วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 01:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 16:01
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ร้อยคนก็ร้อยตำรานะครับ..ครูที่ดีที่สุดก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ และลองกับไปดูว่าสิ่งที่องค์สมเด็จท่าน ตรัสไว้ว่าไรกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ตาม อยู่ ณ โคนไม้ก็ตาม อยู่ใน
สถานที่สงัดก็ตาม นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติบ่ายหน้าสู่กรรมฐาน ภิกษุนั้นย่อมมีสติหายใจ
เข้า มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกว่าหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึก
ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกว่าหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกว่า
หายใจออกสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งปีติหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งสุขหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิตสังขารหายใจ
เข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับ
จิตสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
รู้แจ้งซึ่งจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักยัง
จิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บรรเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักตั้งจิตไว้มั่นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตไว้มั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักปล่อยจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักปล่อยจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นธรรมอันไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นธรรมอันไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นวิราคะหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นวิราคะหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นนิโรธหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นนิโรธหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็น
ปฏินิสสัคคะหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะหายใจออก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุอบรมแล้วอย่างนี้แล ทำให้มากแล้ว
อย่างนี้แล จึงเป็นคุณสงบ ประณีต เยือกเย็น อยู่เป็นสุข และยังบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้น
แล้วๆ ให้อันตรธานสงบไปได้โดยฉับพลัน.

ค่อยๆพิจารณาที่ละถ้อยคำ ที่ท่านตรัสไว้นะครับ มีความสำคัญทุกขั้นทุกตอน และสิ่งใดที่ท่านบรกพร่องก็จะปรากฎชัดเอง
และสามัญผลที่พึงเกิดต่อท่าน อันได้แก่
ปฐมฌาน
เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
ทุติยฌาน
เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
ตติยฌาน
เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
จตุตถฌาน
เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัส
ก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น
ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์
เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง
เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
อันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เรา
ได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืด
เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการ
ทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล๕ ขอให้ตั้งใจปฎิบัติให้ดีครับ หมั่นพากเพียรปฎิบัติให้เป็น ศีลใจ ให้ได้ยิ่งดีครับ
ขอแนะนำให้ ยึด ศีล๕ และ กุศลกรรมบถ๑๐ เป็นพื้นฐานการปฎิบัติ ก็เพียงพอครับ และ หมั่นทำทานไปด้วย เพราะว่า ทานก็เป็นบารมีส่วนนึง ศีลก็เป็นบารมีส่วนนึง
ทั้งสองอย่างจะเกื้อหนุนส่งให้เกิดพลังสมาธิได้ง่าย

ส่วนการปฎิบัติสมาธิภาวนานั้น ถ้าชอบวิธีปฎิบัติแบบใด ขอให้ตั้งใจปฎิบัติ อดทน พากเพียร แต่อย่ากระตือรือล้น ให้มาก พยายามปฎิบัติแบบสบายๆ ใจเย็นๆ สำหรับแนวทางนั้น ก็ใช้ หลักอานาปานสติ ที่คุณจุฬาภินันท์ แนะนำ ก็ได้ครับ
ตามหลักจริต ๖ ได้กล่าวว่า ผู้ที่มีความ ง่วง ควรฝึกหลักอานาปานสติ หรือจะลองวิธีอื่นๆดูก็ได้ครับ
ทั้งสมถะวิธีและวิปัสนาวิธี ส่วนวิธีการตามรู้จิต(วิปัสนาวิธี)นั้นของท่านพระอาจารย์ปราโมทย์ ก็เป็นแนวที่ดี ทางนึงครับ

ขอแนะนำเพิ่มอีกนิดนึงครับ เช่น หลักอานาปานสติ อย่าไปติดว่าต้องปฎิบัติในขณะ นั่งสมาธิ หรือ เดินจงกรม เท่านั้น เมื่อออกจากนั่งสมาธิหรือ เดินจงกรม แล้ว ก็ขอให้ ทำสติกำหนดรู้ตามลมให้ใจในทุกขณะ ไม่จะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะเดิน จะนั่งเฉยๆ จะยืน จะนอน หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม ก็ขอให้กำหนดรู้ตามลมหายใจไปเรื่อยๆ คือเป็นการเจริญอานาปานุสติกรรมฐาน ตลอดเวลา
จะเป็นการฝึกให้เราติดกับอารมณ์กรรมฐานนั้นได้ง่าย และยังทำให้จิตเราไม่ส่งออกไปคิดเรื่องที่ไม่ดี อันเป็นอกุศลต่างๆ

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 00:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มีคำเดียวนะ นานาจิตตัง


เรียนท่านชาติ
คือคำสอนของพระพุทธองค์นั้นพิสูจน์ได้ สุข มีจริง ทุกข์มีจริง วิธีการดับทุกข์มีจริง ฯลฯ เพียงแต่ว่าจะเชื่อเลย หรือต้องพิสูจน์ก่อน เช่นเดียวกันกับการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติแล้วนอนไม่หลับ หรือนั่งแล้วเข้าภวังค์ หรือนั่งหลับ ผู้ปฏิบัติต้องเจอกันแทบทุกคน ขนาดพระโมคลาก็เจอ

อ้างคำพูด:
พระโมคคัลลานะ เรียนวิชาแก้ง่วง
พระโมคคัลลานะ หลังจากบวชแล้ว ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณวิถี จึงเสด็จไปแสดงวิธีแก้ง่วงให้ท่าน ดังนี้

๑. ถ้ามีสัญญาอย่างไรอยู่ เกิดความง่วง ก็ให้ทำในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก หมายถึงว่า ถ้าเรากำหนดหมาย หรือนึกคิดเรื่องใดแล้วรู้สึกง่วง ก็ให้นึกคิดเรื่องนั้นให้มากกว่าเดิม แล้วความง่วงจะหายไป
๒. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ตรึกตรองพิจารณาข้อความหรือเรื่องราวที่ได้ฟังมา หรือเล่าเรียนมาแล้วจะหายง่วง
๓. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ท่องข้อความ เช่น ตำราที่กำลังอ่านอยู่นั้นออกมาดัง ๆ การเปล่งเสียงดัง ๆ จะทำให้หายง่วงได้
๔. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ยอนหูทั้งสองข้าง หมายถึงเอาอะไรแยงหูให้ความง่วงหายไปหรือให้เอาฝ่ามือลูบตามตัว จะทำให้ตื่นตัวหายง่วงได้
๕. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ลุกขึ้นเอาน้ำล้างหน้า แหงนมองดูดาวบนฟ้า ความง่วงจะหายไป
๖. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้คำนึงถึง “อาโลกสัญญา” หมายถึง นึกถึงแสงสว่าง ถึงจะนั่งอยู่ในที่มืดในยามราตรี ก็นึกว่ากำลังนั่งอยู่ตอนกลางวันพระอาทิตย์กำลังแผดแสงจ้า ความง่วงจะหายไป
๗. ถ้ายังไม่หายง่วง ก็ให้เดินจงกรม คือลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาสักพัก ความง่วงจะหายไป
๘. แต่ถ้าลุกเดินแล้วยังง่วงอยู่ แสดงว่าง่วงเต็มที่แล้ว ก็ให้เข้านอนเสีย


การแก้ปัญหาควรยึดเหตุและหลักการเป็นหลัก มิใช่ศาสนาแห่งความเชื่อพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ มิใช่คาดหมายตามความคิดนะครับ

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร