วันเวลาปัจจุบัน 22 พ.ค. 2025, 05:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ และ ผู้สนใจในธรรมทุกท่านด้วยครับ

cool สติ อยู่กับกาย สติอยู่กับใจ

ไม่ส่ิงจิตออกนอกก็ไม่ทุกข์ เน้อ cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


แก้ไขล่าสุดโดย moddam เมื่อ 07 เม.ย. 2010, 19:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ตค. 50
7.00-9.00
เมื่อวานไม่ได้ปฏิบัติ เลยมีผลมาถึงวันนี้ ต้องทำทุกวัน ถึงจะต่อเนื่อง
วันนี้ไม่ไหว สติไม่มี นาฬิกาดัง สะดุ้งทั้งตัว

เมื่อวานได้แต่กำหนดอริยาบทย่อยเอา ไม่ได้ทำเต็มๆ เลยมีผลมาถึงวันนี้ ขาดสักวันไม่ได้เลย
เท่าที่สังเกตุมาตลอด

วันนี้ไม่ไหว สติไม่มี นาฬิกาดังหมดเวลา สะดุ้งทั้งตัวเลย เราลองทำแบบไม่จับเวลา
ไม่กำหนดว่าเดินเท่าหร่ นั่งเท่าไหร่

เดินจงกรม 4 ระยะ แล้วนั่งต่อเลย แต่จะทำได้แค่ไหนก็จะดูเอาว่าได้แค่ไหน อารมณ์เป็นยังไง
นั่งทบทวนดู แต่จะตั้งเวลาจบไว้ที่ 2 ช.ม. ปรากฏว่า พอครบ 2 ช.ม. นาฬิกาดัง สะดุ้งเลย ขาดสติ

19.50-21.50
วันนี้ลองทำแบบไม่ตั้งเวลา เดินระยะที่ 1 แล้วนั่งต่อครบ 2 ชม. พอดี

2 ตค. 20.30-22.30
วันนี้ยืนหนอดีกว่าทุกวัน รู้สึกตัวทั่วพร้อม ละเอียดชัดเจนมากตั้งแต่กำหนดยืนหนอ
จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน มีสติดีมากๆ

นั่ง เวทนาเป็นๆหายๆ ปกติจะทนไม่ค่อยไหว โดยเฉพาะช่วงท้ายๆจะทนไม่ไหว
ช่วงใกล้จะหมดเวลาทุกครั้ง วันนี้แปลก พอมีเวทนา เราก็พิจรณาลงไปเรื่องขันธ์ 5 ทำทั้งๆที่ไม่ค่อยเป็น
แต่ลองทำตามที่ได้ข้อมูลจากการสนทนากับคุณนุ เรื่องขันธ์ 5 มา แยกออกไปทีละส่วน
ถึงแม้จะยังไม่คล่อง แต่เหมือนกับว่าเวทนาเปลี่ยนไป มันบอกไม่ถูก ปวดก็จริง แต่เหมือนว่า
เรารับรู้และทนความปวดนั้นได้ ไม่ได้ถอยหนีเหมือนทุกๆครั้ง มันปวดสุดๆแล้วก้จางหายไป เป็นช่วงๆ
จนกระทั่งหมดเวลา อันนี้หรือเปล่า ที่ว่าร่างกายกำลังปรับสภาพ หรือว่าปรับสภาพของจิตในการรับรู้

3 ตค. 22.30
ไม่ไหวเลย ขึ้นมาเลยเวลา ง่วงมากๆ นั่งหลับตลอด เดินสลับนั่งตอนหลัง ก็ง่วงตลอด จนถึงตี 1
ต้องขึ้นตั้งแต่ 2 ทุ่ม เลย 2 ทุ่มนี่ไม่ไหว ปฏิบัติ ไม่ได้อะไรเลย

เรื่องที่คุยนี่ตอนสายๆ มันมาฟุ้งเอาตอนจะปฏิบัติ สติมันไม่ทัน จิตก็ล่วงหน้าไปโลดเลย
คนมันน่าเบื่อ จริงๆนะเรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คนปฏิบัติได้จริงเขาไม่มานั่งว่าร้ายหรือให้ร้าย
กับใครต่อใครหรอก คนเราน่ะมันก็มีทั้งดีและชั่วแหละ หายากมากที่จะสมบูรณ์ 100%
ปฏิบัติก็เหมือนกัน ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา

โห ... นี่เราไปฟุ้งเรื่องชาวบ้านเขาทำไมนี่ ....
ดีนะที่ยังมาหางๆสติโผล่มาคว้าไว้ได้ทัน ก็คิดหนอๆๆ ทันทีเลย ลุกขึ้นเลย เดินจงกรม
แล้วก็นั่งสมาธิต่อ จบที่เวลา ตี 1 กว่า

4 ตค. 07.15-09.15
เช้านี้ปฏิบัติรอบเช้าได้ทัน เลยเก็บหน่วยกิตสะสมได้สองช.ม. หลังปฏิบัติแล้วมานั่งทบทวน
แต่ละสภาวะที่เกิด มันละเอียดมากขึ้น สติชัดเจนมากขึ้นจนจับสภาวะต่างๆได้ทัน
เห็นชัดเจนมากทั่วกาย ทุกย่างก้าวเดิน ตลอดจนกระทั่งนั่งสมาธิ

เดินจงกรมระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 4 จะเก็บรายละเอียดได้ดี

ระยะที่ 1 นี่ธรรมดา ก้าวย่างธรรมดา

ระยะที่ 2 ต้องมีสติมากขึ้น ไม่งั้นเวลายกหนอ จะเซ และทำให้ขาสั่น ยกเท้าอยู่นานไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม ถ้าสติไม่ทัน จะเหมือนยกเท้าแล้วก้าวพรวดๆไป

ระยะนี้ถ้ายังเดินระยะที่1 ไม่แน่นพอ แล้วจะมาเดินระยะนี้ จะเห็นได้เลยว่า ก้าวเร็วมากๆ
กำหนดแทบไม่ทัน แถมจะล้มอีกต่างหาก ขาสั่นไปหมด ถ้าสติยังไม่มากพอ ยก.. หนอ เหยียบ.. หนอ
มองดูเหมือนง่ายนะ ยกขาเป็นกระต่ายขาเดียว แล้วก้าวเดิน ระยะ2 นี่ใช้สติในการเดิน
มากขึ้นกว่าระยะ1 ไม่งั้นเวลายกหนอจะเซ และทำให้ขาสั่น ยกเท้าขึ้นอยุ่นานไม่ได้ เหมือนเรายกเท้าขึ้น
แล้วก้าวพรวดๆไป ยกเท้านิดเดียวนะ ไม่ได้ยกสูง เดินจงกรม ต้องเดินทีละระยะก่อน
เดินให้ได้แน่นๆก่อน แน่นๆ คือ สติดี ชัดเจนก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะเอา

ระยะ 3 เก็บรายละเอียดได้มากขึ้นเกี่ยวกับลมหายใจตั้งแต่ยกเท้า ก่อนจะยกเท้าขึ้น เราจะยกส้นเท้า
เปิดรอก่อน ( โดยคิดในใจว่า ขวา พร้อมกับหายใจเข้าเต็มปอด ) พอยกเท้าลอย กำหนด ยกหนอ
จะค่อยๆผ่อนลมหายใจออก วางหนอ พอเหยียบหนอ จะปล่อยลมหายใจออกหมด

ถึงเดินได้ก็เก็บรายละเอียดต่างๆไม่ได้ จับลมหายใจก็ไม่ได้
จะจับลมหายใจไม่ได้แบบนี้ ถ้าทำได้แบบนี้ จะต้องหายใจยาวๆ ซึ่งได้มาจากยืนหนอ
หากลมหายใจสั้น จะเดินระยะ 3 และ 4 ได้ยาก สติไม่พอ จะเซ

เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เกี่ยวกับลมหายใจ ตั้งแต่ยกส้นเท้าเปิดรอก่อน
พร้อมกับหายใจเข้าให้เต็มปอด พอยกเท้าลอย กำหนด ยก..หนอ.. จะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
ย่าง..หนอ.. พอเหยียบ..หนอ.. ลมหายใจจะปล่อยออกมาหมดพอดี จะทำได้ต้องหายใจยาวๆ
ซึ่งได้มาจากการยืนหนอ หากลมหายใจสั้น สติไม่พอ จะเดินระยะนี้ไม่ได้ ถึงบอกว่าเดินได้
ก็กำหนดได้ไม่ทัน อันนี้ฟังจากคนที่ลองเดินแล้วเดินไม่ได้

ระยะที่ 4 ยกส้นหนอ หายใจให้เต็ม พอยกเท้าหนอ นี่หายใจออก ค่อยๆผ่อนลมหายใจ
ตามจังหวะเท้าที่ยก แล้วย่างหนอ พอเหยียบหนอ หายใจออกหมด มันจะเป็นจังหวะเหมือนระยะ 3
ทั้งระยะ3 และ 4 สติ สัมปชัญญะจะดีมากๆ เห็นได้ชัดเจนถึงขณะที่เกิดความรู้พร้อมทั้งตัว
สติเป็นตัวบอก สัมชัญญะเป็นตัวรู้

ลมหายใจกับกายจะเป็นหนึ่งเดียว จะไม่มีหายใจทิ้งไป ทุกลมหายใจก็คือทุกย่างก้าวที่กำหนด
อาการที่กำลังเดิน หากสติยังไม่มากพอ จะเดินระยะนี้ไม่ได้ บางคนจะอึดอัด แน่น หายใจไม่ทัน
กับการเดินหรือไม่ก็หายใจหอบไปเลย

20.20-22.30
วันนี้ ขณะที่นั่ง พิจรณาเรื่องการกำหนดว่า เวลาเกิดรูป,นาม กำหนดตรงไหน และสติ ตั้งไว้ที่ตรงไหน
เปิดเจอ เรื่องการกำหนดที่หลวงพ่อจรัญท่านเขียนไว้ ให้กำหนดตรงสิ่งที่เกิด เช่น รูป รส กลิ่น เสียง
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ตั้งสติไว้ที่อายตนะที่ถูกกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมื่อเกิดผัสสะที่อายตนะ แต่ตั้งสติไม่ทัน จิตเกิดที่ตา ตั้งสติที่ตา เมื่อตั้งสติทัน ขันธ์ 5 ก็ดับ
ไม่มีการปรุงแต่ง เห็นก็สักแต่ว่าเห็น


ตอนนั้นคำศัพท์ต่างๆที่ใช้ ยังไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำไปตามแบบที่คิดว่าทำได้


ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งนับวัน ยิ่งละเอียด ยิ่งละเอียด ยิ่งเห็นขันธ์ 5 ได้ชัดเจนขึ้น

วันนี้เดินจงกรม ไม่ว่าจะกำหนดยืนหรือเดิน มีสติดีตลอด

นั่ง เวทนาเกิดตลอด เป็นๆหายๆ สติดี กำหนดได้ทันตลอด ถ้าปวดมากจนคิดว่าทนไม่ไหว
ก็กำหนดได้ทัน พอกำหนดทัน ความปวดค่อยๆจางหายไป แล้วก็เกิดขึ้นใหม่อีกจนหมดเวลา
วันนี้สติดี กำหนดได้ทันทุกขณะ

ช่วงเวลานั่งว่างๆ พิจรณาเรื่องการกำหนดว่า เวลาเกิดรูปนาม กำหนดตรงไหน และตั้งสติไว้ที่ตรงไหน
การกำหนดให้กำหนดสิ่งที่มากระทบภายนอก กำหนดตรงสิ่งที่เกิด เช่น รูป รส กลิ่น เสียง
ตั้งสติ ให้ตั้งสติไว้ที่อายตนะที่ถูกกระทบ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเกิดผัสสะที่อายตนะ

อย่าลืมว่า สิ่งที่มากระทบภายนอกเป็นรูป จิตรับรู้สิ่งที่มากระทบเป็นนาม เมื่อเราตั้งสติทันจิต
เช่น หูได้ยินเสียง กำหนดที่เสียง เสียงเป็นรูป จิตเกิดที่หู เราตั้งสติไว้ที่หู เมื่อสติทันจิตขันธ์ 5 ก็ดับ
การปรุงแต่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นเลยไม่มี ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งละเอียด

ยิ่งละเอียด ยิ่งแยกขันธ์ 5 ได้ชัดเจนขึ้น เราเองก็หมั่นหาข้อมูลที่ครูบาอาจารย์ท่านได้เขียนไว้
พยายามคุยปรึกษากับผู้ที่รู้ปริยัติมากกว่า เราเองต้องยอมรับว่าด้อยในเรื่องนี้ จะมีปัญหาเรื่องการโยนิโส
เมื่อเวลาปฏิบัติเสร็จ หมั่นทบทวนสภาวะเสมอๆ ยังไม่นอนทันที หรือ ถ้าเป็นกลางวัน ก็ยังไม่ไปไหนทันที

วันนี้ เดินจงกรม ไม่ว่าจะกำหนดยืนหรือเดิน มีสติดีตลอด มีความชัดเจนดีมาก

นั่ง ..... เวทนาเกิดตลอด เป็นๆหายๆ สติดีกำหนดได้ทันตลอด ถึงจะปวดมากจนคิดว่าทนไม่ไหว
ก็กำหนดได้ทัน พอกำหนดทัน ความปวดค่อยๆจางหายไป ใช้วิธีโยนิโส โดยการแยกขันธ์ 5 ออกมา
เวทนาเกิดมาก แต่กำหนดได้ทัน แต่วันนี้สติดี กำหนดได้ทันทุกขณะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 10 เม.ย. 2010, 22:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 00:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 7 เมษายน 2553
เดิน 14 นาที

วันนี้เจริญสติแล้ว มีสติดีขึ้น
คิดว่าถ้าเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ทุกอย่าง ก็จะขอโทษเขาในวันพรุ่งนี้
พยายามไม่คิดเรื่องที่ไม่ดีแล้ว เพราะว่าตอนนี้คิดอะไรไม่ดีนี่เหมือนจะโดนดีเกือบทุกอย่าง

ส่วนที่เหลือไม่อยากเล่าเท่าไหร

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


5 ตค. เช้า 1 ชม. กลางคืน 1 ชม.

6 ตค.
เดี๋ยวนี้เวลาดูทีวี ดูหนัง แล้วต้องเอาไปเปรียบกับธรรมะทุกครั้งเลยก็ไม่รู้ มันหดหู่ เศร้าใจ
บอกไม่ถูกเลย ยิ่งดูเรื่อง จูมง ยิ่งเศร้าใจใหญ่
อำนาจ นี่มันช่างไม่ปราณีใครเลย ยิ่งโย่งเศร้า นี่แหละลูก ขนาดลูกของตัวเองแท้ๆยังห่าพ่อแม่ได้เลย
นับประสาอะไรกับจูมงที่เป้นลูกของคนอื่น ที่ฮ่องเต้นำมาเลี้ยงไว้แล้วก็รัก

คนเรานี่มันจริงๆเลย มีอำนาจก็หมดอำนาจ เส้นทางเดินนี้ ช่างยาวไกลยิ่งนัก
ดูละครก็ย้อนกลับมาดูตัวเองทุกครั้ง รู้สึกง่วงมากๆเลย

จากที่ว่าง่วงสุดๆ เราหยิบหนังสือหลวงพ่อพุธมาอ่าน อ่านตอนที่หลวงพ่อพุธป่วยหนัก
หลวงปู่ฝั้นไปเยี่ยม แล้วแนะนำหลวงพ่อพุธ ให้ตั้งใจเพ่งอาการ 32 ให้พิจรณาความตายให้มากที่สุด
ไม่ต้องไปพิจรณาอย่างอื่น ซึ่งอาการขณะนั้น พวกหมอพากันส่ายหน้าแล้ว

หลวงพ่อพุธทำตามคำแนะนำ แรกๆดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอพิจรณาหนักๆเข้า มีผล
ท่านเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่ 3 ทุ่ม จนถึงตี 3 ของวันใหม่

ในขณะนั้น ความรู้สึกทางจิตผุดขึ้นว่า คนอื่นเขานอนตายกันทั้งนั้น ท่านจะมานั่งตายทำไม
คิดได้ดังนั้น ท่านล้มตัวลงนอน ตรงนี้แหละ ที่ท่านได้เห็นการแตกสลายของธาตุขันธ์
นับจากนั้น อาการป่วยของท่านก็ค่อยๆดีขึ้น

เดินจงกรม เราง่วงมากๆ กำหนดไม่หาย เลยใช้วิธีคลุกเข่าลง แล้วก้มหน้าลงกับพื้น
พอค่อยยังชั่วก็เดินต่อ เดินระยะที่ 1-4 งงมากๆ ใช้เวลาเยอะมาก ตั้งแต่ 21.18
ดูนาฬิกาทันทีที่เริ่มเดิน ดูนาฬิกาอีกที เที่ยงคืนครึ่ง จะไม่ให้งงได้ยังไง
เดินไปได้ยังไงไปกลับ 2 รอบของปกติแค่ ชม.เดียว นี่ปาเข้าไป 3 ชม. กว่า

นั่งเลย ไม่ได้จับเวลา กะว่าพอแค่ไหนก็แผ่เมตตา กรวดน้ำ
ก็แปลกดี ครบ 1 ชม. พอดีเลยที่นั่ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 00:58
โพสต์: 7

อายุ: 34

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
อ้างคำพูด:
มันจะเหลือแต่คำว่า รัก ทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเขาจะเคยเป้นใคร
ทำอะไรกับเราหรือมีความไม่พอใจอะไรมาก่อนหรือเปล่าซึ่งนั้นก็คือพรหมวิหารสี่


ความคิดของพี่นะค่ะ ถูกผิดอย่างไร? ต้องขออภัย
พี่คิดว่ายังไม่ใช่ "พรหมวิหารสี่" ตัวจริงหรอกค่ะ แค่สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น
ถ้าตัวจริงต้องมีอยู่ในใจเราตลอดเวลา...มิใช่จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ปฏิบัติ
หรือเรียกง่ายๆว่า กิเลสกำลังลวงเรา....แต่จะอะไรก็ตาม...รู้อย่างเดียว


อ้างคำพูด:
วันนี้เดินแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเดินเท่าไร แล้วก็ขี้เกียจพิจารณา
ก็เลยไม่ค่อยพิจารณาอะไรเท่าไรในการเดินวันนี้


ตัวที่จะทำให้เราก้าวหน้าในการปฏิบัติที่สำคัญคือ
ความเพียร...ถ้าขาดตัวนี้ก็แทบจะไม่ไปไหนเลย....พี่ทักทายจะเป็นบ่อยมากๆ
วันนี้ปวดหัวจังเลย...ยังไม่ปฏิบัติดีกว่า ขืนทำไปก็ไม่ได้อะไร...วันนี้เดินแค่
ยี่สิบนาทีพอ..เพราะทำท่าจะเจ็บเท้า....วันนี้นั่งสิบนาทีพอ...เพราะฟุ้ง
ขืนทำไปก็ไม่มีประโยชน์... :b5:

พอเราทำตามที่กิเลสมันเรียกร้อง...พรุงนี้มัน
ก็จะมาในรุปแบบใหม่...และเพิ่มมากขึ้น....มีทุกวัน..อ้างโน่นอ้างนี่ได้
ทุกวัน...จนเกือบจะเลิกปฏิบัติไปเลยก็มี....แต่มานึกถึงคำที่อาจารย์
ย้ำนัก ย้ำหนาว่า...มากหรือน้อย...ทำไปเรื่อยๆ....อย่าหยุด..เพราะถ้า
หยุด...ก้าวต่อไปก็คือเลิกทำ.... :b7:

พี่ก็พยายามตะล่อม "ใจ" เรื่อยๆ...มายามา..เราก็มายากลับ...
เช่น...วันนี้ไม่เข้าปฏิบัติเพราะคัดจมูก..หายใจไม่ออก
อีกใจก็จะสอดแทรกขึ้นมาแบบ..นุ่มๆว่า...ลองเดินสักแป๊ปดูก่อนซิ..ถ้าไม่ไหว
ค่อยเลิก...เดินน่าจะหายใจโล่งมากกว่านอนเฉยๆนะ...หวัดจะได้หาย
เดินสักห้านาทีก็ได้...พอเดินได้ห้านาที...ก็จะผลัดว่าต่ออีกนิดดูซิ...
กำลังดีเลย...หายใจก็โล่งขึ้น....ดีกว่านอนเฉยๆ ไม่ได้อะไรเลย... :b14:

จะเป็นอย่างนี้ทุกวัน...จะมีสองฝ่ายที่เถึยงกัน...ได้สักสองสามวัน
ตัวขึ้เกียจจะหายไป...ที่นี้พอถึงเวลาก็จะเข้าปฏิบัติเอง โดยที่เจ้าตัวงอแง
จะหายหน้าไปเป็นพักๆ....คือถ้าวันไหนมันชนะเรา...อีกวันมันก็จะเสนอหน้า
รอก่อนปฏิบัติ...คอยขัดขวางอยู่เรื่อย....แต่ถ้ามันแพ้มันก็จะหายไป..เพื่อ
ไปรวบรวมกำลังตัวใหม่กลับมาหลอกลวงเรา..... :b23:

อย่ายอมแพ้ซิค่ะต่อรองมันก่อน....เจรจากัน...ผลัดผ่อน
เราต้องรุ้ให้ทันกิเลสตัวขึ้เกียจนี้...มันร้ายกาจมากค่ะ :b30:

อนุโมทนา สาธุ...ขอให้มีความเพียรกำหนดอย่างต่อเนื่องนะค่ะ :b8:

เจริญในธรรม :b8:

-------------------------------------------------------------------------------------------
ชอบครับ คือผมอยากจะนั่งสมาธิมาตั้งนานมากแล้ว แต่ไม่ได้เริ่มซักที แสดงว่ากิเลส
ยังมี ถ้าไว้เริ่มจะขอคำแนะนำครับผม

.....................................................
: รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ก็พอ :


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
-------------------------------------------------------------------------------------------
ชอบครับ คือผมอยากจะนั่งสมาธิมาตั้งนานมากแล้ว แต่ไม่ได้เริ่มซักที แสดงว่ากิเลส
ยังมี ถ้าไว้เริ่มจะขอคำแนะนำครับผม


เดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิมั้ยคะ :b12:

---------------------------------------

วันที่ 8 เมษายน 2553
เดิน 12 นั่ง 2

ในขณะนี้ที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ได้ยินเสียงฮิมทำนองเพลงของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เสียงเพราะดีนะ
อาจจะมีบ้านหลังไหนเปิดทีวีอยู่ก็ได้?

เดินไม่มีไรมากเลย ก็ เดินไปคิดไปตามปกติ แล้วก็คิดว่า ถ้าดูเท้าเฉยๆแบบไม่พิจารณาเนี่ย แบบไหนจะรู้แจ้งได้เร็วกว่ากัน
ก็เลยเดินดูเท้าแบบไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกว่ามองเห็นตามความเป็นจริงได้เร็วกว่าแบบเดินไปคิดไปน่ะนะ

ส่วนช่วงนี้ที่ที่รุ้สึกแย่ๆ ก็เริ่มรู้ว่ามาจากการที่เราต้องใช้กรรมนั้นๆ
มันคงเป็นกรรมทางความคิดของเราล่ะมั้ง อย่างเช่นไปคิดดูถูกคนนั้น คนนี้
ตอนนี้ก็คือ รู้สึกว่าเรากำลังชดใช้กรรมนั้น บางทีถ้าไม่ได้เจริญสติก็คงไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ช่วงนี้รู้สึกว่าทำตัวไร้สาระมาก แต่ก็ต้องยอมให้เป็นไปแบบนี้โดยที่ไม่คิดฝืนหรือหนีความจริงอีก

เพื่อที่จะมองเห็นตามความเป็นจริงได้สักที
ไม่ชอบเลยที่เป็นแบบนี้แต่ก็ต้องอดทน และไม่ไปคิดมากอะไรกับมัน
คิดว่าจะมองเห็นแสงสีรุ้งได้ภายในเร็ววัน

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงนี้ก็เลยมองดูความคิดของตัวเองทัน และก็ต้องระวังความคิดของตัวเองให้ดี

Mission ใหม่มาแล้ว~

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แก้ไขล่าสุดโดย varinne เมื่อ 09 เม.ย. 2010, 00:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 00:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



การเจริญสติ แรกๆเหมือจะยาก แต่เมื่อได้ทำต่อเนื่อง ..
จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว

เมื่อถึงเวลาออกดอกออกผล เก็บเกี่ยวได้แบบไม่หวาดไม่ไหว
แถมสามารถแบ่งปันให้กับคนอื่นๆได้อีกมากมาย
เรียกว่ามีเหลือกินเหลือใช้ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


7 ตค. 50
20.50-23.20
เดินจงกรม ง่วงมากๆ ก็เลยใช้วิธีนั่ง แล้วฟุ้บหน้าลงไป พอค่อยยังชั่ว สักพักก็เดินต่อ
ใจก้คิดนะ ไม่ไหวแล้ว ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ เราต้องเริ่มปรับเวลาใหม่ จะมาฟุบแบบนี้ไม่ได้ มันเคยตัว

เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
นั่งครั้งนี้ไม่มีดิ่ง กำหนดได้ เสียงนาฬิกาดัง แต่ไม่ตกใจ

การเดินจงกรม ไม่ได้เขียนข้อปลีกย่อยไว้ เช่น เรื่องสิ่งที่มากระทบ ขณะที่เกิดการกระทบ
ให้หยุดเดินก่อน ตรงไหนชัดเจน ให้กำหนดตรงนั้น กำหนดบ่อยๆ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเวลา
ว่าจะนานหรือไม่นาน พอกำหนดแล้วมันจางลงหรือมันหายไป ค่อยเดินต่อ ลมกระทบถูกตัวจนรู้สึก
ก็ต้องกำหนด เดินแล้วรู้สึกตัวหนักหรือตัวเบาก็ต้องสังเกตุด้วย ไม่ใช่เดินเฉยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น
ต้องทำเอาเอง อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ ไม่ต้องไปคิดมากมายหรือ

อ่านแล้วไปปรุงอะไรมากมาย มันก็แค่การปฏิบัติของคนๆหนึ่งแค่นั้นเอง อ่านแล้วก็รู้ รู้แล้วก็วาง
อย่าไปวุ่นวายกับตัวหนังสือ แต่จงไปวุ่นวายกับการปฏิบัติของตัวเองแทน ไม่ต้องไปคิดนอกตัว
ยิ่งปรุงก็ยิ่งฟุ้ง

8 ต.ค.

เรายังสะสมหน่วยกิตทุกวัน ส่วนมากเดี่ยวนี้จะ 2 ช.ม. อย่างต่ำ เราคิดว่า ช.ม.เดียวมันน้อยไป

9 ตค. 01.55
วันที่ 8 มีคนมาตามให้ไปดูคนป่วย อายุ 80กว่า copd นี่เราเพิ่งกลับมา เขาตามตอนตี 1
คนไข้ไอมีเสมหะ ญาติๆเห็นแล้วกลัวกันมากๆ เวลาที่เห็นคุณยายสำลัก ดูดเสมหะก็ไม่เป็น
น่าเห็นใจเขาๆไม่ได้เรียนมา ยังดีที่ยังรู้จกให้อาหารทางสายยางเป็น เขาให้เราคิดค่าเสียเวลา
แต่เราไม่ได้คิดตัง คือมองว่าทำบุญให้กับเขา เอาตังไม่ลง เงินบนความทุกข์คนอื่นนี่ เอาไม่ลงจริงๆ
กลับบ้านมาก็ตี 2 แล้ว เราก็เลยอาบน้ำ สระผม แล้วขึ้นห้องพระปฏิบัติต่อถึงตี 5 เลย

ขันธ์ 5 นี่จริงๆนะ เราต้องเร่งภาวนา เห็นสังขารแบบนี้แล้วไม่ไหว ใจมันคิดว่า ในอนาคตเราอยากเป็น
แบบนี้หรือเปล่า แต่ทุกๆอย่างมันไม่มีอะไรเที่ยง ดูครูบาฯหลายๆท่านสิ กฏแห่งกรรมที่เคยกระทำกันมา

02.00-04.00
การปฏิบัติตอนนี้ก็ไปเรื่อยๆ พิจรณาขันธ์ 5 ตลอด

11 ตค.. 01.30-02.30

12 ตค. 07.50-08.50

17 ตค. 00.30-01.50 วูบตลอดเลย

19 ตค.
ผ่านจริงๆ ...................
เรามองว่าชีวิตเรามันผ่านไปเรื่อยๆ ...............

ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ไม่ใช่เพราะเหตุอื่น เพราะตัวเราเอง ไปทำงานข้างนอกมาสองวัน
ไม่ได้นั่งสมาธิเลย มีงานทั้งวัน ได้แต่กำหนดอริยาบทย่อยเอา

วันนี้ต้องชาร์ทแบตใหม่ เริ่มจากน้อยไปก่อน แค่ 1 ช.ม.พอ เอาเข้าออกสมาธิให้คล่องก่อน
สะสมพลังใหม่ก่อน ทิ้งไปตั้ง 2 วัน

เริ่มใหม่ๆนี่ 1 ช.ม. พอไหว มากกว่านี้ มีแต่ความฟุ้งซ่าน นิวรณ์เต็มไปหมด
ต้องทำอย่างน้อยสองสามวันถึงจะแน่นเหมือนเดิม
ทำ 1 ช.ม. แต่หลายครั้งหน่อย กลับมาบ้านแล้วนี่ ต้องทำให้คุ้มกับที่ไม่ได้ทำหลักๆเลย

20 ตค. 01.00-01.30
ไปเรียนนักธรรมตรี ที่วัดมาสามเดือน คิดว่าจะได้สอบกับเขา ที่ไหนได้ พระจารย์ท่านไม่รู้ว่า
ฆาราวาส จะต้องแยกสอบกับพระ ชื่อเราเลยไม่มีส่งเข้าไปสอบ อดสอบเลย แต่ไม่เป็นไร
เอาไว้ปีหน้าค่อยเริ่มต้นใหม่ได้ ได้เรียนแค่นี้

ได้ความรู้มาก็ดีแล้ว ทำให้เราเริ่มพูดในแง่ของปริยัติได้ชัดเจนขึ้น เมื่อปฏิบัติอยู่แล้ว ปฏิเวธมีอยู่แล้ว
พอมาเรียนเพิ่ม ทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้น

คิดดูก็แล้วกัน ถ้าเราได้เรียนปริยัติแค่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ผลปฏิเวธจะเกิดได้อย่างไร
เมื่อได้แต่สิกขา แต่ขาดการลงมือทำ

รู้แค่เปลือก แต่เข้าไม่ถึง แต่ยังไงๆ ถ้าเกี่ยวกับพระธรรม ถ้าได้สิกขาอย่างเดียว เราก็ว่าดี
ถ้าปฏิบัติอย่างเดียว เราก็ว่าดี

แต่จะให้ดีที่สุดก็ต้องทั้งสิกขา และปฏิบัติ นี่แหละ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

21 ตค. 07.30-08.30
23.00-00.00

23 ตค. 22.00-23.00

24 ตค. 20.40-21.20
วันนี้เริ่มปรับเวลา คือ เกินไว้ก่อนไม่ว่าจะกี่นาทีก็ช่าง เดิน 1 รอบ แล้วนั่ง 40 นาที เป็นสมาธิดี
เพียงแต่เราเองยังพิจรณาไม่ค่อยเป็น ยังยกธรรมมาพิจรณาแบบที่เขาแนะนำมายังไม่ได้
การปฏิบัติเราก็อาศัยการเข้าออกสาธิ ทบทวนสภาวะตลอด ไม่เคยทิ้งเลย

25 ตค.
ยิ่งอ่านหนังสือประวัติของหลวงปู่มั่น เรายิ่งมั่นใจมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้น
เข้าใจได้ละเอียดมากกว่าเมื่อก่อนมากๆ

" ทุกข์คืออะไร? ในปฐมเทศนาแสดงว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์

และใครเล่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คืออัตภาพ ร่างกายของเรานี่เอง ฉะนั้นร่างกายนี้จึงถือ

ได้ว่าเป็น อริยสัจธรรม การพิจรณาให้รู้แจ้ง เห็นจริงในกายนี้ ก็เท่ากับรู้แจ้ง เห็นจริง

ในอริยสัจ นั่นเอง ดูแต่พระองค์ทรงสั่งสอนปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ด้วยพระธรรมเทศนากัณฑ์ที่2

คือ อนันตลักขณสูตร พระพุทธองค์ทรงยก รูป ขึ้นมาให้พิจรณา คือทรงแสดงว่า

รูป ภิกฺขเว อนตฺตา ...... รูปไม่ใช่ตัวตน

ปริวัตน์ที่2 ว่า

ตํ กิ มญฺญถ ภิกฺขเว รูป นิจฺจํ วาติ อนิจฺจํ วาติ ......

ภิกษุทั้งหลาย ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ

ปริวัตน์ที่3 ว่า

ตสฺมา ตีห ภิกฺเว รูป อตีตํ วา อนาคตํ วา ปจฺจุปนฺนํ วา .......

เพราะเหตุนั้นแลภิกษุทั้งหลาย รูปในอดีต อนาคต หรือ รูปปัจจุบัน

สพฺพํ รูป ....... รูปทั้งปวง

เนตํ มม เนโส หมสฺมิ น เม โส อตฺตา ติ ......

ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนเรา

เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญา ยทตฺตพฺพํ

จงพิจรณาข้อความนี้ ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบ

ได้พิจรณาว่า การพิจรณาตัวทุกข์นี้ก็คือรูปกายนี่เอง

พระปัญจวัคคีย์แม้จะได้บรรลุธรรมในเบื้องต้นแล้ว ยังไม่เพียงพอ พระพุทธองค์

จึงต้องทรงเน้นหลักลงไปที่กองกายนี่เอง โดยพระองค์ทรงแสดง อนันตลักขณสูตร

เพื่อจะให้พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุธรรมสูงสุด "

การดำเนินให้เป้นไปตามความจริงนี้เรียกว่า ญาณ คือการหยั่งรู้ ได้ความรู้ว่า เป็นสิ่ง

ที่เกิดขึ้นจากความเพียงพอ ( อิ่มตัว ) ของญาณแต่ละครั้ง มิใช่เป็นสิ่งที่จะนึกคิดเดาเอา

หรือน้อมเพื่อให้เป็นไป แต่ต้องเกิดจากความจริงที่ว่า

" ต้องพอเพียงแห่งความต้องการ ( อิมตัว ) "

การเป็นขึ้นจากการพิจรณาโดยความเป็นจริงแห่งกำลังของจิตที่ได้รับการอบรมมาพอแล้ว

เช่นผลไม้มันต้องพอควรแก่ความต้องการของมันจึงจะสุข แม้การพิจรณากาย

ที่เรียกว่าตัวทุกข์นี้ก็เช่นเดียวกัน กว่าจะกลับกลายเป็นญาณขึ้นมาได้ ต้องอาศัย

การพิจรณาจนเพียงพอแก่ความต้องการ ( จุดอิ่มตัว ) แต่ละครั้ง ....

เช่นกำลังของการพิจรณานี้มันอาจจะอยู่ได้ชั่วขณะหรือเวลา สุดแต่กำลังของญาณ

เช่น นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย จะตั้งอยู่ได้นานเท่าไรนั้น สุดแต่การพิจรณากายเห็นชัด

ด้วยความสามารถแห่งพลังจิต การพิจรณาทุกข์เป็นเหตุให้เกิดญาณนี้

ถ้าเกิดความเพียงพอกำลังเข้าเมื่อไร ญาณนั้นจึงจะเป็นกำลังตัดกิเลสได้เมื่อนั้น

สาธุ สาธุ สาธุ

หนังสือของหลวงปู่มั่นนี่ดีจริงๆ ญาณแต่ละญาณ จะต้องถึงจุดอิ่มตัว เมื่อก่อนก็แปลกใจว่าทำไม
เหมือนมันวนๆกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ที่แท้เป็นการทบทวนตลอด จนกว่าจะถึงจุดอิ่มตัว

เคล็ดไม่ลับ ในการพิจรณา หรือโยนิโส ขณะที่เกิดเวทนา
รูป นาม ขันธ์ 5 แยกออกมาทีละส่วน จะเห็นชัดเจน ว่า ....
แท้จริงแล้ว เวทนาที่เกิดนั้น เกิดจากอะไร .....
มันจะเกิดปัญญานะ หากพิจรณาแยกออกมาได้จริงๆ

สุสฺสูสา สุตวฑฺฒนี

สุตํ ปญฺญาย วฑฺฒนํ

ปญฺญาย อตฺถํ ชานาติ

ญาโต อตฺโต สุขาวโห

ความใฝ่เรียนสดับ เป็นเครื่องพัฒนาความรู้

ความรู้จากการเรียนสดับนั้น เป็นเครื่องพัฒนาปัญญา

บุคคลที่อยู่ด้วยปัญญา ก็จะรู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์

ประโยชน์ที่รู้จักแล้ว ก็นำสุขมาให้

28 ตค.21.25-23.25
อ่านหนังสือหลวงปู่มั่นแล้วมีกำลังใจเยอะมาก ต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก กว่าจะผ่านด่าน
แต่ละด่านได้ ทบทวนแล้ว ทบทวนอีก จนอินทรีย์แก่กล้าพอ กว่าสติจะมากพอ กว่าจะแก่รอบ
หลวงปุ่ได้บอกไว้ว่า มีเวลาตอนไหนก็ทำ อย่าไปเกี่ยงเรื่องเวลา ทำทุกเวลา ทำทุกที่ ทำได้หมด

วันนี้เป็นวันแรกเราจะทำแบบที่หลวงปู่สอน ถ้ายังไม่ก้าวหน้าก็ให้รู้ไป
เดิน 5 ระยะ ไปกลับ คือ 10 รอบ ที่เหลือ นั่ง 1 ชม. แล้วกลับมาเดินใหม่

31 ตค. 03.50 ทำวัตรเช้า ต่อด้วยปฏิบัติ 1 ชม.
ง่วงจังเลย ยังไม่ชิน ทำบ่อยๆเดี๋ยวคงจะดีขึ้นเอง 3 วันแล้วที่ยังทำทั้งคืนไม่ได้ ง่วงตลอด


ดีนะที่เราเขียนบันทึกไว้ในสมุดทุกวัน บางอย่างเราก็จำไม่ได้ว่า เป็นวันที่เท่าไร
ที่เราปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร

4 มกราคม 2550

วันนี้เดิน1ช.ม. นั่ง1ช.ม. วันนี้เมื่อขณะที่เกิดเวทนา เรามีสติชัดเจนมากๆ กำหนดได้อย่างต่อเนื่อง

แล้วจู่ๆก็เห็นจิตมันแยกออกจากาย แยกออกมาเป็นคนละส่วนกัน เห็นความเกิดดับของจิต
( อันนี้ครูบาฯท่านใช้สมมุติบัญญัติว่า จิตเกิด-ดับ ในการสื่อ จริงๆแล้วสภาวะที่เกิดนั้น มันไม่มีคำเรียก
ท่านจะเปรียบเทียบว่า เหมือนสายฝนที่โปรยลงมาไม่ขาดสาย ต้องเจอเองถึงจะเข้าใจ
ถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมไม่ได้ จะเกิดในสมาธิเท่านั้น จะเกิดเมื่อพละ 5 พร้อม ไม่ใช่นิมิต
มาถึงตรงนี้แล้ว ไม่มีนิมิต ไม่มีปีติ ไม่มีสุข ) ขณะที่เกิดเร็วมากๆ เราไม่ได้นับ

เห็นและเข้าใจเลยว่า นี่คือรูปนาม และมันก็เป็นเรื่องแปลก ที่เราเข้าใจในสมมุติได้ทันที
ขณะที่เกิดเวทนา เห็นตั้งแต่เกิดว่าเกิดตรงไหน ไปที่ตรงไหน ปวดอย่างไรบ้าง แต่เราไม่ไปรู้สึก
กับอาการปวด เพียงแต่เป็นฝ่ายเฝ้าดูอยู่อย่างเดียว ตอนนั้นไม่มีการกำหนดใดๆทั้งสิ้น

ปฏิบัติเสร็จเรานั่งทบทวนถึงสิ่งที่เราปฏิบัติในเวลานี้ รูปนาม แบบที่เราท่องๆมานั้น
เราเองยังไม่เข้าใจเลย ยังแยกไม่ถูก

แต่พอปฏิบัติได้ มันเข้าใจชัดเจนเลย จากที่ไม่เข้าใจรูปนาม กลับเข้าใจได้อย่างชัดเจน
และพูดเรื่องรูปนามได้

สมมุติก็เหมือนกัน เมื่อก่อนก็เข้าใจแบบปากท่องๆ แต่ก็ยังมีการค้างคาใจเมื่อใครมาพูดอะไรที่ไม่ถูก
( แบบเราคิดเอง )

แต่พอมาเข้าใจสมมุติ มันดับเลยความคิดนั้น เขารู้ก็รู้ของเขา เรารู้ก็รู้ของเรา
รู้แตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา

คนบางคนศึกษามาเยอะ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ เขาก็คิดว่าเขารู้ เขาก็อยากพูด อยากบอก อยากสอนคนอื่นๆ

บางคนปฏิบัติอย่างเดียว ไม่ได้ศึกษาปริยัติ แต่เขาได้ทั้งปฏิบัติและปฏิเวธ เขาก็คิดว่าเขารู้
เขาก็อยากพูด อยากบอก อยากสอนคนอื่นๆ หาได้น้อยมากที่จะมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

บางคนมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ขาดครูบาอาจารย์คอยแนะนำ

อืมมม สรุปแล้ว ต้องใช้ความเพียรเข้าช่วย ต้องมีความเพียรมากๆ ต้องหมั่นโยนิโสมนสิการ
และข้อปลีกย่อยอีกหลายๆอย่าง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 10 เม.ย. 2010, 22:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความผิดบนโลกนี้มีอยู่ 2 แบบ
คือ ความผิดที่สามารถให้อภัยได้
กับความผิเดที่ไม่อาจให้อภัยได้

เปรียบความสัมพันธ์ดั่งสิ่งประดิษฐ์เกล็ดแก้วที่แสนงดงาม แต่หากไม่ระวังก็สามารถแตกหักได้อย่างไร้หนทางเยี่ยวยา
เศษแก้วนับร้อยชิ้นที่ตกอยู่บนพื้น ใครเล่าจะพยายาบเก็บมันกลับขึ้นมาใหม่ ในเมื่อความเชื่อใจที่เปรียบเสมือนกาวอย่างดีได้พังไปพร้อมกับแก้วใบนั้นแล้ว

แล้วสำหรับคำขอโทษให้กับความผิดที่ไม่มีทางให้อภัย จะมีประโยชน์อันใดหรือเปล่า
หรือทำได้มากสุดเพียงแค่พูดออกมาว่าสำนึกผิดไปแล้ว แค่นั้นแล้วก็จบกัน
ไม่มีอะไรทั้งสิ้นหลงเหลืออยู่ ความทรงจำดีๆถูกทำลายไปแล้ว
สิ่งที่หลงเหลือก็น่าจะเป็ฯความทรงจำที่บอกว่า เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่นะ...

ความกลัวบนโลกนี้มีแค่แบบเดียว

สัญลักษณืของความกลัวคือ กำแพง

กำแพงที่ไม่อาจก้าวข้ามผ่านไปได้ เพียงเพราะกลัวว่าอีกฟากของกำแพงนั้นจะมีอะไรรออยู่...
ความกลัวที่เป็นกำแพงทั้งหนาและสูงนั้นช่างยากที่จะก้าวข้ามไปจริงๆ...

สิ่งที่คิดในใจก็มีเพียงเท่านี้..(แต่จริงๆแล้วก็มีมากกว่านี้)
และ คิดว่าใกล้จะหลุดพ้นจากสิ่งที่ตัวเองเรียกว่า "คำสาป" ได้สักที

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความคิด และความคาดเดาของตัวเราเอง
ผลของการเจริญสติ จะให้คำตอบกับทุกๆคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเราค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 9 เมษายน 2553
เดิน 25 นั่ง 3

เดินแล้วรู้ขวาย่างหนอซ้ายย่างหนอ
สติทันบ้างไม่ทันบ้าง
ถ้าสติมากกว่านี้ก็คงจะดี
ต่อไปนี้จะต้องระวังความคิดของตัวเองให้ดี
มีหลายช่วงที่รุ้สึกเบื่อในการเดิน ก็เลยพยายามคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่คิดว่าเบื่อก็จะไม่เบื่อ

ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจอย่างน่าประหลาด ด้วยเหตุผลอะไรที่ไม่อาจล่วงรู้ได้

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 16:29
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ

ขอร่วมฝึกการเจริญสติกรรมฐานด้วยนะคะ เรากะลังฝึกนั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจงกลมเลย ฝึกได้ประมาณสองสามอาทิตย์แล้ว จากนั่งได้ 5 นาที ก็มานั่งได้ เกือบๆ 20 นาทีแระ วันนี้วันแรกเลยนั่งได้เกือบ ชม แต่ว่านั่งไปนั่งมา จิตมันก็ฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอนึกได้ก็กลับมามีสติใหม่ แร้วจิตก็แวปไปใหม่ แร้วก็กลับมาใหม่ รวมๆ แร้ว จะฟุ้งซ่านซะมากกว่ามีสติ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่นี่พอมีวิธีหรือเทคนิคทำให้จิตนิ่งได้ไหมคะ :b9: :b9: :b9: หรือต้องใช้เวลาฝึกให้มากๆ >.<

ปล. ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาแชร์การปฏิบัติกันนะคะ
:b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


Nymphs เขียน:
สวัสดีค่ะ... :b53: :b53: :b53:


ฟังเพลงสวดไม๊


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2010, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


4 พย.50 21.00-22.00
ได้แต่กำหนดอริยาบทย่อย สรุปแล้ว ความเพียรต้องสม่ำเสมอต่อเนื่อง ต้องทำทุกวัน
การพิจรณารูปนาม ขันธ์ 5 คือ สิ่งสำคัญ สมาธิมากไปก็ไม่ดี แต่สติยิ่งมาก ยิ่งดี
นี่คือ ความคิดที่เกิดขึ้นในสภาวะนั้นนะ ไม่ใช่สภาวะปัจจุบัน

5 พย.
ทันไหม ........ จะมีอะไร .... รูป นาม ขันธ์ 5 แค่นั้นจริงๆ ทันหรือเปล่าล่ะ

ฐิติภูตัง อวิชชา ปัจจยา สังขารา อุปทานัง ภโว ชาติ

http://www.dhammathai.org/dhammastory/index.php


คนเราทุกรูปทุกนาม ที่ได้กำเนิดมาเป็นมนุษย์ ล้วนแต่มีที่เกิดทั้งสิ้นกล่าวคือ

มีบิดา มารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า

อวิชชา ปัจจยาการ ฯลฯ เท่านั้น อวิชชาเกิดมาจากอะไร? ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่

พวกเราก็ยังมีบิดามารดา อวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความหมายตามพระคาถา

เบื้องต้นว่า ฐิติภูตัง นั่นเอง เป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐิติภูตัง ได้แก่ จิตดั้งเดิม

เมื่อฐิติภูตังประกอบด้วยความหลงจึงมีเครื่องต่อ กล่าวคืออาการของอวิชชาเกิดขึ้น

เมื่อมีอวิชชามีแล้ว จึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งสังขาร พร้อมกับความเข้าไปยึดถือ

จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียกปัจจยาการ เพราะเป็นอาการ

สืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐิติภูตังเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐิติภูตัง

กอรป์ไปด้วยอวิชชา จึงไม่รู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจรณาด้วย

วุฏฐานคามินีวิปัสนา รวมใจความว่า ฐิติภูตังเป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์

( การเวียนว่ายตายเกิด ) ท่านจึงเรียกชื่อว่า " มูลตันไตร " เพราะฉะนั้น เมื่อจะตัด

สังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิม ให้มีวิชชารู้เท่าทัน

อาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลง แล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆอีก

ฐิติภูตังอันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ด้วยประการฉะนี้

จากหนังสือ มุตโตทัย หลวงปู่มั่น

10 พย.

สติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ คือสนามฝึกฝนตน

พระบรมศาสดาจารย์เจ้า ทรงตั้งชัยภูมิไว้ในธรรมข้อไหน? เมื่อพิจรณาปัญหานี้ ได้ความขึ้นว่า

พระองค์ทรงตั้งมหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัยมุ่งหมายชัยชนะ จำต้องหา
ชัยภูมิ ย่อมสามารถป้องกันอาวุธของข้าศึกได้ดี ณ ที่นั้นสามารถรวบรวมกำลังใหญ่ เข้าฆ่าฟันข้าศึก
ให้ปราชัยพ่ายแพ้ไปได้ ที่เช่นนั้นจึงเรียกว่าชัยภูมิ คือที่ที่ประกอบไปด้วยค่ายคูประตูหอรบอันมั่นคง
ฉันใด .....

อุปมัยในธรรมฉันนั้น ที่เอามหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ โดยผู้ที่จะเข้าสู่สงครามรบคือกิเลส ต้องพิจรณา
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นต้นก่อน เพราะคนเราที่เกิดกามราคะเป็นต้น ก็เกิดที่กาย เพราะตาแลไป
เห็นกาย ทำให้ใจกำเริบ เหตุนั้นได้ความว่า กายเป็นเครื่องก่อเหตุ จึงต้องพิจรณาที่กายนี้ก่อน จะได้เป็น
เครื่องดับนิวรณ์ ทำใจให้สงบได้ ณ ที่นี้ พึงทำให้มาก เจริญให้มาก คือพิจรณาไม่ต้องถอยเลยทีเดียว
ในเมื่ออุคคหนิมิตปรากฏ จะปรากฏส่วนไหนก็ตาม ให้พึงถือเอากายส่วนที่ได้เห็นนั้นพิจรณาให้เป็น
หลักไว้ ไม่ต้องย้ายไปพิจรณาที่อื่น จะคิดว่าที่นี่เราเห็นแล้ว ที่อื่นยังไม่เห็น ก็ต้องพิจรณที่อื่นสิ เช่นนี้
หาควรไม่ ถึงแม้จะพิจรณาจนแยกกายออกมาเป็นส่วนๆ ทุกๆอาการ อันเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ได้อย่างละเอียด ที่เรียกว่าปฏิภาคก็ตาม ก็ต้องพิจรณากายที่เราเห็นที่แรกด้วยอุคคหนิมิตนั้นจนชำนาญ
ที่จะชำนาญได้ก็ต้องพิจรณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ณ ที่นั้น ที่เดียวเอง

เหมือนสวดมนต์ฉะนั้น อันการสวดมนต์ เมื่อเราท่องสูตรนี้ได้แล้วทิ้งเสีย ไม่เล่าไม่สวดไว้อีกก็จะลืมเสีย
ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ทำให้ชำนาญด้วยความประมาท ฉันใด การพิจรณากายก็ฉันนั้น

เหมือนกัน เมื่อได้อุคคหนิมิตในที่ใดแล้ว ไม่พิจรณาในที่นั้นให้มาก ปล่อยทิ้งเสียด้วยความประมาท
ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรสักอย่างเดียว การพิจรรากายนี้มีที่อ้างมาก

ดังในการบวชทุกวันนี้ เบื้องต้นต้องบอกกรรมฐาน 5 คือกายนี้เอง ก่อนอื่นหมด เพราะเป็นของสำคัญ
ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์พระธรรมบทขุททกนิกาย ว่า อาจารย์ผู้ไม่ฉลาด ไม่บอกซึ่งการพิจรณากาย
อาจทำลายอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ของกุลบุตรได้ เพราะฉะนั้นในทุกวันนี้จึงต้องบอกกรรมฐาน 5
ก่อน อีกแห่งหนึ่งท่านกล่าวว่า

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย เชื่อว่าจะไม่มีการกำหนดกายในส่วนแห่งโกฏฐาสใด
( การพิจรณาแยกกายออกเป็นส่วนๆ ) โกฏฐาสหนึ่งมิได้มีเลย จึงตรัสแก่พระภิกษุ 500 รูป
ผู้กล่าวถึงแผ่นดิน ว่าบ้านโน้นบ้านนี้มีดินดำดินแดงเป็นต้นนั้นว่า นั้นชื่อว่า พหิธทา .....

แผ่นดินภายนอกให้พวกท่านทั้งหลาย มาพิจรณาอัชฌัตติกา ... แผ่นดินภายใน กล่าวคือ
อัตภาพร่างกายนี้ ให้พิจรณาไตร่ตรองให้แยบคาย กระทำให้แจ้ง แทงให้ตลอด

เมื่อจบวิสัชนาปัญหานี้ ภิกษุทั้ง 500 รูปก็บรรลุพระอรหัตผล เหตุนั้นการพิจรรากายนี้ จึงต้องเป็น
ของสำคัญ ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ทั้งหมดล้วนแต่ต้องพิจรณากายนี้ทั้งสิ้น จะรวบรวมกำลังใหญ่ได้
ต้องรวบรวมด้วยการพิจรณากาย แม้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทีแรก ก็ทรงพิจรณาลม ลมจะไม่ใช่กายอย่างไร?

เพราะฉะนั้นมหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนาเป็นต้น จึงชื่อว่า ชัยภูมิ เมื่อเราได้ชัยภูมิดีแล้ว กล่าวคือ
ปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานจนชำนาญแล้ว ก็จงพิจรณาความเป็นจริงตามสภาพแห่งธาตุทั้งหลาย

จากหนังสือมุตโตทัย หลวงปู่มั่น

11 พย.

หลายวันมานี่ เราทบทวนมาตลอด เข้าออกสมาธิได้คล่องเหมือนเดิม
การกำหนด เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว หายใจ 2หรือ 3 ครั้งก็เข้าสู่ อัปปนาสมาธิได้เลย มันจะรู้ตัวตลอด
มีสติตลอด ถ้าสติไม่มากพอ มีสมาธิมากกว่า ดูง่าย มันจะดิ่งไปเลย กำหนดถอยออกมาไม่ทัน

เวทนา ทบทวนจนเบื่อ ตอนนี้เริ่มรู้สึกเบื่ออีกแล้ว เบื่อน่ะ แต่ใช้วิธีเข้าออกสมาธิเอา จะได้ไม่เบื่อ
ขันธ์ 5 พิจรณาได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังไม่เป็นอัตโนมัติ ยังต้องน้อมเอามาพิจรณาเหมือนเดิม แต่บางครั้ง
ถ้าสติมากพอ เห็น รูปนามขันธ์5 ชัดเจนดี แบบประมาณว่าเข้าใจได้ทันทีในสิ่งที่เกิด ความคิดปรุงแต่ง
ไม่มี เวทนาจะดับได้ทันที แต่ดับแล้วก็เกิด เกิด ดับ อยู่อย่างนั้น แต่สติเรายังไม่มากพอที่จะจับว่า
เกิด ดับ กี่ครั้ง

สองสามวันมานี่ นั่งแล้ว มันผุดขึ้นมาในใจ เห็นขาของตัวเองในท่าขัดสมาธิ เห็นแค่ขา ไม่ใช่นิมิต
เพราะไม่ได้เป็นภาพขึ้นมาให้เห็น มันผุดขึ้นมาในใจ เหมือนเวลามีธรรมผุดขึ้นมา กำหนดก็ไม่หาย
ตอนหลังเลยนั่งดู เพราะไม่รู้จะทำยังไง จะโยนิโสก็ไม่รู้ว่าจะโยนิโสยังไง นั่งดูมัน จนมันดับไปเอง

12 พย. 19.47-21.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
เราคิดว่า น่าจะนั่งถึงชม. นะ
เวทนาเกิดๆหายๆ พอรู้ว่ากำลังจะเกิดก็นั่งดูแต่ละขั้นตอนที่เกิด มันเริ่มทะยอยเกิด
ไม่ได้ปวดขึ้นมาทันทีทันใด เหมือนคลืบคลานขึ้นมาแบบช้าๆ แล้วค่อยๆจางหายไป

แปลกดี เหมือนกับมันไม่ปวดสุดๆ คนอื่นๆจะเหมือนเราไหม ที่เวลาเป็นสมาธิ ตาเราหลับจริง
แต่มันสว่างที่ตา สว่างอ่อนๆ ไม่เจิดจ้าพอคลายสมาธิตาก็มืดเช่นเดิม เป็นแบบนี้ตลอด
กำหนดก็ไม่หาย สว่างอยู่อย่างนั้น

วันนี้เกิดเวทนาเห็นแต่เรา คือ เรามองเห็นตัวเราเองนั่งขัดสมาธิ มันปวดไล่ไปตามขาเป็นปกติ
มีเนื้อหุ้ม เห็นแป๊บเดียว เห็นไม่นาน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร