุดนั้น
ไม่มี เมื่อสมัยที่เราได้เริ่มปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่ตอนแรก เราทำตามครูบาอาจารย์ท่านสอนมาตลอด
ท่านบอกว่า " ไม่ต้องไปสงสัย เห็นอะไรก็กำหนดรู้ ตามรู้ ตามดูมันไป จนกว่ามันจะดับหายไปเอง
สักวันหนึ่งก็จะเข้าใจเอง ในสิ่งที่เห็น ไม่ต้องเที่ยวไปถามใคร มันจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเปล่าๆ
เพราะมัวแต่สงสัย "

อย่างที่เราเคยได้บันทึกไว้ว่าเมื่อก่อนเราน่ะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไม่รู้ว่า สิ่งที่เราได้ผ่านจากการทำกรรมฐาน
แต่ละขั้นตอนนั้นมีคำเรียก ในสมัยก่อนอาจจะมีตำราเกี่ยวกับการทำกรรมฐาน แต่เท่าที่เราเคยอ่านเจอ
จริงๆก็คือ หนังสือการฝึกกสิณที่หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ท่านโยนให้มาฝึกเอง ตอนนั้นก้ยังไม่รู้ว่า
นี่ก็คือการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน จะพูดถึงเรื่องสมาธิ อ่านพระพุทธเจ้าตรัสไว้
จากพระสุตันตปิฎก

[๑๐๐] เธอครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง
ทำปัญญาให้ถ้อยกำลังนี้ได้แล้ว จึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้า
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน มีความ
ผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ
มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกเธอ
ได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่ เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่ ดูกรพราหมณ์ ในพวกภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุ พระอรหัตมรรค ยังปรารถนาธรรมที่เกษมจากโยคะอย่างหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อยู่นั้น เรามีคำพร่ำสอนเห็นปานฉะนี้ ส่วนสำหรับภิกษุพวกที่เป็นอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุ
ประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะผู้ชอบ
นั้น ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่สบาย ในปัจจุบันและเพื่อสติ
สัมปชัญญะ ฯ


การที่จะผ่านสมาธิแต่ละขั้นได้ต้องมีสติมากพอ จะเกิดสมาธิก็รู้ จะคลายออกจากสมาธิก็รู้
ส่วนฌาน 5 6 7 8 จะเกิดได้ง่าย ถ้าผ่านฌาน 4 แล้ว นี่คือเรื่องสมาธิแต่ละขั้น

วิธีสร้างสติให้เกิด ก็คือ การกำหนดรู้ ตามรู้ ตามดู ลงไปในสิ่งที่เกิดการกระทบ ตรงไหนเกิดชัดเจนที่สุด
ให้กำหนดตรงนั้น ตามรู้ ตามดูตรงนั้นไป แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน อย่าปล่อยให้ผ่านไปโดย
การดูเฉยๆ แต่ไม่ไปรับรู้ในการเกิดกระทบนั้น กำหนดบ่อยๆ เมื่อกำหนดได้ชัดเจนดี สติย่อมมีมากขึ้น

เมื่อสติมากขึ้น ขันธ์ 5 ย่อมดับ เพราะวิญญาณไม่เกิด เมื่อวิญญาณไม่เกิด ย่อมรู้เห็นตามความ
เป็นจริง โดยไม่มีการเข้าไปปรุงแต่ง


นี่คือ ความเข้าใจในสมัยก่อน


โดยเฉพาะขณะที่เกิดสมาธิ และมีสติ สัมปชัญญะรู้ตัวอย่างต่อเนื่อง มันจะรู้แล้วก็รู้ๆๆๆๆๆๆ เช่น
เวทนาเกิด เรากำหนดรู้ดูลงไป จะเห็นการเกิดเวทนาและอาการที่หายไปอย่างต่อเนื่อง

ตรงนี้ถ้าคนรู้จักโยนิโสมนสิการเป็น มันจะเกิดปัญญา จะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
มันเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา จะไปบังคับให้เกิดหรือไม่เกิดก็ไม่ได้ มันไม่เที่ยง มันเกิดจากอุปทาน
ที่เรายึดมั่นถือมั่นนั่นเอง

เราเองคนนึงละโยนิโสไม่เป็น ก็อาศัยกำหนดรู้ลงไปทุกๆครั้งที่เกิดตั้งแต่หยาบจนมันละเอียดขึ้น
สุดท้ายพอมันเต็มที่ มันก็เกิดเป็นวิปัสสนาญาณทันที จะเห็นการเกิดดับของรูปนาม อย่างต่อเนื่อง
โดยปราศจากการกำหนด หรือความคิด มันไม่มีเลย มีแต่ตัวรู้เกิดขึ้นมาล้วนๆ สติอยู่คู่กับจิตตลอดเวลา
สุดท้ายจะมีรู้ผุดขึ้นมาว่า มันไม่มีอะไรเลย มีแต่รูป นาม สมมุติแค่นั้นเอง

( ช่วงที่ปฏิบัติในช่วงนี้ จะใช้เวลาในการปฏิบัติประมาณ 10 ช.ม. ต่อวัน ถ้าวันไหนติดธุระก็ 4 ช.ม. )
แต่ละคนไม่ว่าจะปฏิบัตแบบไหน เมื่อเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ขั้นที่ 1 อุทยัพพยญาณ ( อย่างแก่ ) ทุกคน
จะรู้เหมือนกันหมด

13 มค.

แป๊บๆก็ผ่านไปอีกแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปไวเสียเหลือเกิน ดูสิ อีกไม่กี่ช.ม.ก็จะเข้าวันใหม่อีกแล้ว
เวลาที่ผ่านไปทุกๆวินาที เราจะถามตัวเองอยู่เสมอๆว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ยังแก้โจทย์การบ้าน
ที่อาจารย์ท่านให้มายังไม่ได้

อ่านโสฬสธรรมก็หลายรอบแล้ว นำโจทย์มาใช้กับจิตตัวเอง ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่มันยังเล็กน้อย
ทุกอย่างมันมีความอยากเข้าไปแทรกอยู่ทุกครั้ง ถึงจะไม่มาก แต่ก็ถือว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร
มันไม่เหมือนในอดีตที่เราเคยปฏิบัติ อันนั้นปราศจากความอยาก ไม่เคยอยากรู้ อยากเห็น
หรือสนใจในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

พอจะก้าวขึ้นบันได จิตมันก็บอกว่าอยากสวดมนต์จัง อยากทำกรรมฐานจัง
( แล้วทำไมมันต้องอยากด้วยล่ะ นั่นน่ะสิ เราก็หาคำตอบไม่ได้ )

ใครๆมักจะพูดว่า คนที่กำลังมีความสุขจะคิดว่าเวลามันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน แต่เราไม่ใช่แบบนั้น
ไม่ได้รู้สึกสุขกับอะไรเลย ไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษเลย รู้สึกธรรมดาๆแค่นั้นเอง
อะไรที่มากระทบมันก็ระงับได้เร็วขึ้น ชัดเจนในสิ่งที่เกิดมากขึ้น


22 ม.ค. '51

วันนี้เดินจงกรม มันแปลกมากๆ ปกติแล้ว เราเคยเดินแค่ระยะที่ 5 ระยะที่ 6 ไม่เคยเดิน
เพราะฐานสติยังไม่แน่นพอ มันจะเซ วันนี้ที่ว่าแปลกมากๆก็คือ มันเดินได้เอง

คือเราเก็บรายละเอียดทุกย่างก้าวที่เดิน ตั้งแต่ ยก ย่าง วาง ถูก เหยียบ กด เรากำหนดดูตาม
ทุกอริยาบทที่เท้าก้าวไป เราเห็นว่าอาการมันเกิดคล้ายๆกับในสมาธิ เห็นการเกิดดับขาดออกเป็นตอนๆ
ของทุกย่างก้าวที่เดิน มันชัดเจนมากๆ


แม้แต่เวลายืน ปกติจะต้องกำหนดยืนหนอ คราวนี้ไม่ต้องกำหนดเลย มันรู้ขึ้นมาเองขณะที่ยืน
ตั้งแต่กระหม่อมถึงปลายเท้า ปลายเท้าถึงกระหม่อม มันรู้ตัวต่อเนื่องไม่ขาดสาย เห็นตั้งแต่เริ่มต้น
จนกระทั่งจบ เราโทรฯหาคุณนุเลย ต้องถามผู้ที่มีความรู้ เราไม่รู้เรื่องปริยัติเลย คุณนุ บอกว่า
สันตติบัญญัติขาด และก็สนทนาธรรมกันอีกยาว เราเลยมาค้นต่อในหนังสือวิปัสสนาทีปนีฎีกา
จะมีรายละเอียดของสภาวะซึ่งหลวงพ่อภัททันตระ ท่านได้เมตตาถ่ายทอดไว้


January 24
อนิจจานุปัสสนาแท้และเทียม

ถ้าได้มีการกำหนดรู้ในอนิจธรรม คือ รูป,นาม ที่เกิดขึ้นอยู่เฉพาะหน้าแล้ว อนิจจลักขณะอย่างใด
อย่างหนึ่งก็ปรากฏเห็น โดยความเป็นอนิจจังในขณะนั้นพร้อมกันไปด้วย การรู้เห็นในความเป็นอนิจจัง
โดยการกำหนดรู้อยู่เช่นนี้แหละเรียกว่า อนิจจานุปัสสนาแท้

ถ้าหากว่าไม่ได้มีการกำหนดรู้ในอนิจจธรรมที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าแต่ประการใด เพียงแต่ทำการคิด นึก
พิจรณา ไปในอนิจจลักขณะ โดยการบริกรรมว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
อันเป็นบัญญัติอนิจจะอย่างนี้ อนิจจะลักขณะ ไม่มีโอกาสที่จะปรากฏได้
การปฏิบัตินี้เรียกว่า อนิจจานุปัสสนาเทียม ดังที่ท่านมหาพุทธโฆษาจารย์แสดงไว้

จากหนังสือ วิปัสสนาทีปนีฎีกา หลวงพ่อภัททันตระ อาสภมหาเถระ

28 มค.
การปฏิบัติ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ไปคาดหวังผลเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลานั่งยังคงเกิดสภาวะดิ่ง
ตลอดจนหมดเวลา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ .. ตรงนี้สำหรับคนที่ชอบปรุงแต่ง ยามตากระทบรูป

คำสรรเสริญ เยินยอ คือ ยาพิษ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คำพูดนี้ ให้น้องๆที่เข้ามาอ่าน และอาจจะมีการโพสข้อความธรรมะในบอร์ด

เมื่อมีคนไปกดอนุโมทนาให้กับเขา นั่นคือ หนึ่งคำสรรเสริญ
ใจเขาจะได้ไม่ฟู ไปปรุงแต่งว่า มีคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาโพส


เพราะมีบางคนไปกดอนุโมทนา เพื่อให้รู้ว่า เขาได้เข้ามาอ่านข้อความ

อีกอย่าง เขาจะได้ไม่ไปยึดติดกับการที่มีคนมากดอนุโมทนาให้
เพราะถ้าครั้งต่อไป เขามาโพสแล้ว ไม่มีคนมากดให้ ใจเขาจะได้ไม่ฝ่อ


ดีไม่ดี ไปสร้างยูสเซอร์ขึ้นมาใหม่ แล้วไปกดอนุโมทนาให้กับตัวเอง
นี่คือ การเพิ่มกิเลสให้กับตัวเอง หาใช่การทำให้กิเลสเบาบางลงไปไม่


และเหตุที่เปลี่ยนบัญญัติจาก มีความเพียรอยู่ที่ไหน ย่อมมีความสำเร็จอยู่ที่นั่น

อะไรก็ตามที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นนำมาเพ่งโทษเราได้ เราจะเปลี่ยนข้อความนั้นทันที
การที่เปลี่ยนข้อความนี้ นึกถึงผู้อื่น ผู้ที่กำลังสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง


ข้อความทุกๆข้อความ ล้วนเป็นเพียงบัญญัติ จะปรุงจะแต่งยังไงก็ได้ ยามที่ตากระทบรูป
สติ สัมปชัญญะ ทันไหม หากทัน มันก็จบ เพราะมันแค่บัญญัติ


ถ้อยคำหยาบคายที่ผรุสวาทออกมายามที่ขาดสติ นี่ก็เรื่องปกติ ของคนที่
ยังมี สติ สัมปชัญญะไม่มากพอ ที่จะรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิตตัวเอง
มันเลยไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ เพราะสติยังด้อย
เมื่อสติยังด้อย การทำงานของหิริ โอตัปปะ ย่อมด้อยตามกำลังของสติ




ผู้ที่เอาแต่นั่งสวดมนต์ภาวนา เอาแต่นั่งสมาธิ แต่ไม่ได้เจริญสติ จะเป็นแบบนี้แหละ
เมื่ออะไรมากระทบ สมาธิที่มีนั้นก็ไม่สามารถเอาอยู่ ไปแล้ว ปรุงแต่งทันที

ผิดกับผู้ที่เจริญสติ ผลที่ได้รับคือ สติ สัมปชัญญะ ( ปัญญา ) และสมาธิ
ไม่ว่าจะมีสมาธิมากหรือน้อย ไม่ใช่องค์ประกอบที่สำคัญ เพราะสมาธิมีการสะสมตามกำลังของสติ
สติดี สมาธิย่อมดี เพราะความฟุ้งหรือนิวรณ์ต่างๆเกิดขึ้นได้ยาก

ผิดกับผู้ที่เอาแต่สวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิแต่อย่างเดียว
อันนั้นสมาธิเอาไปกินหมด สติด้อย เวลาเกิดการกระทบหรือผัสสะ ยามที่กระทบกับกิเลส
ถ้ากำลังสมาธิไม่มากพอ ไปแล้ว ไปหมดเลย เพราะกำลังของสติยังด้อย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิด ถูกหรือผิดเป็นเพียงความคิดของแต่ละคน
แต่ควรทำที่ถูกใจเราต่างหากถึงจะถูกต้องตามสภาวะ
และวันใดสติ สัมปชัญญะมากขึ้น สภาวะเขาจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะของผู้ปฏิบัติ

ในการปฏิบัติ ควรปฏิบัติตามแนวทางของตัวเองที่ตัวเองถนัด ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อใครสักคน
เหมือนเดินจงกรม ทำไมจึงรู้สึกเหมือนกับหุ่นยนต์ เพราะการทำตามใจคนอื่นๆ
แต่ไม่ใช่แบบที่ตัวเองถนัด มันก็เลยเหมือนหุ่นยนต์
เวลาส่งสภาวะ ก็ต้องพูดตามความเป็นจริง ไม่ใช่พูดเพื่อเอาใจหรือพูดเพื่อให้ถูกใจ
สภาวะโกหก ผลที่ได้รับคือ สภาวะผิดเพี้ยนตามความเป็นจริง ถึงไม่ไปไหนมาไหน
ดีไม่ดี ไปสร้างเหตุไม่ดีเพิ่ม สภาวะยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ

เมื่อคุณเป็น ไอดอล ของใครสักคน คุณก็รู้อยู่ว่า คุณคือ ไอดอลของเขา
เขาจะเลียนแบบในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ....



อนุญาตินะ หากยังมีการปรุงแต่งไม่จบ
อยากปลดปล่อยกิเลสใดๆที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาให้หมด ก็ปลดปล่อยออกมา

นี่คือ เป็นการให้ธรรมทานอย่างหนึ่ง ที่เราพึงให้แก่เธอได้ในยามนี้
แล้วก็จะไม่มีการตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น เพราะเข้าใจในสภาวะที่เธอเป็นอยู่
ปลดปล่อยมันออกมาให้หมดนะ เพื่อจิตของเธอนั้นจะได้โล่งเบาสบาย
จะไม่มีการแจ้งล็อคกระทู้ใดๆทั้งสิ้น แล้วไม่มีการตั้งค่าใดๆกับกระทู้นี้ทั้งสิ้น

ขอบคุณนะ ที่มาเป็นตัวทดสอบกิเลสโทสะให้กับน้องๆเขา
สำหรับเรานั้น เราจบเหตุกับเธอมานานแล้ว :b38:


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร